Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1622 การพานพบอันล้ำค่า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1622 การพานพบอันล้ำค่า
ยามมองดูหลินสวินเดินมาจากที่ไกลออกไป ทุกคนที่ยืนอยู่รอบกำแพงเมืองล้วนหายใจไม่ออก รู้สึกถึงแรงกดดันอันหนักอึ้ง
ในใจแทบจะเกิดความรู้สึกยำเกรงขึ้นจากสัญชาตญาณ
พยัคฆ์คำรามลั่นร้อยธารา หมื่นอสุราล้วนสยบ
มังกรโผนทะยานเก้าชั้นฟ้า หมื่นวิญญาณต่างนบนอบ
ขณะนี้ความรู้สึกที่หลินสวินมอบให้กับทุกคนก็เหมือนเซียนจากหมู่เมฆที่ลอยละล่องมาเยือนโลก เป็นนายเหนือหัวที่เดินออกมาจากหมู่อริยเทพ!
ต่อให้เป็นเหล่ามกุฎอริยะอย่างพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ยังรู้สึกถึงแรงกดดันอันไร้รูปร่าง สีหน้าต่างฉายแววประหลาดอย่างห้ามไม่อยู่
หลินสวินที่สร้างวิชาแห่งตนขึ้นมาได้แตกต่างจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงจริงๆ ทุกการกระทำล้วนน่าเกรงขามยิ่งนัก!
เทวรูปที่ถูกปุถุชนประดิษฐานไว้ในอาราม ผ่านควันธูปและการกราบไหว้บูชามานานปี ก็มีอำนาจบารมีอันทรงภูมิไปด้วย
ส่วนหลินสวินที่แปรสภาพบนเส้นทางมหามรรค กลิ่นอายรอบกายย่อมแปรเปลี่ยนตามไปด้วยโดยปริยาย
ไร้รูปไร้ลักษณ์ แต่กลับตรงสู่ใจคน!
หลินสวินสังเกตได้อย่างฉับไวว่าสีหน้าทุกคนผิดแผกไป ครู่ต่อมาเมื่อเขาครุ่นคิด ลักษณะท่าทางของเขาก็แปรเปลี่ยนอย่างเงียบเชียบไปด้วย
เรียบง่ายและธรรมดา ชำระเปลือกนอกจนสิ้น ประหนึ่งทวยเทพซ่อนฤทธิ์เดช!
แทบจะในชั่วพริบตา กลิ่นอายกดดันไร้รูปที่ทุกคนสัมผัสได้ต่างหายลับไปอย่างไร้ร่องรอย
เมื่อมองดูหลินสวินอีกครั้ง อาภรณ์ปลิวไสว เงาร่างสูงโปร่ง มอบความรู้สึกพิสุทธิ์ อ่อนโยน ผ่อนคลายราวกับลมฝนยามวสันต์
พวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่เห็นดังนี้ ในใจกลับยิ่งตื่นตะลึง กลิ่นอายไหวเคลื่อนตามจิต เก็บงำปลดปล่อยได้ดั่งใจ จะยิ่งใหญ่เด่นตระหง่านดั่งอริยะ หรือเรียบง่ายไร้ซึ่งความเลิศลอยดั่งปุถุชนก็ทำได้!
ระดับเช่นนี้ทำให้พวกเขาต่างทำได้เพียงมองและทอดถอนใจ
ตอนนี้หลินสวินแข็งแกร่งปานไหนกันแน่
‘วิชา’´ที่เขาสรรค์สร้างขึ้นจะแข็งแกร่งปานใดกัน
ไม่มีใครดูออก
แต่ทุกคนต่างรู้ ในระดับมกุฎอริยะ หลินสวินที่สร้างวิชาแห่งตนได้ เกรงว่าจะเรียกได้ว่าไร้ศัตรูแล้ว
ไร้ศัตรูอย่างแท้จริง!
