Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1636 เมื่อวางหมาก ไม่อาจเสียใจภายหลัง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1636 เมื่อวางหมาก ไม่อาจเสียใจภายหลัง
กระดานที่เจ็ด กระบวนค่ายกลที่หลินสวินวาง ทำให้สีหน้าของสัตว์ประหลาดเฒ่าในลานต่างเคร่งเครียดขึ้นมา หว่างคิ้วเผยความประหลาดใจ
แม้พวกเขาเป็นกึ่งจักรพรรดิ สายตาและประสบการณ์ใช่ว่าคนทั่วไปจะเทียบได้ แต่กลับไม่ใช่ปฐมาจารย์ที่ชำนาญมรรคสลักวิญญาณ
ตอนที่เห็นกระบวนค่ายกลนี้รู้สึกเพียงว่าเมฆหมอกปกคลุมภูเขา คลุมเครือยากต้านทาน ไม่สามารถมองทะลุความเร้นลับภายในได้
นอกเสียจากจะสามารถเดินเข้าไปในกระบวนค่ายกลด้วยตัวเอง ทว่านี่คือการประชันหมาก วิชากระบวนค่ายกลก็เป็นสิ่งที่วิวัฒน์มาจากตัวหมาก พวกเขาย่อมไม่สามารถเข้าไปได้
‘เจ้าหมอนี่อายุเพียงเท่านี้ กลับเป็นปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่แท้จริงแล้ว!’
ชั่วขณะนี้สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนต่างกล้ามั่นใจ ว่าความสำเร็จด้านมรรครอยสลักวิญญาณของหลินสวินได้บรรลุสู่ระดับปฐมาจารย์สลักลายมรรคแล้ว!
นี่ทำให้พวกเขาตะลึง นักสลักลายมรรคแบ่งเป็นระดับปรมาจารย์และปฐมาจารย์
ในดินแดนรกร้างโบราณ นักสลักลายมรรคคนเดียวก็สามารถทำให้สำนักโบราณแห่งหนึ่งเทิดทูนแล้ว
ทว่าในนักสลักลายมรรคหนึ่งพันคนยังยากจะหาปรมาจารย์สลักลายมรรคสักคน ฐานะของปรมาจารย์สลักลายมรรคคนเดียว ก็เพียงพอทำให้เจ้าสำนักของสำนักใดๆ หวาดเกรง
สำหรับปฐมาจารย์สลักลายมรรค…
พูดได้เพียงว่า นี่เป็นการดำรงอยู่ที่ประหนึ่งขนหงส์เขากิเลน ทั้งดินแดนรกร้างโบราณมีอยู่ไม่กี่คน!
อย่างหลิงเซียวจื่อที่หลายพันปีนี้เฝ้าปกปักอยู่ที่กำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ช่วยซ่อมเสริมกระบวนผนึกขนาดใหญ่มาไม่รู้เท่านั้น ยิ่งต้านการรุกรานของศัตรูภายนอกมาแล้วไม่รู้เท่าไหร่
พูดได้ว่าพลังต่อสู้ของหลิงเซียวจื่ออาจแข็งแกร่งสู้กึ่งจักรพรรดิบางส่วนไม่ได้ แต่กลับไม่มีใครแทนที่เขาได้!
ดังนั้นตอนที่หลินสวินบอกว่าจะประชันหมากกับหลิงเซียวจื่อ ถึงทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านี้ต่างรู้สึกว่าเหลวไหลมาก คิดว่าเขาไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง
ทว่าตอนนี้พวกเขาต่างพูดไม่ออก ตะลึงกันไปแล้ว
ปฐมาจารย์สลักลายมรรคคนหนึ่ง แม้มีพลังปราณเพียงระดับอริยะแท้ แม้เป็นคนรุ่นเยาว์คนหนึ่ง แต่ก็สามารถทำให้พวกเขาให้ความสนใจและนับถือ!
ซุ่นจี้เองก็ตระหนักได้ถึงจุดนี้ สองตาเป็นประกาย หากไม่ใช่เพราะกฎ ‘ชมหมากไม่ส่งเสียง’ เขาคงตะโกนเสียงดังออกมานานแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ก็เหมือนเก็บสมบัติล้ำค่าได้อย่างไรอย่างนั้น!
‘เจ้าหนูนี่มาจากไหน เป็นลูกหลานตระกูลใด’
ยามนี้ฮูหยินชุดม่วงโฉมงามอดสื่อจิตไม่ได้ ‘ปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่อายุน้อยขนาดนี้พบเจอได้ยากเกินไปแล้ว ข้าเองยังอยากได้เป็นหลานเขย…’
ซุ่นจี้ได้สติทันที พลันเกาหัวพูดอย่างเก้อเขิน ‘เอ้อ เรื่องนี้ข้าเองก็ไม่รู้ รู้เพียงแค่ว่าได้รับความช่วยเหลือจากหอฤทธิ์เทพมาตามหาท่านเซิ่น’
ฮูหยินชุดม่วงกลอกตา ท่าทางหยอกเอิน ‘เจ้านี่นะ สะเพร่าเกินไปแล้ว ความสามารถขนาดนี้ ทอดสายตามองไปทั้งดินแดนรกร้างโบราณยังยากจะเห็น เจ้ากลับไม่รู้เรื่องของเขาเลยสักนิด นี่แย่เกินไปแล้ว’
นางหยุดไปครู่หนึ่งค่อยพูดต่อคล้ายขบคิด ‘แต่ถ้าหอฤทธิ์เทพยินดีทุ่มกำลังส่งเจ้าหนูนี่มาสนามรบแนวหน้า ฐานะของเขาจะต้องไม่ธรรมดาอย่างที่สุดแน่’
ซุ่นจี้อึ้งไป เข้าใจกระจ่างแล้วเช่นกัน
สนามรบแนวหน้าไม่ได้มาง่ายขนาดนั้น มีเพียงช่วงเวลาพิเศษจึงจะสามารถมาถึงได้อย่างปลอดภัย
หากเสี่ยงมาช่วงเวลาอื่น แค่อันตรายที่ต้องเจอระหว่างทางก็สามารถทำให้กึ่งจักรพรรดิตายเก้ารอดหนึ่ง!
