Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1607 พลิกสถานการณ์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1607 พลิกสถานการณ์
ฟุ่บๆๆ!
ฝนโลหิตกำลังสาดพรม ซากศพเนื้อละเอียดร่วงหล่น เสียงกรีดร้องโหยหวนและเสียงคำรามอย่างหวาดผวาสิ้นหวังถักทอเข้าด้วยกัน สั่นสะเทือนฟ้าดิน
ใต้หล้าเหมือนตกสู่ความมืดมิดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ โลหิตราวหมึกเขียนแดงก่ำ ตามการสังหารของซย่าจื้อที่แผ่ขยายไปในฉากรัตติกาล
ครั้งนี้ทัพพันธมิตรแปดดินแดนออกโจมตีเต็มกำลัง แค่มกุฎอริยะยังมีมากนับร้อยคน
บ้างนั่งบัญชาอยู่ด้านหลัง ปิดล้อมทั้งเมือง
บ้างเป็นทัพหน้า ออกจู่โจมสังหาร
บ้างก็อยู่ในทัพใหญ่ คอยจัดกระบวนทัพ
นอกจากนี้ยังมีอริยะแท้ไม่รู้เท่าไรนำผู้แข็งแกร่งของแต่ละดินแดน ถล่มจู่โจมเมืองอารักษ์มรรคจากทิศทางต่างกันออกไป
แต่ตอนนี้บนสนามรบที่กว้างใหญ่นั้น ในจุดที่ซย่าจื้อยืนอยู่กลับกลายเป็นตาพายุ!
มกุฎอริยะมากมายพุ่งเข้ามาอย่างต่อเนื่อง วางแผนพึ่งพาข้อได้เปรียบในด้านจำนวนมากำราบซย่าจื้อ
แต่แน่นอนว่าเปล่าประโยชน์!
นางตัวคนเดียวถือทวนกระดูกขาว เงาร่างอาบไล้ด้วยม่านรัตติกาลนิรันดร์ พลังทำลายรุนแรงเหมือนเข้าไปในแดนไร้ผู้คน!
พวกเซ่าเฮ่า จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่เดิมจะเข้าไปช่วย แต่กลับพบว่าในการต่อสู้ที่น่ากลัวเช่นนี้ พวกเขาไม่อาจเข้าไปยุ่งแต่แรก
ใช่ว่าเพราะศัตรูมากเกินไป หากแต่เพราะซย่าจื้อคนเดียวก็เหมือนคลองกั้นขวางหน้าเมืองอารักษ์มรรค ไม่มีใครข้ามไปได้!
สิ่งที่ทำให้ผู้คนตกตะลึงที่สุดคือ มกุฎอริยะพวกนั้นน่ากลัวระดับใด แต่ละคนอานุภาพร้ายกาจราวกับนายเหนือหัว
แต่ในสายตาของซย่าจื้อกลับเหมือนฝูงแมงเม่าบินเข้ากองไฟ เมื่อใดที่เข้าใกล้ก็จะถูกฆ่าตายคาที่ สิ่งที่เรียกว่าหมดจดชัดเจน รวดเร็วรุนแรงคืออย่างนี้นี่เอง
เพียงครู่เดียวก็มีมกุฎอริยะสามสิบกว่าคนล้มตาย ศพและน้ำเลือดของพวกเขาหยาดย้อมฟ้าดินหน้าเมืองทั้งแถบเป็นสีแดงน่าพรั่นพรึง
ตรงกันข้าม ตั้งแต่ต้นจนจบซย่าจื้อไม่ได้รับบาดเจ็บแม้แต่น้อย ไม่แปดเปื้อนโลกีย์ ตัวคนเดียวกลับขวางศัตรูได้ทั้งหมด!
“เป็นไปได้อย่างไร!”
“นาง… ทำไมนางถึงแข็งแกร่งเช่นนี้”
“นี่คือพลังไร้คู่ต่อกรที่แท้จริงในระดับมกุฎอริยะแท้หรือ”
ในที่นั้นมีเสียงตกตะลึงไม่รู้เท่าไรดังขึ้น เต็มไปด้วยความเดือดดาล หวาดกลัว ยากจะเชื่อ สีหน้าของมกุฎอริยะแต่ละคนต่างคล้ำเขียวและไม่น่าดูหาใดเปรียบ
“ทุกคนกระจายกันออกไป ถล่มเมืองเต็มกำลัง!”