……
หลินสวินสร้างวิชาได้สำเร็จ ทำให้คนของดินแดนรกร้างโบราณปิติยินดี วันนั้นจึงมีผู้ฝึกปราณไม่รู้เท่าไรมาเยี่ยมเยียน
จนกระทั่งกลางดึก เหล่าแขกเหรื่อที่มาเยือนถึงค่อยๆ จากไป
ในลานบ้าน หลินสวิน เจ้าคางคก อาหลู่ และเจ้านกดำกำลังร่ำสุรา แสงตะเกียงใกล้มอดดับ ดึกสงัดสงบเงียบ
“พี่ใหญ่ สมรภูมิเก้าดินแดนนี้กำลังจะจบลงแล้ว ข้ามั่นใจว่าตอนที่พวกเรากลับไป ผู้ฝึกปราณดินแดนรกร้างโบราณเหล่านั้นต้องไม่กล้าเชื่อว่าพวกเราชนะแน่”
เจ้าคางคกเอ่ยปากสายตามึนเมา บนพื้นใกล้กันมีไหสุราไม่รู้เท่าไรกองระเกะระกะไร้ระเบียบเต็มไปหมด
อาหลู่ที่อยู่ข้างกันหัวเราะแหะๆ เอ่ยว่า “ข้ายิ่งสงสัยว่าหลังจากกลับไปคราวนี้ ในดินแดนรกร้างโบราณจะยังมีขุมอำนาจไหนกล้าหาเรื่องกับพี่ใหญ่อีกไหม!”
ได้ยินดังนี้ทุกคนต่างหัวเราะร่าอย่างอดไม่ได้
การได้รับชัยชนะอย่างยิ่งใหญ่ในสมรภูมิเก้าดินแดนคราวนี้ มีความหมายยิ่งใหญ่เพียงใดย่อมเกินจินตนาการ
ไม่ใช่เพียงเพื่อชำระล้างความอัปยศและหนี้เลือดให้กับผู้กล้าในอดีตนับไม่ถ้วน และไม่ได้เรียบง่ายเพียงแค่ทำลายค่ายทัพทั้งแปดดินแดน
ที่สำคัญที่สุดก็คือ ชัยชนะอันยิ่งใหญ่คราวนี้สามารถเปลี่ยนแปลงแนวโน้มโดยรวมของดินแดนรกร้างโบราณได้!
อย่างไรเรียกว่าแนวโน้มโดยรวม
เป็นการชะล้างสถานการณ์ที่เสื่อมโทรมตกต่ำ เรียกสุริยันจันทราพลิกฟ้าใหม่!
เป็นการกวาดล้างหมอกทะมึนจากอดีตจวบจนปัจจุบันในคราวเดียว ทำให้ดินแดนรกร้างโบราณครอบครองรากฐานให้ผงาดได้อีกครั้ง!
แต่ก่อนดินแดนรกร้างโบราณถูกแปดดินแดนอื่นกดข่มมาไม่รู้กี่เดือนปี ผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณยอมจำนนด้วยเหตุนี้มาไม่รู้กี่ครั้ง
แต่ตอนนี้ ไม่เหมือนเดิมแล้ว!
แม้ว่าพูดกันเรื่องศักยภาพโดยรวมแล้ว ดินแดนรกร้างโบราณยังห่างชั้นจากอีกแปดดินแดนไปไกลเหมือนเดิม แต่ชัยชนะยิ่งใหญ่ครั้งนี้ก็เหมือนหยาดฝนกลางหน้าแล้งอันยาวนาน สามารถทำให้ทุกชีวิตในดินแดนรกร้างโบราณมองเห็นความหวังที่จะผงาดขึ้นใหม่ มีชัยเหนือแปดดินแดนได้อีกครั้งหนึ่ง
นี่ก็คืออิทธิพลที่ชัยชนะยิ่งใหญ่ในสมรภูมิเก้าดินแดนคราวนี้สร้างขึ้น!
และใครก็รู้ดีว่าหากไม่มีหลินสวินลงแรงต้านคลื่นคลั่ง เผด็จการเหนือจักรวาล ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณย่อมไม่อาจได้รับชัยชนะเบ็ดเสร็จในสมรภูมิเก้าดินแดนคราวนี้ไปได้!
ถึงกับพูดได้อย่างไม่เกินเลยว่า หากไม่มีหลินสวิน ค่ายทัพดินแดนรกร้างโบราณคงถูกเหยียบย่ำยับเยินไม่รู้กี่ครั้งไปนานแล้ว
พูดง่ายๆ ก็คือ ไม่ว่าเป็นใคร ไม่ว่าเข้าร่วมสมรภูมิเก้าดินแดนหรือไม่ ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณ ต่างต้องรับน้ำใจของหลินสวินทั้งนั้น!
