Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1602 หนอนบ่อนไส้
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1602 หนอนบ่อนไส้
“นายท่าน ทรัพย์หลังศึกมากมายเกินไปแล้ว! แค่สมบัติต่างๆ ก็มีหนึ่งร้อยสามสิบกว่าชิ้น ภายในนั้นกว่าครึ่งล้วนเป็นของล้ำค่าชั้นยอด ไม่ขาดสมบัติหายากบางส่วนที่ทรงพลังหาใดเปรียบ”
“นอกจากนี้ยังมีลูกกลอนโอสถ สิ่งล้ำค่า วัตถุดิบเทพมากมายนับไม่ถ้วน… อ้อ ยังมีตำราวิชาลับไม่น้อยด้วย!”
หลังจากเก็บกวาดสนามรบ เสี่ยวอิ๋นตื่นเต้นจนดวงตาทั้งคู่เปล่งประกาย เห็นได้ว่าตื่นเต้นดีใจไปทั้งตัว
เสี่ยวเทียนกระพือปีกพูดเสริม “ทรัพย์หลังศึกครั้งนี้เรียกได้ว่าน่าตื่นตาตื่นใจจริงๆ ข้าสงสัยว่าต่อให้เป็นบุคคลยิ่งใหญ่ที่อยู่ในระดับราชันอริยะเห็นเข้าก็คงตาลุกน้ำลายหก”
“อ้อ สมบัติอริยะชิ้นนี้ไม่เลว ให้ข้าจับตาดูแทนพวกเจ้าแล้วกัน”
เจ้านกดำก้าวเท้าเป็นเลขแปด (八) จับจ้องกระสวยบินสีเงินชิ้นหนึ่งที่สาดแสงสว่างไสว วิธีพูดเหมือนผู้สูงศักดิ์ แต่กรงเล็บคู่นั้นกลับไม่เชื่องเชื่อเป็นอย่างยิ่ง คิดจะคว้าเอาไปทั้งอย่างนั้น
เสี่ยวอิ๋นตาไวมือไวชิงเก็บมันมาก่อน สีหน้าระแวดระวังกล่าว “จับตาดูรึ ข้าว่าเจ้าคิดแย่งกันซึ่งหน้า!”
เจ้านกดำกล่าวเดือดดาล “ดูความขี้งกของเจ้าสิ มีสมบัติอะไรบ้างที่ข้าไม่เคยเจอ ยังจะละโมบอยากได้ของเล่นพวกนี้รึ”
เสี่ยวอิ๋นกล่าว “ในเมื่อไม่เข้าตา เช่นนั้นเจ้าก็ซื่อสัตย์หน่อย”
เจ้านกดำโกรธจนถือหม้อดำขึ้นมา เหมือนจะให้บทเรียนกับเสี่ยวอิ๋นสักหน่อย แต่ไม่ทันไรก็ขนพองสยองเกล้า ด้วยเห็นผีเสื้อมารแยกฟ้ากำลังจ้องมองมันจากจุดที่ห่างออกไป
เจ้านกดำกระแอมเล็กน้อยกล่าว “เฮ้อ ทุกคนล้วนเป็นคนกันเอง ทำไมต้องมองเป็นคนนอกเช่นนี้ด้วย ข้ารับรองว่าจะไม่เอาสมบัติไปสักชิ้นตกลงไหม”
เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนสบตากันวูบหนึ่งแล้วรับปาก
“ควรเป็นอย่างนี้ตั้งนานแล้ว!”
