Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1628 ลูกพี่ลูกน้อง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1628 ลูกพี่ลูกน้อง
ในห้องโถงใหญ่ เมื่อเห็นสีหน้าที่แปลกไปของท่านเมี่ยวเสวียน อิ๋นฮวนก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้ “อาจารย์อารู้จักหลินสวินนี่ด้วยหรือ”
ท่านเมี่ยวเสวียนย้อนถาม “หลายวันมานี้ที่พวกเจ้าเดินทางมาดินแดนรกร้างโบราณ ไม่เคยได้ยินชื่อนี้เลยหรือ”
อ๋าวเจิ้นเทียนพูดโพล่งขึ้นว่า “หลินสวินนี่คงไม่ใช่ผู้แข็งแกร่งที่ถูกมองเป็น ‘อันดับหนึ่งสมรภูมิเก้าดินแดน’ นั่นหรอกกระมัง”
ท่านเมี่ยวเสวียนพยักหน้า
อิ๋นฮวนและอ๋าวเจิ้นเทียนสบตากันปราดหนึ่ง ต่างตกใจอย่างเลี่ยงไม่ได้ เป็นคนผู้นี้จริงๆ ด้วย!
หลายวันมานี้พวกเขาเดินทางมาเยือนดินแดนรกร้างโบราณ ระหว่างทางไม่ว่าที่ไหนล้วนโจษจันวีรกรรมชัยชนะครั้งใหญ่ใน ‘การต่อสู้แห่งเก้าดินแดน’
และในนั้น ชื่อ ‘หลินสวิน’ นี้ก็เป็นชื่อที่ถูกเอ่ยถึงเป็นอย่างมาก
พวกอิ๋นฮวนมีหรือจะไม่เคยได้ยิน เพียงแต่คิดไม่ถึงเด็ดขาดว่าหลินสวินนี่ก็คือหลินสวินคนนั้นเท่านั้นเอง
“กล่าวเช่นนี้ คนผู้นี้เป็นถึงพวกยอดเยี่ยมคนหนึ่ง สามารถใช้พลังของตนคนเดียวกำราบยอดวีรชนแปดดินแดน อย่างน้อยต้องมีรากฐานพลังประหนึ่งไร้เทียมทานในระดับอริยะแท้”
อิ๋นฮวนชักเริ่มสนอกสนใจขึ้นมา ท่าทางคล้ายใคร่ครวญ
ถึงนางจะมาจากทางเดินโบราณฟ้าดารา แต่หาใช่พวกโอหังไม่เห็นใครในสายตา รู้ดีว่าฉายา ‘อันดับหนึ่งสมรภูมิเก้าดินแดน’ นี้ไม่ธรรมดาปานใด
ในการต่อสู้แห่งเก้าดินแดนสองครั้งที่ผ่านมา เคยมีผู้แข็งแกร่งสองคนที่คว้าตำแหน่ง ‘อันดับหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดน’ และในกาลเวลาต่อจากนั้น ไม่มีใครไม่เหยียบย่างระดับจักรพรรดิ!
ระดับจักรพรรดิ บนทางเดินโบราณฟ้าดาราล้วนเป็นพวกน่าสะพรึงประหนึ่งผู้กุมอำนาจ
และหลินสวินนี่ จากนี้ไปจะสามารถเหยียบย่างระดับจักรพรรดิได้หรือไม่
นี่ก็พูดยาก
แต่ที่แน่ใจได้คือ เขาสามารถกลายเป็นอันดับหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดนได้ รากฐานพลังและสติปัญญาของเขา ย่อมต้องมีคุณสมบัติเพียงพอให้ทะยานสู่ระดับจักรพรรดิได้ในวันหน้าอย่างแน่นอน!