ในสถานการณ์เช่นนี้ เมื่อสมรภูมิเก้าดินแดนปิดฉากลง กลับสู่ดินแดนรกร้างโบราณ หากยังมีใครกล้าหาเรื่องหลินสวิน…
เช่นนั้นก็ช่างเป็นการรนหาที่ตายเอง!
ไม่ต้องให้หลินสวินลงมือสักนิด เหล่ามกุฎอริยะอย่างพวกเซ่าเฮ่า รั่วอู่ เซี่ยวชางเทียน เยี่ยเฉิน หมีเหิงเจินลุกขึ้นมาคว้าอาวุธเข้าช่วยเหลือ
“หึ มกุฎอริยะเท่านั้นเอง พวกเจ้าอย่าไปดูแคลนเหล่าผู้กล้าในดินแดนรกร้างโบราณ ในหมู่ขุมอำนาจใหญ่เก่าแก่พวกนั้น ยังมีสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับมหาอริยะและราชันอริยะคุมอำนาจอยู่!”
เจ้านกดำหัวเราะหยัน ท่าทางราววิพากษ์วิจารณ์บ้านเมือง
“ยังมีสนามรบแนวหน้าของดินแดนรกร้างโบราณแห่งนั้น มีผู้แข็งแกร่งระดับกึ่งจักรพรรดิอีกไม่รู้เท่าไรกำลังต่อสู้อาบเลือดอยู่ หากคิดว่าแค่ได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ในสมรภูมิเก้าดินแดนกลับไป ก็ไม่ต้องสนกฎเกณฑ์ไม่สนฟ้าดินได้ เช่นนั้นก็ดูเด็กน้อยนัก”
เผียะ!
เจ้าคางคกใช้มือหนึ่งตบเข้าท้ายทอยของเจ้านกดำ เขารำคาญท่าทางดูเบาสรรพสิ่งเช่นนี้ของเจ้านกดำเป็นที่สุด
เจ้าคางคกตำหนิ “เจ้านกบ้านี่จะขวางโลกเกินไปแล้ว กวนประสาทชัดๆ!”
เจ้านกดำโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง “ให้ตายสิ ข้าเตือนด้วยความหวังดีนะ เจ้าถึงกับกล้าลงมือเลยหรือ เชื่อไหมว่าข้าจะฆ่าเจ้า”
เจ้าคางคกไม่กลัวสักนิด ถกแขนเสื้อขึ้นแล้วเดินเข้าไปหา “มาๆๆ พวกเราสองคนมาสู้กันหน่อย”
“ไป ไปนอกเมือง คราวนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าว่าควรทำตัวอ่อนน้อมอย่างไร!”
เสียงฟึ่บดังขึ้น เจ้านกดำทะยานขึ้นไปบนฟ้าอย่างโมโหโทโส
เจ้าคางคกตามหลังไปติดๆ
อาหลู่กลัวเพียงใต้หล้าไม่โกลาหล จึงไม่ดื่มสุราแล้ว กระโจนตัวตามขึ้นไป
“จะให้ไปตักเตือนหน่อยไหม”
จ้าวจิ่งเซวียนมองไปที่หลินสวิน
หลินสวินยิ้มพลางส่ายหัว “ไม่ต้องแล้ว เจ้านกบ้านั่นเจ้าเล่ห์เพทุบายเป็นที่สุด ถ้าเอาชนะไม่ได้จะต้องหลบหนีทันที ส่วนเจ้าคางคก มีอาหลู่อยู่ ก็คงไม่ยอมมองดูเขาถูกเจ้านกดำรังแกแน่”
เขาเข้าใจนิสัยใจคอของเจ้าพวกนี้เป็นอย่างยิ่ง
“นายท่าน ข้ากับเสี่ยวเทียนก็อยากไปดูการต่อสู้”
ข้างๆ เสี่ยวอิ๋นอยากจะลงมือเต็มแก่
“ไปเถอะๆ”
หลินสวินโบกมือ
ไม่นานนักในลานบ้านก็เหลือเพียงหลินสวินกับจ้าวจิ่งเซวียน
ราตรีดึกสงัด ลมเย็นพัดเอื่อย
ไม่แน่อาจเป็นเพราะดื่มสุรา เนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนจึงเจือแววมัวเมา ใบหน้างามกระจ่างแดงก่ำ ดูงามเด่นเกินผู้ใด