มีคนคำราม
เมืองอารักษ์มรรคนี้ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ ตอนนี้ไม่อาจบุกแนวป้องกันที่ซย่าจื้ออยู่ได้ ก็ได้แต่กระจายกันออกไป พุ่งเป้าสำคัญไปที่การบุกเมือง
ถึงอย่างไรต่อให้อีกฝ่ายแข็งแกร่งแค่ไหน สุดท้ายก็ตัวคนเดียว จะป้องกันเมืองทั้งเมืองได้อย่างไร
ขอแค่ถล่มเมืองนี้ได้ คมประกายของทัพใหญ่แปดดินแดนจะต้องโจมตีผู้แข็งแกร่งของดินแดนรกร้างโบราณที่อยู่ในเมืองจนพังทลายได้อย่างแน่นอน
ตูม!
จากนั้นมกุฎอริยะที่พุ่งสังหารเข้ามาพวกนั้นต่างกระจายกันออกไป พุ่งโฉบไปคนละทาง
นี่ทำให้พวกเซ่าเฮ่าอดหน้าเปลี่ยนสีไม่ได้ รู้ว่าศัตรูไม่สนใจอะไรแล้ว ยอมสละทุกอย่างเพื่อเหยียบย่ำเมืองอารักษ์มรรคให้ได้
วู้ม…
เวลานี้กลับเห็นซย่าจื้อพลันก้าวขึ้นไปกลางอากาศ เงาร่างเพรียวบางดึงดูดแสงแห่งรัตติกาลนิรันดร์กลางฟ้าดิน ลักษณะพลังก็พุ่งทะยานถึงขีดสุดตามไปด้วย
พริบตานั้นเงาร่างมากมายแยกออกมาจากตัวซย่าจื้อ แต่ละร่างล้วนอาบไล้ด้วยพลังของความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ เงาร่างเพรียวบางนับร้อยพันพุ่งไปยังจุดต่างๆ ของเมืองอารักษ์มรรค
รัตติกาลนิรันดร์เป็นสื่อนำ จากหนึ่งกลายเป็นพัน!
เหตุการณ์สะเทือนใต้หล้าเช่นนั้น ทำให้ทั่วทั้งลานตกตะลึงทันที
สิ่งที่คาดไม่ถึงที่สุดคือร่างแยกพวกนั้นแต่ละร่างล้วนแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แม้จะร้ายกาจสู้ร่างต้นไม่ได้ แต่ก็มีพลังต่อสู้ไม่ด้อยไปกว่ามกุฎอริยะ!
“นี่…”
ผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนไม่น้อยตกใจจนลูกตาแทบถลนออกมา
“นี่คือวิชามรรคอะไร”
มกุฎอริยะบางส่วนกล่าวอย่างตระหนก
เมื่อสอดส่องสายตาไป เงาร่างของซย่าจื้อนับร้อยพันอาบไล้ด้วยรัตติกาลนิรันดร์ ก้าวเดินอยู่กลางฟ้าดินแน่นขนัด น่าหวาดกลัวเหลือคณา
แม้แต่พวกเซ่าเฮ่า จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคกก็จิตหลุดไปพักหนึ่ง ในระดับมกุฎอริยะแท้ยังมีพลังที่น่าเหลือเชื่อเช่นนี้ด้วยหรือ
ตูม!
การต่อสู้เปิดฉากต่อเนื่องโดยไม่น่าหวั่นวิตกใดๆ
เพียงแต่ความตั้งใจที่จะแบ่งคนไปบุกเมืองเต็มกำลังของมกุฎอริยะแปดดินแดน ยามนี้ได้ถูกป่นเป็นจุณอย่างสิ้นเชิง
ไม่ว่าพวกเขาจะโผล่ไปที่ไหน ล้วนถูกร่างแยกของซย่าจื้อขวางไว้หมด!