เห็นได้ชัดว่าอ๋าวเจิ้นเทียนก็ตระหนักถึงข้อนี้แล้วเช่นกัน อดพยักหน้าไม่ได้ “หากเป็นเช่นนี้จริงๆ เจ้าหมอนี่ก็ควรค่าให้พวกเราให้ความสำคัญ”
ท่านเมี่ยวเสวียนอดยิ้มขื่นส่ายหน้าไม่ได้
ให้ความสำคัญ?
เมื่อครู่พวกเจ้ามองข้ามอีกฝ่ายตรงๆ ไปแล้ว!
ท่านเมี่ยวเสวียนเองก็รู้ดี ผู้แข็งแกร่งบนทางเดินโบราณฟ้าดารานั้นภาคภูมิใจปานใด ไม่เพียงรู้สึกเหนือกว่ายามที่ปฏิบัติต่อดินแดนรกร้างโบราณเท่านั้น
แม้แต่การปฏิบัติต่อผู้แข็งแกร่งแปดดินแดนก็ยังเป็นเช่นนี้เกือบทั้งสิ้น
โดยเฉพาะพวกโดดเด่นมีราศีอย่างอิ๋นฮวนและอ๋าวเจิ้นเทียน คนที่จะถูกพวกเขาปฏิบัติด้วยอย่างตั้งอกตั้งใจก็เห็นจะมีแต่พวกที่สะดุดตา แข็งแกร่งกว่าพวกเขาเท่านั้น
ส่วนคนที่อ่อนแอกว่าพวกเขา ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะดึงดูดความสนใจจากพวกเขาได้
ที่น่าเสียดายคือ สถานภาพ ที่มา วิสัยทัศน์ องค์ความรู้ของพวกเขากำหนดไว้แล้วว่า เรื่องที่จะรับมือกับหลินสวินนั้นได้เกิดความผิดพลาดขึ้นแล้ว!
ทันใดนั้นท่านเมี่ยวเสวียนพลันตระหนักถึงปัญหาข้อหนึ่งทันที กล่าวว่า “องค์ชายเจ็ด คนที่เจ้ากำลังตามหาอยู่ข้างกายหลินสวินแน่หรือ”
พร้อมกันนั้นหลินสวินที่ยืนปักหลักอยู่นอกโถงใหญ่ก็เริ่มคิดตาม ในใจเขาเริ่มเดาได้บางส่วนแล้ว เพียงแต่จำเป็นต้องยืนยันให้แน่ใจอีกหน่อย
กลางโถงใหญ่อ๋าวเจิ้นเทียนเอ่ยปากเสียงเข้ม “ไม่ผิด ไม่กี่วันก่อนข้ากับแม่นางอิ๋นฮวนเคยมุ่งหน้าไปยังแดนศักดิ์สิทธิ์สมบัติวิญญาณ ได้พบกับลูกหลานญาติห่างๆ เผ่าเจินหลงของข้า จากปากของเขา ข้าได้รู้แล้วว่าคนที่ข้าต้องการตามหานั้นอยู่ข้างกายหลินสวินนี่”
“ลูกหลานญาติห่างๆ หรือ”
ท่านเมี่ยวเสวียนอึ้งไป
อ๋าวเจิ้นเทียนกล่าวว่า “เยี่ยนจั่นชิว สายเลือดฝั่งมารดาเขามีต้นกำเนิดมาจากเผ่าเจินหลงของข้า”
ท่านเมี่ยวเสวียนงงงวย จากนนั้นพลันเอ่ยถาม “เช่นนั้นคนที่เจ้าตามหาเป็นใครกันล่ะ”
อ๋าวเจิ้นเทียนก็ไม่ได้ปิดบัง กล่าวตรงๆ ว่า “ตอนนี้นางน่าจะชื่อจ้าวจิ่งเซวียน มารดาของนางเป็นสมาชิกหลักสายตรงเผ่าเจินหลง ตามศักดิ์แล้วเป็นอาเล็กของข้า จ้าวจิ่งเซวียนคนนี้คือญาติผู้น้องของข้า”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยต่อไปว่า “ข้าเดินทางมาครานี้ ก็เพราะต้องการพาตัวญาติผู้น้องกลับเผ่า เข้าร่วม ‘งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกร’ ท่านปู่ข้าออกคำสั่งลงมาว่าต้องพาญาติผู้น้องมาเข้าร่วมด้วยให้ได้”
งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกร!
