Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1613 ความพ่ายแพ้ปรากฏ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1613 ความพ่ายแพ้ปรากฏ
เมืองไม่พังทลาย กระบวนค่ายกลไร้ความเสียหาย แต่ศัตรูจู่ๆ ก็ปรากฏตัวอยู่บนกำแพงเมืองราวกับภูตผี!
เหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงนี้ทำให้พวกจู๋อิ้งคงขนลุกไปทั้งตัวขึ้นมา
แม้แต่พวกเซ่าเฮ่าและเจ้าคางคก เวลานี้ยังตกตะลึงอ้าปากค้าง อย่างนี้ก็ได้หรือ ซย่าจื้อนาง… ทำได้อย่างไรกันแน่
มีเพียงหลินสวินที่มองออก การโจมตีของซย่าจื้อก่อนหน้านี้เรียกได้ว่าน่ากลัวจริงๆ สั่นคลอนกระบวนค่ายกลพิทักษ์เมืองทั้งหมดได้ในคราเดียว
แต่ทุกอย่างนี้เป็นแค่เหยื่อล่อเท่านั้น เป้าหมายที่แท้จริงของซย่าจื้อไม่ใช่การฝืนปะทะกระบวนค่ายกลนั่น หากแต่เป็นการฉวยโอกาสนี้พุ่งตัวเข้าไป!
แม้แต่หลินสวินก็มองไม่ออกว่าวิชาที่ซย่าจื้อสำแดงออกมาเป็นวิชาลับอะไร ถึงปรากฏตัวในนั้นได้โดยไม่มีใครรู้ตัวเช่นนี้
‘หลายปีนี้คงไม่ได้มีแค่ตนที่พลังปราณเลื่อนขั้นอย่างต่อเนื่อง ตัวซย่าจื้อเองก็คงเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึงบางอย่าง จึงทำให้พลังต่อสู้ของนางเปลี่ยนต่างไปจากอดีตอย่างสมบูรณ์แล้ว…’
หลินสวินคล้ายขบคิด
ด้วยสายตาของเขาตอนนี้ยังไม่อาจมองตื้นลึกหนาบางในพลังต่อสู้ของซย่าจื้อออก เดิมทีนี่ก็ดูน่าเหลือเชื่อเป็นอย่างยิ่ง
ฟุ่บ!
สิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ หลังจากซย่าจื้อปรากฏตัวเหนือกำแพงเมืองก็ไม่ใส่ใจพวกจู๋อิ้งคงที่อยู่ห่างออกไป
เงาร่างของนางพุ่งวาบ โฉบเข้าไปในเมือง
เหล่าบุคคลสำคัญที่อยู่บนกำแพงเมืองพวกนั้นต่างตื่นตะลึงอย่างอดไม่ได้
“แย่แล้ว นางจะไปทำลายฐานของกระบวนค่ายกล!”
จู๋อิ้งคงพลันหน้าเปลี่ยนสี ส่งเสียงตะโกนลั่น “เร็วเข้า รีบไปขวางนางไว้!”
ทุกคนต่างลนลานในชั่วขณะเดียว ออกโจมตีโดยไม่ลังเล
หากฐานของกระบวนค่ายกลถูกทำลาย เมืองอารักษ์มรรคนี้มีหรือจะยืนหยัดต่อไปได้
“เร็วเข้า ล้อมผู้หญิงคนนั้นไว้!”
“ฆ่า!”
“ไม่ว่าอย่างไรก็อย่าให้นางเข้าใกล้ฐานกระบวนค่ายกลเด็ดขาด!”
เสียงตะโกนสะเทือนใต้หล้าดังก้องฟ้าเหนือเมืองอารักษ์มรรค ผู้แข็งแกร่งของดินแดนโบราณยอดหยินนับไม่ถ้วนในเมืองไม่มีใครไม่แตกตื่น ลุกฮือกันขึ้นมา
แต่สิ่งที่ทำให้ทุกคนต่างสิ้นหวังคือ การขัดขวางทุกอย่างล้วนเปล่าประโยชน์!
เงาร่างของซย่าจื้อราวกับลำแสงมืดมิด ไม่เพียงแต่รวดเร็วหาใดเปรียบ ทุกหนแห่งที่นางพาดผ่าน ขอแค่มีผู้แข็งแกร่งเข้ามาใกล้ก็จะถูกฆ่าตายคาที่
ไม่ว่าพลังปราณจะสูงหรือต่ำ ไม่ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ ล้วนไม่รอด!