เจ้านกดำตื่นเต้นจนกรงเล็บพันกันเหมือนแมลงวันถูขา ท่าทางไม่ต้องพูดถึงว่าสับปลับแค่ไหน
ดวงตาของมันวาววาบ กระโดดไปมาอยู่หน้าสมบัติอริยะที่กองพะเนินเหมือนภูเขา น้ำลายเกือบจะไหลออกมา
เสี่ยวอิ๋นยังแคลงใจว่าหากไม่มีตนกับเสี่ยวเทียนจ้องอยู่ เกรงว่าเจ้านกขี้ขโมยนี่คงได้กลืนสมบัติพวกนี้ไปหมดแน่
หลินสวินที่อยู่ห่างออกไปเห็นภาพนี้แล้วอดยิ้มไม่ได้ ครั้งนี้เก็บเกี่ยวได้มากจริงๆ แต่ก็เข้าใจได้อยู่
ต้องรู้ว่าคนที่เข้ามาในสมรภูมิเซียนเหินครั้งนี้ได้ ไม่มีใครไม่ใช่ยอดบุคคลแห่งยุคของดินแดนฟากหนึ่ง
บุคคลระดับผู้นำอย่างชืออู๋ซู่ ฮว่าหงเซียวยิ่งความเป็นมาไม่ธรรมดา
สมบัติที่คนพวกนี้พกติดตัวจะเป็นสิ่งที่ของทั่วไปเทียบได้อย่างไร
แต่เมื่อหลินสวินมองทรัพย์หลังศึกที่กลาดเกลื่อนพวกนั้นทีละชิ้นก็อดสูดหายใจเย็นไม่ได้ มีความรู้สึกว่าสับสนตาลาย
ดังคำกล่าวที่ว่าคนไม่ค้ากำไรไม่ร่ำรวย ม้าไม่กินเพิ่มไม่อ้วนพี
แม้ศึกใหญ่นี้จะทุ่มเทไปมาก แต่ผลประโยชน์ก็น่าตื่นตาตื่นใจเช่นกัน!
“เก็บกวาดก่อนเถอะ รอภายหน้าพวกเราค่อยแบ่งกัน”
หลินสวินกล่าวกำชับ
เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนพยักหน้าพร้อมกัน
เสี่ยวอิ๋นยังจุ๊ปากกล่าวเสียดาย “น่าเสียดาย ต้องโทษผู้หญิงอัปลักษณ์นั่นที่ทำให้พวกคุนเซ่าอวี่หนีไปได้ มิฉะนั้นผลประโยชน์ต้องมากกว่านี้แน่!”
ส่วนหลินสวินก็กำลังตรวจสอบป้ายคำสั่งเซียนเหิน
จากศึกนี้ป้ายคำสั่งเซียนเหินที่อยู่ในมือหลินสวินยามนี้มีมากถึงหลายสิบป้าย ภายในนั้นส่วนใหญ่ล้วนว่างเปล่า ชะตามรรคผลงานรบที่อยู่ข้างในถูกชิงไปหมดแล้ว
มีแค่แปดป้ายที่สะสมชะตามรรคผลงานรบเต็มแล้ว แม้แต่สีสันและกลิ่นอายของป้ายคำสั่งเซียนเหินก็เปลี่ยนตามไปด้วย เผยสีใสบริสุทธิ์ถึงขั้นสมบูรณ์อย่างหนึ่งออกมา
สามารถมองเห็นได้รางๆ ว่าพื้นผิวของป้ายคำสั่งเซียนเหินแปดป้ายนี้มีหมอกควันพวยพุ่งออกมา ในความรางเลือนเหมือนมีเงาร่างของเซียนเหินวาววามอยู่ภายใน ดูลึกลับเป็นอย่างยิ่ง
‘เสี่ยวอิ๋นกับเสี่ยวเทียนคนละป้าย จิ่งเซวียนป้ายหนึ่ง แม่นางอาหูป้ายหนึ่ง เจ้าคางคก อาหลู่…’
หลินสวินคำนวณเงียบๆ
แน่นอนว่าเขาไม่ลืมที่จะเก็บไว้ให้ตัวเองและซย่าจื้อคนละป้าย
สำหรับเจ้านกดำนั้นไม่จำเป็นต้องพิจารณาแต่แรก เจ้าหมอนี่รอบจัด มือถือป้ายคำสั่งเซียนเหินมา มีหรือจะรวมชะตามรรคผลงานรบไม่ครบ
“นายท่าน ก่อนที่สมรภูมิเซียนเหินจะปิดฉากยังเหลือเวลาอีกห้าวัน หลังจากนี้พวกเราควรไปตามฆ่าพวกคุนเซ่าอวี่นั่นหรือไม่”
เสี่ยวอิ๋นตั้งท่าเตรียมพร้อมเอ่ยถาม
‘ห้าวัน… ก็ไม่รู้ว่าทางเมืองอารักษ์มรรคเป็นอย่างไรบ้างแล้ว…’
แววตาของหลินสวินไหววูบ
ยามนี้การต่อสู้ในสมรภูมิเซียนเหินไม่น่าหวั่นวิตกนานแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินวางใจไม่ลงก็คือความปลอดภัยของค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณ
ไม่นานหลินสวินก็เก็บความคิด กล่าวเสียงเบา “ไปตามฆ่าพวกคุนเซ่าอวี่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับงมเข็มในมหาสมุทร แต่พวกเราก็ไม่อาจพลาดโอกาสครั้งนี้ไปโดยไม่ทำอะไรเลย”
“ถูกต้อง!”