ท่านเมี่ยวเสวียนเผยแววตกใจ “กล่าวเช่นนี้ ในเผ่าเจินหลงของพวกเจ้าถือกำเนิดทายาทที่สามารถสืบทอด ‘เลือดแท้บรรพชนมังกร’ แล้วหรือ”
อิ๋นฮวนที่อยู่ข้างๆ กล่าวว่า “ไม่ผิด เรื่องนี้แพร่สะพัดบนทางเดินโบราณฟ้าดารานานแล้ว และผู้ที่สามารถสืบทอดเลือดแท้บรรพชนมังกรนี้ได้ก็คือองค์ชายเจ็ด”
“วิเศษนัก งานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรจะจัดขึ้นทุกๆ หมื่นปีเท่านั้น นี่เป็นเรื่องยอดเยี่ยมที่สามารถสะเทือนทางเดินโบราณฟ้าดาราได้เลยทีเดียว”
ท่านเมี่ยวเสวียนอุทาน “และหากสามารถสืบทอดเลือดแท้บรรพชนมังกรได้ จากรากฐานพลังขององค์ชายเจ็ด ไม่ช้าก็เร็วต้องแปรเปลี่ยนเป็น ‘ร่างมรรคบรรพชนมังกร’ ที่กาลนิรันดร์ยากจะพานพบ หนทางเบื้องหน้าไร้ซึ่งขอบเขต”
เขาเองก็คิดไม่ถึงว่าพรสวรรค์ของอ๋าวเจิ้นเทียนคนนี้ถึงกับน่าทึ่งปานนี้!
ควรรู้ว่าในฐานะทายาทเผ่าเจินหลง เดิมก็มีรากฐานน่าสะพรึงที่แข็งแกร่งเฉพาะตัว เหนือชั้นกว่าทายาทเผ่าอื่นๆ อยู่มากแล้ว
และในเผ่าเจินหลง ทายาทที่สามารถสืบทอดเลือดแท้บรรพชนมังกรได้นั้นมีไม่ถึงหนึ่งในหมื่น ถึงขนาดในช่วงกาลเวลายาวนานที่ผ่านมายังไม่มีให้เห็นสักคน
และด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่ผู้แข็งแกร่งซึ่งสามารถสืบทอดเลือดแท้บรรพชนมังกรได้ปรากฏตัวขึ้น เผ่าเจินหลงถึงจะจัดงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรขึ้นหนึ่งครั้ง!