ซย่าจื้อกว่าพันคนก็หมายถึงมกุฎอริยะนับพันคน จำนวนมหาศาลเช่นนั้นทำให้มกุฎอริยะแปดดินแดนพวกนั้นที่รวมกันแล้วมีแค่หลักร้อยดูไม่จืดไปทันที
แม้ว่าพลังของร่างแยกพวกนั้นจะน่ากลัวสู้ร่างต้นไม่ได้อยู่มาก แต่ภายใต้สถานการณ์มากต่อน้อยก็ยังได้เปรียบกว่าอยู่ดี!
“เยี่ยม!”
บนเมืองอารักษ์มรรค เสียงตะโกนอย่างตื่นเต้นปะทุขึ้น รวมถึงเหล่ามกุฎอริยะอย่างพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ก็ยังโลหิตเดือดพล่าน ฮึกเหิมหาใดเปรียบ
คนผู้เดียวปกป้องเมืองแห่งหนึ่งได้อย่างปาฏิหาริย์!
“ลงมือพร้อมกัน!”
“ได้เลย!”
“ฆ่า!”
พวกจ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่ต่างเคลื่อนพลเต็มกำลัง ร่วมมือกับซย่าจื้อ เริ่มจู่โจมกลับจากทิศทางต่างๆ ของเมืองอารักษ์มรรค
ตูม ครืน…
กลางฟ้าดินเสียงกัมปนาทดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง แสงศักดิ์สิทธิ์ม้วนแผ่ออกมาดุจเขาถล่มสมุทรคำราม
ทัพพันธมิตรแปดดินแดนพวกที่พลังสู้มกุฎอริยะแท้ไม่ได้เหล่านั้นไม่กล้าเข้าใกล้อย่างสิ้นเชิง ด้วยทันทีที่โดนลูกหลงจะพบฉากจบที่ร่างแหลกสลาย
และคนต้นเรื่องทั้งหมดอย่างซย่าจื้อก็ยังคงนิ่งสงบ ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เคยเอ่ยวาจา ประหนึ่งไม่มีคลื่นความรู้สึก
ร่างต้นของนางมือกุมทวนกระดูกขาว ก้าวเดินอยู่ในที่นั้น ขอแค่เป็นศัตรูที่ถูกนางจับจ้อง ก็ล้วนหนีจุดจบของความตายไม่พ้น!
บนสนามรบเลือดสาดกระจาย เสียงเข่นฆ่าโรมรันสะเทือนใต้หล้า ทำให้คลื่นลมปรวนแปร ฟ้าดินไร้สี
พูดอย่างไม่เกินจริง นี่ต้องเป็นการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สถานการณ์รบดุเดือดที่สุดตั้งแต่เปิดสมรภูมิเก้าดินแดนมาอย่างแน่นอน
ต่อให้เป็นมกุฎอริยะก็ยังหนีการโจมตีถึงแก่ชีวิตไม่พ้น นับประสาอะไรกับอริยะแท้ทั่วไปพวกนั้น
ไม่ว่าจะเกิดขึ้นที่ดินแดนรกร้างโบราณหรือแปดดินแดนอื่น ศึกใหญ่เช่นนี้ล้วนสามารถเกริกก้องไปชั่วกาล ทำให้ใต้หล้าสั่นสะเทือนไปตามกัน!
นี่ก็คือสมรภูมิเก้าดินแดน
สถานที่หนึ่งซึ่งสามารถก่ออิทธิพลยิ่งใหญ่ให้เก้าดินแดน พื้นที่กรำศึกที่จะเขียนความรุ่งโรจน์และร่วงโรยบทใหม่ให้ดินแดนหนึ่ง
ที่นี่การเข่นฆ่าคือหลักเกณฑ์ที่คงอยู่ชั่วนิรันดร์ เลือดหลั่งรินเป็นกระแสน้ำคือภาพที่เห็นบ่อยจนชินตา การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งแรกเป็นเช่นนี้ การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งที่สองก็เป็นเช่นนี้
ครั้งนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน!
ทว่าต่างจากการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณในครั้งนี้กำลังเด่นผงาดขึ้นมาจากความยากลำบากของสงคราม ครอบครองความหวังที่จะช่วงชิงชัยชนะสุดท้าย
เดิมทีความหวังนี้เป็นไปได้สูงว่าจะพินาศย่อยยับในวันนี้
แต่เมื่อซย่าจื้อมาถึง สถานการณ์ทั้งหมดก็พลิกผัน ไม่เหมือนก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิงแล้ว!