เจ้านกดำพุ่งเข้ามากล่าวอย่างลึกลับ “สมรภูมิเซียนเหินนี้เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ ก่อนหน้านี้พวกเจ้าก็เห็นแล้ว ว่ามีผู้แข็งแกร่งบนทางเดินโบราณฟ้าดาราทำลายปราการระเบียบมาถึงโลกนี้ได้ แต่เกรงว่าพวกเจ้าคงไม่รู้ ในสายตาของพวกเขา สมรภูมิเซียนเหินนี่ก็คือคลังสมบัติตามธรรมชาติอย่างหนึ่ง!”
เสี่ยวอิ๋นกล่าวประหลาดใจ “คลังสมบัติ? ที่นี่มีวิญญาณเซียนเหินมากขนาดนี้ จะมีสมบัติอะไร”
“โง่! ไม่เห็นเถาวัลย์หยกนภาค่ำต้นนั้นหรือ ยอดสมบัติจากธรรมชาติเช่นนี้ มีแค่สมรภูมิเซียนเหินเท่านั้นที่ให้กำเนิดออกมาได้!”
เจ้านกดำกดเสียงต่ำ “ก็เหมือนเขาตัดหมอกนี้ที่ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง ขอแค่เสาะหาโดยละเอียด ย่อมต้องพบสมบัติบางส่วนที่ไม่ด้อยไปกว่าเถาวัลย์หยกนภาค่ำแน่”
เสี่ยวอิ๋นนัยน์ตาเป็นประกาย “จริงหรือ”
เจ้านกดำกล่าวไม่สบอารมณ์ “ข้าเคยหลอกเจ้าเมื่อไหร่กัน”
หลินสวินที่เฝ้ามองมาตลอดกล่าวขึ้นมาทันใด “เจ้าดำ เจ้ารู้อะไรบางอย่างใช่ไหม”
“เอ่อ…”
เจ้านกดำสีหน้าค้างแข็ง ไม่นานก็กล่าวจองหอง “ข้าเชี่ยวชาญดาราศาสตร์ รอบรู้เรื่องภูมิประเทศ ข่าวลึกลับทั่วหล้าตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันไม่มีสิ่งใดที่ข้าไม่รู้”
เจ้าหมอนี่พูดจาส่งเดช ผ่อนเรื่องหนักเป็นเบาอีกแล้ว เพียงแต่หลินสวินรู้ดีว่าเจ้าหมอนี่ซ่อนความลับไว้ไม่น้อยจริงๆ
เขายิ้มถาม “เช่นนั้นเจ้าคิดว่าหลังจากนี้พวกเราควรทำอะไรดี”
เจ้านกดำกล่าวโดยไม่ลังเล “ง่ายมาก หาสมบัติ!”
หลินสวินพยักหน้ารับคำ
“โยนป้ายคำสั่งเซียนเหินพวกนี้ทิ้งไปเถอะ”
เจ้านกดำเหลือบตามองป้ายคำสั่งเซียนเหินพวกนั้นในมือหลินสวินแล้วพลันกล่าว “ในสมรภูมิเซียนเหินนี้ อย่างมากก็รวบรวมชะตามรรคผลงานรบให้ป้ายคำสั่งเซียนเหินได้แค่เก้าป้าย ยามสมรภูมิเซียนเหินปิดฉากลง เจ้าก็เอาป้ายคำสั่งเซียนเหินที่ว่างเปล่าพวกนั้นไปไม่ได้”
หลินสวินประหลาดใจ มองเจ้านกดำวูบหนึ่ง เจ้าหมอนี่รู้เรื่องเกี่ยวกับสมรภูมิเซียนเหินแค่ไหนกันแน่
ในใจเจ้านกดำร้อนรนแต่ปากกลับพูดว่า “ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อนล้วนเคยเกิดเรื่องแบบเดียวกัน จำเป็นต้องตื่นตูมเช่นนี้หรือ”
หลินสวินร้องอ้อคราหนึ่ง ไม่ซักไซ้ไล่เลียงอีก ต่อให้ซักไซ้ไป ด้วยนิสัยของนกขี้ขโมยนี่ย่อมไม่มีทางคายอะไรออกมาแน่
“ไป รีบดำเนินการเถอะ!”