เรื่องนี้สำหรับทางเดินโบราณฟ้าดาราแล้ว เป็นถึงเรื่องใหญ่ที่สามารถสั่นคลอนทั่วทิศได้เลยทีเดียว
เพราะเหตุนี้เอง ท่านเมี่ยวเสวียนจึงอดส่งเสียงอุทานออกมาไม่ได้
เผชิญหน้ากับคำชมเช่นนี้ อ๋าวเจิ้นเทียนคลี่ยิ้มสงวนท่าที หว่างคิ้วเจือแววผงาดผยองให้เห็นรางๆ
แต่เวลานี้จู่ๆ เขาก็เหลือบเห็นเงาร่างของหลินสวินเดินย้อนกลับมา หัวคิ้วจึงขมวดมุ่นทันควัน กล่าวว่า “เหตุใดเจ้าถึงกลับมาอีกแล้ว”
อิ๋นฮวนเองก็อึ้งไป สายตาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบอย่างที่สุด
ท่านเมี่ยวเสวียนเพิ่งตั้งท่าจะพูดอะไร ก็เห็นหลินสวินเดินตรงไปทางอ๋าวเจิ้นเทียนเสียแล้ว กล่าวว่า “เจ้าบอกว่าอยากพาจิ่งเซวียนไปหรือ”
น้ำเสียงเย็นเยียบ สีหน้าเยือกเย็น ไร้อารมณ์แปรปรวน
แต่เมื่อเทียบกับเมื่อครู่ที่อยู่ในห้องโถงใหญ่ หลินสวินในตอนนี้กลับดูเหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน มีพลานุภาพไร้รูปคละคลุ้ง
อ๋าวเจิ้นเทียนอึ้งงันก่อนเป็นอันดับแรก คล้ายไม่อยากเชื่อว่าหลินสวินถึงกับกล้าพูดจาไร้มารยาทกับตนเช่นนี้ สายตาเขาเย็นชา “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้า ขอเตือนเจ้าให้ระวังคำพูดหน่อยเป็นดีที่สุด ที่นี่คือหอฤทธิ์เทพ เห็นแก่หน้าท่านเมี่ยวเสวียน ข้าจะไม่ถือสาเอาความกับเจ้า หาไม่แค่ท่าทีเช่นนี้ของเจ้า ป่านนี้คงเป็นคนตายคนหนึ่งไปนานแล้ว!”
ขณะพูดกลิ่นอายไพศาลดุจดั่งมังกรคำรามปรากฏขึ้นจากร่างของเขา กำราบไปทางหลินสวินราวกับภูเขาถล่มคลื่นยักษ์โหมซัด
เขานั่งอยู่บนพื้น ยามหลินสวินพูดก็เหมือนก้มมองเหยียดหยันเขา ข้อนี้ทำให้ศักดิ์ศรีของเขายากจะทนรับได้ หมายจะกำราบอีกฝ่ายสยบคาพื้น!
แต่เมื่ออานุภาพของอ๋าวเจิ้นเทียนกดข่มไปทางหลินสวิน กลับเหมือนวัวโคลนจมทะเล หายลับไปไร้ร่องรอย เงาร่างหลินสวินยิ่งไม่เคยสั่นคลอนเลยสักเสี้ยว
อ๋าวเจิ้นเทียนหรี่ตาลง โกรธจัดจนหัวเราะ “เฮอะ ไม่ยักดูออกว่าคนอย่างเจ้าก็มีน้ำยาด้วยเหมือนกัน!”
กล่าวถึงตรงนี้ เขาตั้งใจจะงัดพลังที่แท้จริงออกมาใช้!
แต่กลับถูกอิ๋นฮวนห้ามไว้ กล่าวว่า “องค์ชายเจ็ด โปรดสงบใจอย่าวู่วาม ข้ามีเรื่องจะถามเขา”
กล่าวพลางนางหยัดตัวลุกขึ้นเต็มความสูง
นางไม่อยากคุยกับหลินสวินโดยใช้วิธีแหงนหน้ามองเหมือนอย่างอ๋าวเจิ้นเทียน