ตูม ครืน…
ไอสังหารดั่งกระแสน้ำ เสียงธรรมดุจอสนีบาต กลิ่นคาวเลือดพุ่งทะลวงเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน ราวกับภาพศึกแห่งทวยเทพดึกดำบรรพ์ปรากฏบนโลกอีกครั้งในยามนี้
ภาพการต่อสู้นั้นสามารถทำให้อริยะแท้ต่างสิ้นหวัง!
ตามเวลาที่ล่วงเลย จำนวนของมกุฎอริยะแปดดินแดนกำลังลดฮวบด้วยความเร็วที่น่าตกตะลึง
เดิมพลังต่อสู้ของมกุฎอริยะอย่างพวกเซ่าเฮ่า จ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคกก็ไม่ธรรมดา ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปในระดับเดียวกันเทียบได้อยู่แล้ว
สาเหตุที่ก่อนหน้านี้ถูกกำราบ ก็ด้วยจำนวนของศัตรูมีมากเกินไปทั้งสิ้น ทั้งพวกเขายังต้องคุ้มครองความปลอดภัยของทั้งเมือง จนกระทั่งตกเป็นฝ่ายถูกกระทำ
แต่ตอนนี้กลับต่างออกไปแล้ว!
การปรากฏตัวของซย่าจื้อทำลายสถานการณ์ที่ถูกปิดล้อมพวกนั้น ทำให้พวกเขามีโอกาสเป็นฝ่ายบุกโจมตี!
“ฆ่า!”
ยามนี้ไม่ว่าจะเป็นพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ หรือพวกจ้าวจิ่งเซวียน เจ้าคางคก อาหลู่ล้วนราศีจับไปทั้งตัว สะใจอย่างถึงที่สุด ไม่ซึมเซาเหมือนก่อนหน้านี้อีก
“ฆ่า!”
เสียงคำรามกระหึ่มฟ้ากลั่นออกมาจากใจของทุกคน ระบายความแค้นและเกลียดชังที่ฝังอยู่ในกระดูก
ดินแดนรกร้างโบราณถูกดูหมิ่นข่มเหงมานานเกินไปแล้ว!
ใครเล่าจะยอมถูกเชือดตามใจเหมือนสัตว์เดรัจฉาน
ทั้งใครเล่าจะลืมว่าในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งก่อน มีผู้แกล้วกล้านับไม่ถ้วนเคยสัมผัสความอัปยศและชิงชัง หลั่งเลือดและน้ำตาในสมรภูมินี้
“ฆ่า!”
ฆ่าจนเลือดหลั่งรินเป็นคลื่นพันลี้ วางศพให้เป็นเขาหมื่นชั้น!
…
เพียงครึ่งเค่อ จิตต่อสู้ของทัพพันธมิตรแปดดินแดนพังทลายอย่างสมบูรณ์
มกุฎอริยะพวกนั้นถูกฆ่าจนขวัญหนีดีฝ่อ แบกรับความน่ากลัวที่ความตายนำพามาให้ไม่ไหวจึงหนีกันหัวซุกหัวซุน
แต่ละคนลนลานเหมือนสุนัขไร้เจ้าของ!
จากนั้นทัพพันธมิตรแปดดินแดนที่อยู่ห่างออกไปเห็นท่าไม่ดี ก็แตกฮือเหมือนกระแสน้ำหลากหนีตายกันอลหม่าน เผ่นกระเจิงไปคนละทิศละทาง
เสียงหวีดร้อง ทุรนทุราย โหยหวนสะท้อนก้องจักรวาล
บนสนามรบที่กว้างใหญ่นั้น เห็นกองทัพพ่ายเละไม่เป็นท่า ทุกหนแห่งที่สายตามองเห็นล้วนเป็นภาพกระเจิดกระเจิงไม่เป็นขบวน!