ถ้ามองลงมาจากเวิ้งฟ้าจะเห็นเส้นทางโลหิตเลือดชโลมสายหนึ่ง ทอดยาวเข้าไปในเมืองอย่างต่อเนื่องได้อย่างชัดเจน
ซย่าจื้อที่อาบไล้ด้วยความมืดแห่งรัตติกาลนิรันดร์ เหมือนดาบแหลมเล่มหนึ่งที่เฉียบคมหาใดเปรียบ เปิดฉากนองเลือดตลอดทาง
เสียงร้องทุรนทุราย คำราม หวาดผวาเริ่มดังก้องขึ้นในเมือง คลื่นลมปั่นป่วนไปทั่ว
ภาพนองเลือดต่างๆ นั้นทำให้ผู้แข็งแกร่งที่เคยมุ่งหน้าไปโจมตีเมืองอารักษ์มรรคของโลกรกร้างโบราณหลายวันก่อนรู้สึกคุ้นเคยหาใดเปรียบ และขวัญหนีดีฝ่อเป็นอย่างยิ่ง
หลายวันก่อนก็เป็นหญิงสาวปริศนาคนนี้ที่มาตัวคนเดียว เหยียบย่ำกระบวนผนึกอริยมรรคเก้าชั้น สังหารจนผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนกระเจิดกระเจิงไม่เป็นขบวน!
ในมือนางมกุฎอริยะล้วนถูกกำจัดอย่างง่ายดายราวกับวัชพืช เหมือนตัวตนที่ไร้คู่ต่อกรในตำนาน
และตอนนี้นางได้ปรากฏตัวอีกครั้ง เพียงแต่ปรากฏตัวในเมืองอารักษ์มรรคที่ค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินของพวกเขาตั้งอยู่
แล้วเปิดฉากเข่นฆ่าเท่านั้น!
บนกำแพงเมือง เมื่อเห็นภาพอลหม่าน นองเลือด น่าสยดสยองต่างๆ ที่กำลังเปิดฉากในเมือง จู๋อิ้งคงก็แข็งทื่อไปทั้งตัวราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
ก่อนหน้านี้เขาเข้าใจว่าซย่าจื้อเป็นบุคคลปริศนาคนหนึ่งที่พลังต่อสู้แข็งแกร่งหาใดเปรียบ ถึงขั้นน่ากลัวกว่าหลินสวิน
แต่ด้วยมีกระบวนผนึกอริยะมรรคป้องกันพิทักษ์เมืองอยู่ จู๋อิ้งคงจึงไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่าผู้หญิงคนนี้จะน่ากลัวกว่าที่เขาจินตนาการไว้
กระบวนค่ายกลแห่งหนึ่ง สำหรับนางแล้วเหมือนว่างเปล่า เมืองอารักษ์มรรคที่กว้างใหญ่ กลับปล่อยให้นางบุกเข้ามาเหมือนเข้าสู่แดนไร้ผู้คน!
“เป็นไปได้อย่างไร… เป็นไปได้อย่างไร…”
ดวงตาทั้งคู่ของจู๋อิ้งคงเหม่อลอย ในเมืองเปลวไฟพวยพุ่งสู่ฟากฟ้าไม่หยุด คนบาดเจ็บล้มตายกำลังเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
แต่ยามนี้เขาพลันพบว่าเมื่อไม่มีกระบวนค่ายกลเป็นที่พึ่งแล้ว ตัวเองก็ไม่มีความกล้าไปต่อสู้กับหญิงสาวปริศนาคนนั้น!
นอกเมือง
เสียงกรีดร้องโหยหวนเป็นระลอกดังมาจากในเมืองอย่างต่อเนื่อง ทำให้หลินสวินยังอดไหวหวั่นไม่ได้ แม้แต่เขาก็คิดไม่ถึงว่าซย่าจื้อคนเดียวจะมีความสามารถในการทำลายล้างเช่นนี้!