เจ้านกดำกล่าวตื่นเต้น “เวลาห้าวัน เพียงพอให้พวกเรากวาดล้างเขาตัดหมอกลูกนี้แล้ว!”
“จะรีบร้อนอะไรนักหนา รอข้าหลอมเถาวัลย์หยกนภาค่ำก่อนค่อยว่ากัน”
หลินสวินกล่าวไม่สบอารมณ์ เพิ่งผ่านศึกใหญ่มาเมื่อครู่ พลังกายของเขาสูญเสียไปค่อนข้างมาก ต่อให้อยากดำเนินการก็ต้องรอพลังฟื้นคืนกลับมาก่อนจึงจะได้
ขณะเดียวกันหลินสวินก็อยากลองดู ว่าพลังของเถาวัลย์หยกนภาค่ำนี้จะอัศจรรย์มากแค่ไหน!
…
“น่าชังนัก!!”
ในอุโมงค์ใต้ดินที่มืดมนชื้นแฉะแห่งหนึ่ง คุนเซ่าอวี่สีหน้าเหี้ยมเกรียม กลิ่นอายดุดัน ไม่อาจควบคุมเพลิงโทสะในใจไว้ได้อีก แผดเสียงคำรามออกมา
“คนเดียวก็เกือบคว่ำพวกเราได้หมด ถึงตอนนี้กำลังพลที่มีฝีมือที่สุดในค่ายทัพแปดดินแดนแทบจะบาดเจ็บล้มตายไม่เหลือ เมื่อการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนมาเยือน พวกเรายังจะเอาอะไรไปสู้ดินแดนรกร้างโบราณได้อีก”
“หากข่าวแพร่กลับไปในแปดดินแดน ผู้คนจะมองพวกเราอย่างไร”
เมื่อคำรามถึงตอนท้ายสุด ดวงตาของคุนเซ่าอวี่ก็แดงไปหมด
ความพ่ายแพ้ย่อยยับครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ล้มตายเป็นเบือเท่านั้น ยังทำให้สภาวะจิตของพวกเขาถูกโจมตีหนักอย่างไม่เคยมีมาก่อน
ข้างๆ เซวี่ยชิงอีและจู๋อิ้งคงเงียบไป แต่ละคนล้วนสีหน้าไม่น่าดู พวกเขา… มีหรือจะไม่แค้น
สมรภูมิเซียนเหิน เดิมเป็นการต่อสู้ชั้นยอดที่เจิดจรัสที่สุดครั้งหนึ่ง ทั้งเหมือนเป็นการตัดสินสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงระหว่างค่ายทัพทั้งเก้า
ทั้งการชิงชัยนี้ยังคัดอันดับหนึ่งในระดับมกุฎอริยะแท้ของเก้าดินแดนได้ด้วย นี่เป็นถึงเกียรติภูมิยิ่งใหญ่ที่หาได้ยากยิ่ง สามารถจารึกชื่อลงในประวัติศาสตร์ เป็นที่จดจำของผู้ฝึกปราณเก้าดินแดนใหญ่ทุกคน!
แต่ตอนนี้พวกเขาแพ้แล้ว!
พยายามวางแผนใช้ความคิดทั้งหมด ระดมกำลังพลชั้นยอดของแปดดินแดนออกมาสู้เต็มที่ แต่ทว่าสุดท้ายก็ยังแพ้เหมือนเดิม
แพ้ในมือของคนผู้เดียว!
“ไม่ พวกเรายังไม่แพ้ราบคาบ”
ทันใดนั้นเซวี่ยชิงอีสูดหายใจลึก ในดวงตาแดงก่ำฉายแววเยียบเย็น
“อย่าลืมสิ ปฏิบัติการครั้งนี้ของพวกเราดำเนินการพร้อมกันสองด้าน นอกสมรภูมิเซียนเหินมีการต่อสู้หนึ่งกำลังดำเนินไปพร้อมกัน!”