“ชนะแล้ว… ชนะแล้วจริงๆ…”
เซ่าเฮ่าผมเผ้ายุ่งเหยิง ร่างกายเปื้อนเลือด มองเหตุการณ์นี้อย่างอึ้งงัน เห็นศัตรูพวกนั้นหนีกระเจิดกระเจิงร้องหาพ่อแม่ สีหน้าเลยดูมึนงงคล้ายยังไม่กล้าเชื่อ
ครั้งนี้ทัพพันธมิตรแปดดินแดนบุกโจมตีเต็มกำลัง ปิดล้อมเมืองอารักษ์มรรค วางกำลังพลทบเป็นชั้นเหมือนแหฟ้าตาข่ายดิน หลายวันมานี้ทำให้ทั้งค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณกินไม่ได้นอนไม่หลับ นั่งนอนไม่เป็นสุข ในใจทุกคนเหมือนถูกหินทับแทบจะหายใจไม่สะดวก
ถึงขั้นที่ว่าวันนี้พวกเขายังคิดจะยอมพลีชีพแล้ว!
ใครจะคิด…
ว่าพวกเขาจะชนะแล้ว!
ไม่เพียงแต่คลี่คลายวิกฤติที่เมืองอารักษ์มรรคจะล่มสลาย ยังตีทัพพันธมิตรแปดดินแดนพ่ายยับเยิน สังหารจนพวกเขาหนีหัวซุกหัวซุนด้วย!
“ชนะแล้ว…”
พวกรั่วอู่ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน หมีเหิงเจินก็หน้าตามึนงง แต่ละคนต่างดูสะบักสะบอม เสื้อผ้าเปื้อนเลือดไปทั้งตัว
แต่สีหน้าของพวกเขากลับเปล่งประกาย!
“ฆ่า!”
อาหลู่ตะโกนลั่นคิดจะตามไป แต่ถูกจ้าวจิ่งเซวียนห้ามไว้ นี่ไม่ใช่เวลาไล่ฆ่าศัตรู
“ฮ่าๆๆ ชนะแล้ว พวกเราค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณชนะแล้ว!”
เจ้าคางคกหัวเราะลั่น หัวเราะจนน้ำตาไหล
ศึกนี้ยากลำบาก บ้าระห่ำและไม่ง่ายดายนัก ถ้าไม่เจอกับตัวคงยากบรรยายความทุกข์ทรมานของมัน
ฮูม…
ยามนี้สีแห่งรัตติกาลนิรันดร์ทั่วฟ้ารวมเป็นสายเดียวกัน รวมตัวมุ่งไปทางซย่าจื้อ ร่างแยกนับพันนั้นของนางกลับมารวมกันเป็นหนึ่ง
ยามนี้ต่อให้ชนะนางก็ดูนิ่งสงบ ไม่เคยมีคลื่นความรู้สึกใดๆ เหมือนการเข่นฆ่าและการต่อสู้อย่างดุเดือดก่อนหน้านี้ไม่มีความสำคัญ
เพียงแต่ยามนี้ทุกสายตาล้วนจับจ้องไปที่เงาร่างสูงเพรียวนั้นของนางอย่างพร้อมเพรียง ในแววตาล้วนเจือความชื่นชมและซาบซึ้งใจ
ใครต่างก็รู้ว่าวันนี้ที่ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณยังอยู่ เมืองอารักษ์มรรคนี้ยังตั้งตระหง่านสมบูรณ์ไร้ความเสียหายมาได้
ล้วนเป็นผลงานของซย่าจื้อทั้งสิ้น!
พูดอย่างไม่เกินจริง ในศึกนี้นางคนเดียวก็กอบกู้สถานการณ์อันตรายได้ สังหารศัตรูได้อย่างรวดเร็วรุนแรง ไร้เทียมทานเหมือนทวยเทพที่ไม่อาจทัดเทียมในตำนาน!
นี่จะไม่ให้พวกเขาซาบซึ้งใจได้อย่างไร ทั้งใครเล่าจะไม่ชื่นชมและยกย่อง
เพียงแต่ซย่าจื้อกลับไม่รับรู้อะไร นางแค่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปบนเวิ้งฟ้า นางที่อาบไล้ด้วยความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ ราวกับไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งของโลกใบนี้มาก่อน
……