ศีรษะของนางอิงอยู่บนไหล่หลินสวิน เอ่ยเสียงค่อยว่า “อีกเดี๋ยวก็จะต้องกลับดินแดนรกร้างโบราณแล้ว เวลาผ่านไปไวจริงๆ”
ตั้งแต่สมรภูมิเก้าดินแดนเปิดจนตอนนี้ก็ผ่านมาสามปีแล้ว พอนึกถึงเรื่องที่ได้ประสบในช่วงสามปีนี้แต่ละเรื่องโดยละเอียด หลินสวินก็ทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้
วิถีฝึกปราณดุจที่ค้างแรม ตัวข้าเป็นดั่งนักเดินทาง
แม้ฝึกตนสำเร็จ อายุขัยยืนยาวเพียงพอที่จะอยู่คู่ฟ้าดิน ก็ย่อมไม่อาจหลุดพ้นจากกาลเวลาได้
“ตอนซย่าจื้อไปได้พูดถึงข้าหรือเปล่า”
จู่ๆ จ้าวจิ่งเซวียนก็เอ่ยปาก เสียงเจือความวิตกอย่างพบเห็นได้ยาก
หลินสวินยิ้มเอ่ยอย่างอดไม่ได้ว่า “เจ้าเดาดูไหม”
จ้าวจิ่งเซวียนเงยหน้าขึ้น ค้อนตำหนิหลินสวินครั้งหนึ่ง “เจ้ายังมีกะจิตกะใจมาล้อเล่นอีกหรือ”
นางท่าทางเมานิดๆ ใบหน้าแดงก่ำ เนตรกระจ่างมีชีวิตชีวา มองดูในระยะใกล้เพียงนี้ ทำให้หลินสวินเคลิบเคลิ้มอย่างอดไม่ได้ สีหน้าไม่ปิดบังความรักใคร่ ชื่นชมและอัศจรรย์ใจสักนิด
ถ้าเป็นอย่างแต่ก่อน จ้าวจิ่งเซวียนจะต้องเปลี่ยนเรื่องคุย หลบสายตาจับจ้องของหลินสวินอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้อาจเป็นเพราะเมามาย ตัวนางเหมือนไม่รู้ไปเอาพลังมาจากไหน รับสายตาเปิดเผยเร่าร้อนนั้นของหลินสวิน มองดูใบหน้าหล่อเหลาเกลาเกลี้ยงอันคุ้นเคยนั้น ในใจก็หวั่นไหวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
“จิ่งเซวียน ให้เจ้ารอนานเสียแล้ว”
หลินสวินเสียงแผ่วต่ำ เจือน้ำเสียงคลุมเครือ มองดูใบหน้างามประณีต แจ่มจรัสราวดอกท้อที่ห่างเพียงเอื้อมมือตรงหน้านั้น ก้มหน้าลงไปจูบริมฝีปากสีแดงสดเปล่งปลั่งนั้นอย่างอดใจไว้ไม่ได้
สัมผัสเบาๆ ครั้งเดียว มหัศจรรย์เป็นที่สุด
จ้าวจิ่งเซวียนเขินอาย ใบหน้าเกลี้ยงเกลาสุกก่ำ นางหลับตาลง ความรู้สึกยากบรรยายผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งจิตใจ ทั้งตื่นเต้น กระสับกระส่าย ทั้งชื่นมื่นสุขใจและเฝ้าคอยอย่างบอกไม่ถูก ตัวนางราวกับสูญเสียพลังต้านทานไป
ให้เจ้าตักตวงได้ตามใจ
ความรู้สึกนึกคิดในสมองไหลหลั่ง จ้าวจิ่งเซวียนพลันนึกถึงคำพูดหนึ่ง ‘เป็นตายพบพราก สัญญาร่วมกัน จับจูงมือเจ้า แก่เฒ่าด้วยกัน’
ครู่ต่อมานางเพียงรู้สึกว่าร่างกายเบาหวิว ถูกแขนอันทรงพลังคู่หนึ่งโอบไว้ ความรู้สึกตื่นเต้นจู่โจมจิตใจราวกระแสธาร ทำให้ขนตายาวเรียวคล้ายพัดใบจ้อยกระพือไหวขึ้นมา ใบหน้าผุดผ่องเพริศแพร้วยิ่งหวั่นไหว โฉมสะคราญไม่อาจเทียบได้
หลินสวินหลุดหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ไม่ว่าจ้าวจิ่งเซวียนจะมีนิสัยใจคออย่างไร ทั้งเป็นคนที่โดดเด่นปานไหน นางก็ยังเป็นผู้หญิงคนหนึ่งอยู่ดี ในเวลาเช่นนี้ก็เขินอายตื่นเต้นอย่างเลี่ยงได้ยาก
ครู่ต่อมาเขาก็โอบคนงามไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินเข้าไปในห้อง
“จิ่งเซวียน คืนนี้ก็ให้ข้าปรนนิบัติเจ้าเข้านอนเถอะ”
เสียงทุ้มต่ำจของหลินสวินดังขึ้นในโสตประสาทของจ้าวจิ่งเซวียนอย่างเลือนราง ด้วยความรู้สึกแรงกล้าขับเคลื่อน ทำให้นางตาเบิกกว้างอย่างอดไม่ได้ จับจ้องใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่คืบนั้น สุดท้ายก็เพียงส่งเสียงอืมอู้อี้ แผ่วเบาดั่งเสียงภมร
ตัวนางในตอนนี้สีหน้าแดงก่ำไปหมด เจิดจรัสไร้สิ้นสุด ร่างกายอ่อนยวบ รู้สึกเหมือนเสียพลังทั้งหมดไป
หลินสวินไม่พูดพร่ำทำเพลง อุ้มจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นไปบนเตียงราวกับโอบอุ้มหยกอุ่นกรุ่นสุคนธ์ กลิ่นหอมที่แผ่กระจายออกมาจากร่างอิ่มเอิบเพรียวบางนั้นทำให้หลินสวินรู้สึกร้อนไปทั้งกาย
เขาถอดอาภรณ์บนตัวจ้าวจิ่งเซวียนออกอย่างหยาบโลนเล็กน้อย จากนั้นก็เอนนอนลงไปบนเตียงกับนาง
ผมยาวทั้งศีรษะปรกลู่ลงมาที่หมอนราวน้ำตก คนงามดุจหยก ร่างกายอ่อนนุ่มราวหิมะ…
ม่านเตียงปิดลงตามไปด้วย
……
เพียงหวังให้ข้าเป็นดวงดาวเจ้าเป็นดวงจันทร์ ส่องสว่างให้แก่กันทุกค่ำคืน
ครู่ใหญ่แต่ก็ไม่รู้นานเท่าไร คืนนี้หลินสวินรู้สึกครึ่งๆ กลางๆ ไม่ถึงกับอิ่มอกอิ่มใจถึงที่สุด แต่กลับรู้สึกปรีดาไปทั้งใจ
บนเตียงหลินสวินกอดจ้าวจิ่งเซวียนไว้ ความรู้สึกสุขสันต์ สงบ และอิ่มเอิบหลั่งไหลอยู่ในจิตใจของทั้งสอง
ทั้งสองคนไม่มีใครเอ่ยปาก คล้ายกลัวว่าจะทำลายบรรยากาศอันสงบสุข
จวบจนอรุณเบิกฟ้า หลินสวินถึงเอ่ยปากทอดถอนใจว่า “ที่แท้… ก็เป็นความรู้สึกเช่นนี้”
จ้าวจิ่งเซวียนชะงักไปเป็นอย่างแรก จากนั้นใบหน้างามก็แดงก่ำ จ้องมองเขาคล้ายเขินอายแล้วพูดว่า “ฟ้าสว่างแล้ว เจ้ายังหวนคิดถึงอีก ไม่อายหรือไง”
หลินสวินยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ จูบศีรษะโฉมสะคราญเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ข้าละโมบนัก ต่อให้หวนคิดถึงไปชั่วชีวิตก็ไม่พอ”
เนตรกระจ่างของจ้าวจิ่งเซวียนพร่ามัว จิตใจสั่นระรัว ร่างอ่อนนุ่มยวบลง ออกจะงุนงงเสียแล้ว
คืนนี้ ได้พบพานกันกลางลมสารทคราเดียวก็เลิศล้ำกว่ามีประสบการณ์ร่วมกับผู้คนมากมายนับไม่ถ้วน!
——