เมื่อมองพวกเจ้าคางคก อาหลู่ เซ่าเฮ่า ก็เห็นสีหน้าตกตะลึงราวกับเห็นเทพไท้กันไปหมด
‘ระดับนี้ไร้คู่ต่อกร’
ในที่สุดหลินสวินก็ชี้ชัดได้แล้ว ทั้งซย่าจื้อน่าจะยังครอบครองวิชาลับที่คาดไม่ถึงด้วย จึงมองข้ามพลังป้องกันของกระบวนค่ายกลนั้นได้
“ทุกท่าน เตรียมตัวให้พร้อม รอแม่นางซย่าจื้อทำลายกระบวนค่ายกลของเมืองนี้แล้ว พวกเราจะบุกเข้าไปในเมืองแล้วสังหารให้หมด!”
เจ้าคางคกตะเบ็งเสียงลั่น ไอสังหารพวยพุ่ง
คนอื่นก็ไอสังหารแผ่ซ่าน
สมรภูมิเก้าดินแดนนี้เคยฝากเลือดและน้ำตา ความอัปยศและเคียดแค้นของบรรพชนแห่งดินแดนรกร้างโบราณนับไม่ถ้วน มองดูเมืองอารักษ์มรรคที่สูงตระหง่านโดดเด่นซึ่งห่างออกไปนั่น ราดรดด้วยเลือดของบรรพชนเท่าไร ก่อขึ้นจากกระดูกของบรรพชนเท่าไร
ความอัปยศและบัญชีเลือดนี้ แน่นอนว่าต้องล้างแค้น ต้องชำระ!
ตูม!
ไม่ทันไรกระบวนค่ายกลที่ปกคลุมทั่วเมืองอารักษ์มรรคพลันเกิดคลื่นสะเทือนรุนแรง จันทร์ศักดิ์สิทธิ์สองลักษณ์สามสิบหกดวงที่ลอยเด่นอยู่ใต้เวิ้งฟ้าล้วนสั่นคลอนขึ้นมาในยามนี้
“นายน้อย ผู้หญิงคนนั้นน่ากลัวเกินไป พวกเราขวางไม่อยู่แล้ว ขอเพียงเข้าไปใกล้ก็ล้วนตายหมด!”
“นายน้อย ทำอย่างไรดี ผู้หญิงคนนั้นกำลังทำลายฐานกระบวนค่ายกล ถ้าไม่มีกระบวนค่ายกลนี้แล้ว พวกเรา… ไม่ใช่ว่าพวกเราจะจบเห่กันแล้วหรือ”
“นายน้อย…”
เสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นข้างหูจู๋อิ้งคง ราวกับแมลงวันที่น่ารำคาญพันหมื่นตัวกำลังร้องหึ่งๆ ทำให้จู๋อิ้งคงสับสนวุ่นวาย ในใจรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก
“พอแล้ว!”
เขาเงยหน้าขึ้นแล้วตวาดออกไปทันที นัยน์ตาคั่งโลหิต เหี้ยมเกรียมน่าหวาดกลัว
ทุกคนสะท้านไปทั้งตัว เงียบกริบดังจักจั่นเดือนหนาว
จู๋อิ้งคงสูดลมหายใจกระชั้นถี่ ควบคุมความกระสับกระส่ายและร้อนรนในใจอย่างเต็มที่
แต่ตอนนี้เวลานี้เขากลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี สีหน้ามืดมนเจือความงุนงงอย่างบอกไม่ถูก
เขาเป็นบุคคลระดับผู้นำของค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยิน เป็นองค์ชายของเผ่าจู๋หลง เปล่งประกายเจิดจรัส ครองอำนาจเหนือผู้คนระดับเดียวกัน ในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้ เดิมน่าจะเป็นเวทีที่เขาได้ออกโรงจ่อปลายกระบี่แหวกคลื่นลม
แต่ตอนนี้เขาพลันพบว่า ในสมรภูมิเก้าดินแดนนี้กลับเหมือนหลุมศพ ใกล้จะมอบความตายให้กับทุกอย่างที่เขามี!
ความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ไม่เคยมีมาก่อนผุดขึ้นในใจของจู๋อิ้งคงราวกับกระแสน้ำ เขายืนอยู่บนกำแพงเมือง กวาดสายตามองไปโดยรอบ จิตใจเลื่อนลอย
ทัพพันธมิตรเจ็ดดินแดนไม่ไหว
ทัพพันธมิตรแปดดินแดนไม่รอด
แม้แต่ยอดบุคคลทั้งหมดของแปดดินแดนร่วมมือกันก็ยังไม่ได้!