“จู่ๆ เจ้าก็ย้อนกลับมา ใช้คำเรียกขานว่าจิ่งเซวียน ไปซักไซ้องค์ชายเจ็ดด้วยท่าทีอุกอาจ หากข้าเดาไม่ผิด เจ้าก็คือหลินสวิน”
นางสวมชุดขาวสว่างกว่าหิมะ เรือนผมดำขลับมัดด้วยเชือกแดง บุคลิกหน้าตาสะคราญโฉม ประหนึ่งเทพเซียนวังจันทราบนยอดเขาหิมะน้ำแข็ง เพียงแต่คำพูดยังคงเย็นชา ท่าทียังคงหยิ่งผยอง
ท่านเมี่ยวเสวียนกล่าวขึ้นว่า “ไม่ผิด สหายน้อยคนนี้ก็คือหลินสวิน ทุกคนนั่งลงคุยกันดีกว่า”
เขาตั้งใจจะคลายบรรยากาศ
แต่อ๋าวเจิ้นเทียนกลับดีดตัวดังผึง แววตามีประกายคมกริบพวยพุ่ง มองหลินสวินตรงๆ “ที่แท้เจ้าก็คือหลินสวิน บอกข้ามา ตอนนี้จ้าวจิ่งเซวียนอยู่ที่ไหน เรื่องเมื่อครู่ข้าจะคิดเสียว่าแล้วกันไป ทั้งยังจะตอบแทนเจ้าอย่างงาม ว่าอย่างไร”
คำพูดเจือแววเร้ากระตุ้น แต่กลับแฝงกลิ่นอายวางอำนาจให้ทำตาม
ท่านเมี่ยวเสวียนลอบอุทานว่าซวยแล้ว ดังคาด ก็เห็นนัยน์ตาหลินสวินเย็นเยียบ กล่าวเรียบๆ ว่า “แล้วกันไป? เจ้านับเป็นตัวอะไรถึงกล้าบอกว่าข้าผิด”
สีหน้าอ๋าวเจิ้นเทียนขรึมลง กลิ่นอายน่าสะพรึง ประหนึ่งเทพมังกรเดือดดาล เงาร่างสูงใหญ่กำยำแผ่อานุภาพบีบคั้นผู้คนออกมา ทำให้บรรยากาศในโถงใหญ่กดดันขึ้นมาฉับพลัน
‘องค์ชายเจ็ด อดทนไว้ ตอนนี้พวกเราต้องการความช่วยเหลือจากคนผู้นี้ หาไม่ครั้งนี้เจ้าอยากพาจ้าวจิ่งเซวียนนั่นกลับไป เกรงว่ามีแต่จะเกิดระลอกคลื่นมากมาย’
อิ๋นฮวนรีบร้อนสื่อจิต
‘เฮอะ คิดว่าเป็นอันดับหนึ่งในสมรภูมิเก้าดินแดนก็จะไร้ขื่อไร้แปได้แล้วหรือ จากที่ข้าดู ลงมือกำราบเขาตรงๆ เสีย ก็ไม่เชื่อหรอกว่าเขาจะไม่ยอมก้มหัว!’
อ๋าวเจิ้นเทียนแค่นเสียงเย็น
แน่นอนว่าใช้การสื่อจิตด้วยเช่นกัน
‘ไม่เหมาะ อย่างไรเสียที่นี่ก็คือดินแดนรกร้างโบราณ หาใช่ทางเดินโบราณฟ้าดารา และตอนนี้หลินสวินนี่ก็ชื่อเสียงคับฟ้า อิทธิพลบารมีดุจตะวันกลางนภา ต่อให้เป็นอาจารย์อาเมี่ยวเสวียนคนนั้นของข้าก็ต้องปกป้องเขาแน่นอน คงไม่ปล่อยให้พวกเรากดข่มเจ้าหมอนี่แน่’
อิ๋นฮวนวิเคราะห์อย่างใจเย็น ขณะพูด สายตานางมองไปทางหลินสวิน กล่าวว่า “สหาย เมื่อครู่ท่าทีของพวกเราละเลยไปบ้าง หวังว่าจะยกโทษให้ด้วย”
หลินสวินกล่าว “สหาย? เฮอะๆ”
เสียงหัวเราะเยาะนั้นทำให้อิ๋นฮวนเองยังเดือดดาลไปพักหนึ่ง นางยอมถอยก้าวหนึ่งแล้ว เจ้าหมอนี่ดันไม่รับน้ำใจสักนิด!
สีหน้าอ๋าวเจิ้นเทียนก็มืดทะมึนเช่นกัน ในความคิดเขา การกระทำนี้ของหลินสวินคือการไม้อ่อนไม่ชอบ ชอบไม้แข็ง!