คุนเซ่าอวี่และจู๋อิ้งคงชะงักไปก่อน จากนั้นนัยน์ตาก็ฉายแววเจิดจ้าออกมา
“ขอแค่ทัพพันธมิตรแปดดินแดนของพวกเราเหยียบย่ำค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณได้ ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดน พวกเราทั้งแปดดินแดนก็จะถูกลิขิตให้ยืนอยู่บนแดนไร้พ่าย”
เซวี่ยชิงอีกล่าวฮึกเหิมขึ้นเรื่อยๆ “ถึงตอนนั้น ต่อให้พลังต่อสู้ของหลินสวินพลิกฟ้าแค่ไหนก็ไม่อาจพลิกสถานการณ์กลับมาได้”
คุนเซ่าอวี่พึมพำ “ตอนนี้ก็ได้แต่ฝากความหวังไว้กับเรื่องนี้แล้ว”
“เจ้าทั้งสองวางใจเถอะ ทัพพันธมิตรแปดดินแดนบุกเมืองครั้งนี้มีโอกาสชนะสูงมาก!”
สายตาของจู๋อิ้งคงล้ำลึกขึ้นทันใด กล่าวเสียงขรึม
“ถึงตอนนี้ข้าคนแซ่จู๋จะไม่ปิดบังพวกเจ้าทั้งสองอีก ก่อนหน้านี้ดินแดนโบราณยอดหยินของข้าได้ลอบวางหมากไว้ในค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณไม่น้อย เมื่อเข้าสู่ช่วงสำคัญของการบุกเมืองครั้งนี้ หมากพวกนี้ก็จะ ‘นอกในตีประสาน’ ทำลายค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณจนพินาศย่อยยับในคราเดียว!”
ประโยคเดียวทำให้คุนเซ่าอวี่และเซวี่ยชิงอีฮึกเหิมขึ้นมา คิดไม่ถึงว่าดินแดนโบราณยอดหยินจะวางแผนไว้ล่วงหน้า!
…
โลกรกร้างโบราณ เมืองอารักษ์มรรค
เขม่าควันอบอวล ฟ้าดินมืดสลัว ทัพพันธมิตรแปดดินแดนที่มองไม่เห็นจุดสิ้นสุดปิดล้อมรอบเมืองอารักษ์มรรคเป็นชั้นๆ ราวกับกระแสน้ำ
สมบัติวิเศษคำรามก้อง วิชามรรคสาดส่องลงมาเหมือนรุ้งเทพพร่างพรายนับไม่ถ้วน บุกจู่โจมกระบวนค่ายกลใหญ่ที่ปกคลุมอยู่เหนือเมืองอารักษ์มรรคอย่างต่อเนื่อง
สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องมาห้าวันแล้ว!
มกุฎอริยะทุกคนอย่างพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่ล้วนสีหน้าจริงจัง สภาวะจิตดิ่งลง
หน้าตาแต่ละคนเผยความอ่อนเพลียยากปกปิด
ป้องกันอย่างไม่ว่างเว้นมาห้าวันห้าคืน แม้จะแค่ควบคุมกระบวนค่ายกลใหญ่ป้องกันเมืองก็ทำให้พวกเขารู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ เกือบจะรับไม่ไหวแล้ว
ใครก็คิดไม่ถึงว่าศัตรูในครั้งนี้จะเจ้าเล่ห์เช่นนี้ ไม่เข้าใกล้แต่ผลัดกันโจมตีระยะไกล ทำให้สี่ยอดค่ายกลสังหารไม่อาจสำแดงอานุภาพออกมาได้อย่างสมบูรณ์
ภายในเมืองผู้ฝึกปราณของดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วนกินไม่ได้นอนไม่หลับ กดดันและตึงเครียด ทุกวันล้วนอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวน ทรมานหาใดเปรียบ
“พี่เซ่าเฮ่า แย่แล้ว!”
ทันใดนั้นเงาร่างของเซี่ยวชางเทียนปรากฏบนหอกำแพงเมือง
เขาหน้าคล้ำเขียวกัดฟันกล่าว “ค่ายทัพของพวกเรามีหนอนบ่อนไส้ เมื่อครู่เพิ่งทำลายรากฐานบางส่วนของกระบวนค่ายกลแปดพิทักษ์ไป!”
ประโยคเดียวราวกับฟ้าถล่มดินทลาย ทุกคนต่างหน้าเปลี่ยนสี
…………………