การต่อสู้แห่งเก้าดินแดนครั้งนี้ จะพลิกผันให้ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณนั่นได้ชัยชนะครั้งใหญ่ไปจริงหรือ
นึกถึงตรงนี้ในสมองจู๋อิ้งคงพลันปรากฏเงาร่างของหลินสวิน ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็เหลือบมองไปทางหลินสวินที่อยู่ห่างออกไป
เขาดวงตาแทบถลนในพริบตา สีหน้าเหี้ยมเกรียม ความรู้สึกเดือดดาล ความกระสับกระส่ายและพ่ายแพ้ทั้งหมดที่สะสมในใจล้วนระเบิดออกมาในยามนี้
“หลินสวิน ทั้งหมดเป็นเพราะเจ้า! เป็นเพราะเศษสวะอย่างเจ้า…!”
เขาแผดเสียงคำราม ดวงตาแทบถลน เสียงสะเทือนใต้หล้า เต็มไปด้วยความคั่งแค้นและเดือดดาลเข้ากระดูก พาให้คลื่นลมสะท้านไหว
หลินสวินสีหน้าราบเรียบกล่าวลอยๆ “พวกเจ้าดู นี่ก็คือผู้นำของดินแดนหนึ่ง ยามไร้ที่พึ่ง ตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง ก็ไม่ต่างอะไรกับหญิงปากร้ายคนหนึ่งที่โวยวายอยู่บนถนน”
พวกเจ้าคางคกต่างอดหัวเราะไม่ได้
เจ้าจู๋อิ้งคงนี่เห็นได้ชัดว่าแบกรับการโจมตีไม่ไหว ใกล้จะคลุ้มคลั่ง
ตูม!
ทันใดนั้นเมืองก็สั่นสะเทือนรุนแรง กระบวนค่ายกลโอนเอนเซไปมา คลื่นผนึกที่เกิดขึ้นกำลังลดฮวบด้วยความเร็วน่าตกตะลึง เหมือนลูกหนังที่ถูกเจาะรูให้ลมรั่ว
“ท่านพี่ ท่านรีบตัดสินใจเถอะ!”
จู๋อิ้งเสวี่ยลุกลนกระสับกระส่าย กล่าวร้อนรน
“ตัดสินใจหรือ”
จู๋อิ้งคงตัวสั่นทันที เมื่อหันกลับไปมองก็เห็นว่าในเมืองเลือดหลั่งรินเป็นกระแสน้ำ ทุกหนแห่งคือภาพน่าสังเวชที่เขม่าควันอบอวล
“นายน้อย เมืองนี้… ใกล้จะต้านไม่อยู่แล้ว!”
มีพวกคนใหญ่คนโตกล่าวโศกเศร้า
เมืองอารักษ์มรรคนี้ผ่านการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนมาสองครั้งแล้วไม่ดับสลาย ตั้งตระหง่านอยู่ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดมาถึงปัจจุบัน แต่ตอนนี้กลับใกล้จะพังทลายในมือของพวกเขา
นี่ทำให้ใจของพวกเขามีเลือดหลั่งริน ปวดร้าวปานจะขาดใจ
“พอแล้ว สั่งการลงไป ถอนกำลังพลให้หมด หนีไปได้เท่าไรก็เท่านั้น…”
จู๋อิ้งคงโบกมืออย่างหดหู่ เหมือนสิ้นแรงกำลังทั้งหมด
“ท่านพี่ แล้วท่านล่ะ”
จู๋อิ้งเสวี่ยตื่นตระหนก นางรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลอยู่บ้าง
“เมืองนี้กำลังจะพังทลาย ข้ายังจะมีหน้าเอาตัวรอดหรือ หากเป็นไปดังคาด ตั้งแต่วันนี้ไปข้าจู๋อิ้งคง เกรงว่าคงได้เป็นคนบาปที่ถูกสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลานของดินแดนโบราณยอดหยินแล้ว…”
จู๋อิ้งคงสีหน้าเศร้าสลด “ต่อให้กลับไปก็ต้องถูกผู้คนด่าว่ากล่าวหา ใต้หล้าทอดทิ้ง ชื่อเสียเช่นนี้ข้าแบกรับได้ แต่เผ่าจู๋หลงของพวกเราแบกรับไม่ได้”
พูดถึงตรงนี้สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นอบอุ่น ตบบ่าของจู๋อิ้งเสวี่ยกล่าว “น้องสาวของข้า เจ้าจากไปพร้อมพวกเขาเถอะ ความอัปยศของศึกนี้ให้ข้าแบกรับคนเดียวพอ!”