ท่านเมี่ยวเสวียนเห็นว่าบรรยากาศตึงเครียดก็ยิ้มขื่น ไม่อาจไม่เอ่ยปากพูด “สหายน้อย ก่อนหน้านี้เป็นเพียงความขัดแย้งเล็กน้อย เห็นแก่หน้าคนเฒ่าอย่างข้า หวังว่าพวกเจ้าจะต่างฝ่ายต่างคลายปมติดใจก่อนหน้า”
หลินสวินพูดเด็ดขาด “คลายปมติดใจก่อนหน้าคงไม่ต้อง ข้ากับพวกเขาไม่ใช่คนร่วมทางกัน แต่ข้าขอพูดตรงนี้ ใครคิดพาตัวจิ่งเซวียนไป ก็ข้ามด่านข้าหลินสวินไปก่อน!”
กล่าวจบเขาย่างเท้าเดินออกไปด้านนอกโถงใหญ่
อ๋าวเจิ้นเทียนมาครั้งนี้ก็มาเพื่อพาตัวจ้าวจิ่งเซวียนไปให้ได้ ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์อะไร ล้วนเป็นสิ่งที่หลินสวินไม่อาจทนได้
เว้นแต่จ้าวจิ่งเซวียนเต็มใจเอง หาไม่ มีเขาหลินสวินอยู่ทั้งคน ใครก็ไม่อาจบังคับได้!
สำนักเร้นฤทธิ์เทพแล้วอย่างไร เผ่าเจินหลงแล้วอย่างไร
เขาหลินสวินฝึกปราณมาจนป่านนี้ ยังไม่เคยกลัวใครหน้าไหน!
เมื่อเห็นหลินสวินไม่ไว้หน้ากันเช่นนี้ อ๋าวเจิ้นเทียนก็เดือดดาลสิ้นเชิง ตวาดว่า “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร อยากไปก็ไป อยากมาก็มาหรือ หยุดเดี๋ยวนี้!”
ตูม!
เขาคว้ามือกดออกไปหนึ่งครา
กรงเล็บมังกรข้างหนึ่งที่ราวกับยื่นออกมาจากหมอกเมฆ ครอบฟ้าคลุมตะวัน เอื้อมคว้าผ่านอากาศคล้ายจะสามารถคว้าห้วงจักรวาลสุริยันจันทราไว้ในฝ่ามือ
จากพลังของท่านเมี่ยวเสวียน เพียงพอจะหยุดยั้งทุกอย่างนี้ได้ แต่ยามนี้เขาก็อดโมโหไม่ได้
ด้วยเดิมทีก็เป็นอ๋าวเจิ้นเทียนมีความผิดอยู่ก่อนแล้ว ซ้ำยังต้องการความช่วยเหลือจากหลินสวิน แต่ท่าทีกลับโอหังปานนี้ ขนาดพูดไม่ถูกหูคำเดียวก็ลงมือ ออกจะเกินไปหน่อยแล้ว!
‘เช่นนั้นก็ให้เจ้าได้ลิ้มรสอานุภาพของผู้แข็งแกร่งดินแดนรกร้างโบราณเสียหน่อย!’ ท่านเมี่ยวเสวียนลอบกล่าวในใจ
เขาไม่ได้เข้าไปยุ่ง
พูดเหมือนช้าแต่เอาเข้าจริงกลับเร็วยิ่ง มองเห็นว่าฝ่ามือนี้จวนจะปิดครอบหลินสวิน แต่ข้างหลังหลินสวินจู่ๆ ก็มีสัญลักษณ์อักษรเคราะห์สีทองอร่ามสายหนึ่งโผล่พรวดออกมา กลายเป็นเงามายาสัตว์เทพฟู่ซี่ เสียงตูมดังคราหนึ่ง เหยียบห้วงอากาศกระแทกเข้าไป
การโจมตีที่อ๋าวเจิ้นเทียนมั่นใจนี้ ถูกทุบทำลายประหนึ่งกระดาษเปื่อย กลายเป็นละอองแสงโปรยปราย
……………………..