“ไม่ ข้าจะไปกับท่าน!”
จู๋อิ้งเสวี่ยดวงตาเริ่มแดง น้ำตาคลอเบ้า
“ไปเถอะ”
จู๋อิ้งคงโบกมือ ทันใดนั้นก็มีมกุฎอริยะคนหนึ่งก้าวออกมาพาตัวจู๋อิ้งเสวี่ยไป ไม่ว่านางจะดิ้นรนอย่างไรล้วนไม่เป็นผล
“อิ้งเสวี่ย ภายหน้าไม่ต้องคิดแก้แค้นให้ข้า หลินสวินนั่น… ไม่ใช่คนที่เจ้าต่อกรได้ อย่าทำเรื่องโง่ๆ เด็ดขาด”
จู๋อิ้งคงกำชับด้วยใบหน้าอบอุ่น มองส่งพวกน้องสาวจากไปไกลแล้วเขาจึงถอนสายตากลับ สีหน้าเต็มไปด้วยความเด็ดเดี่ยว
ตูม!
เวลานี้พร้อมๆ กับเสียงกัมปนาทที่ราวกับฟ้าถล่มดินทลาย จันทร์ศักดิ์สิทธิ์สองลักษณ์สามสิบหกดวงที่ลอยเด่นอยู่ใต้เวิ้งฟ้าแตกละเอียดทีละดวง กลายเป็นละอองแสงลอยล่องซ้อนสลับ
กระบวนค่ายกลพังทลายแล้ว!
เมืองอารักษ์มรรคที่กว้างใหญ่นั้น เผยให้เห็นอยู่กลางฟ้าดินอย่างสมบูรณ์
จู๋อิ้งคงยืนอยู่บนกำแพงเมืองคนเดียว ชายเสื้อพลิ้วไหว ผมยาวแผ่สยาย สีหน้านิ่งสงบ คล้ายไม่รับรู้ว่ากระบวนค่ายกลพังทลาย
ด้านหลังเขา ผู้แข็งแกร่งทั้งหมดของค่ายทัพดินแดนโบราณยอดหยินเผ่นกระเจิงไปคนละทางราวกับสุนัขไร้เจ้าของ แต่ละคนสีหน้าตื่นตระหนก เหตุการณ์ยุ่งเหยิงอลหม่านเกินทน
ใครก็คิดไม่ถึงว่ากระบวนผนึกพิทักษ์เมืองจะถูกทำลายเร็วขนาดนี้ นี่ทำให้พวกเขาแต่ละคนต่างรู้สึกสิ้นหวัง เพื่อเอาตัวรอดจึงไม่อาจไม่หนี!
ในสถานการณ์ที่อลหม่านเกินทนนี้จู่ๆ พวกหลินสวินก็มาถึง แต่ละคนล้วนไม่ปกปิดไอสังหารบนตัวแม้แต่น้อย
“ยกจู๋อิ้งคงนี้ให้ข้า เรื่องอื่นในเมืองต้องลำบากทุกท่านแล้ว”
นัยน์ตาดำของหลินสวินเยียบเย็น ออกคำสั่งลงมา
“ไป!”
พวกเจ้าคางคก อาหลู่ เซ่าเฮ่า รั่วอู่ เซี่ยวชางเทียน แยกย้ายกันเข้าไปในเมืองของดินแดนโบราณยอดหยินโดยไม่ลังเล
ส่วนหลินสวินก็ลอยล่องมาถึงกำแพงเมือง สายตาจับจ้องจู๋อิ้งคงพลางกล่าว “ดูท่าเจ้าคงคิดจะยอมพลีชีพสินะ หรือพูดได้ว่าคิดจะเดิมพันชีวิตของตัวเองมาสู้กับข้าจนตายไปข้างล่ะสิ”
จู๋อิ้งคงกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก “เจ้าอยากรู้ข่าวเกี่ยวกับปาฉีจากปากข้าไม่ใช่หรือ ส่วนข้าก็อยากประลองกับเจ้า ถ้าข้าแพ้แล้วค่อยบอกเจ้า!”
………………