ทว่าเจ้าหนูนี่กลับสามารถทำให้หอฤทธิ์เทพยอมสิ้นเปลืองกำลัง ส่งเขามากำแพงเมืองด่านจักรพรรดิในช่วงเวลาเช่นนี้ นี่แน่นอนว่าไม่ธรรมดานัก
‘ไม่สนแล้ว การประชันหมากครั้งนี้ไม่ว่าแพ้หรือชนะ ข้าก็จะพาเจ้าหนูนี่มาเจรจาด้วยสักหน่อย ข้ารู้สึกว่าเขาเหมาะสมกับหลานสาวข้ามาก’
ฮูหยินหญิงชุดม่วงยิ้มตาหยี สายตาที่มองไปยังหลินสวินแฝงความเมตตาและอ่อนโยน เหมือนแม่ยายมองลูกเขย ยิ่งมองก็ยิ่งรื่นหูรื่นตา
แน่นอนว่าด้วยฐานะของฮูหยินชุดม่วง หากอยากได้หลินสวินเป็นเขยจริง ก็เป็นได้แค่หลานเขยเท่านั้น ช่วยไม่ได้ เพราะระดับความอาวุโสสูงเกินไปแล้ว
เวลาล่วงเลยไป
หลิงเซียวจื่อกลับไม่สามารถวางหมากได้เสียที สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นเรื่อยๆ หลังก็นั่งตรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีความผ่อนคลายสบายใจเหมือนตอนแรกอีก
ตรงกันข้าม กลับประหนึ่งเผชิญหน้ากับศัตรูคนสำคัญ!
ใครก็ดูออกว่าหลิงเซียวจื่อเจอโจทย์ยากแล้ว นี่ทำเอาเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าล้วนมองหน้ากัน ต่างอดตกใจไม่ได้
เจ้าหนูนี่ร้ายกาจเพียงนี้เชียวหรือ
แม้เป็นปฐมาจารย์สลักลายมรรคก็ไม่น่าทำให้หลิงเซียวจื่อเปลืองแรงเช่นนี้ได้!
ไม่มีใครรู้ว่าองค์ชายจู๋อิ้งคงแห่งเผ่าจู๋หลงซึ่งเป็น ‘ขุมอำนาจด้านวิถีสลักวิญญาณอันดับหนึ่งแห่งเก้าดินแดน’ ยังเคยพ่ายแพ้ในมือหลินสวินอย่างราบคาบ
และไม่มีใครรู้ว่า มรรคสลักวิญญาณที่หลินสวินฝึก ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมรดกสลักวิญญาณรูปแบบต่างๆ ในดินแดนรกร้างโบราณแม้แต่น้อย
เพราะมรรคสลักวิญญาณนี้เป็นวิชาที่ท่านลู่ ลู่ป๋อหยาถ่ายทอดมา และลู่ป๋อหยาก็มาจากฟากฝั่งฟ้าดารา!
พูดสั้นๆ ก็คือ ไม่ใช่ว่าหลินสวินมีรากฐานพลังที่ชนะหลิงเซียวจื่อในวิถีสลักวิญญาณ แต่เพราะวิถีสลักวิญญาณที่เขาฝึกไม่ธรรมดาเกินไปต่างหาก
เวลาสามวันผ่านไปราวดีดนิ้ว
สำหรับเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าแล้ว การชมหมากกระดานสามวันไม่ถือว่าลำบากอะไร
และวันนี้เอง หลิงเซียวจื่อที่จมสู่ภวังค์และขมวดคิ้วแน่นมาโดยตลอดพลันตาเป็นประกายขึ้นมา ยิ้มเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”
สีหน้ามีความชื่นมื่นหลังจากหยั่งถึง
จากนั้นเขาจึงคีบหมากและวางลง ทำลายกระบวนค่ายกล…
จบในรวดเดียว!
เสียงปึงดังขึ้นคราหนึ่ง กระบวนค่ายกลในกระดานที่เจ็ดสลายไปทันที
ตอนนี้หลินสวินอดเลื่อมใสไม่ได้ หลิงเซียวจื่อที่อยู่ตรงหน้านี้ เป็นปฐมาจารย์สลักลายมรรคที่ยอดเยี่ยมและเก่งกาจที่สุดเท่าที่เขาเคยเจอในวิถีสลักวิญญาณอย่างแน่นอน
ความมหัศจรรย์ของวิธีที่ใช้ทลายกระบวนค่ายกลก็ทำให้หลินสวินลอบประหลาดใจ
สัตว์ประหลาดเฒ่าทั้งหมดรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอกในชั่วขณะนี้
กระดานที่เจ็ดนี้ ชนะแล้ว!
ขิงแก่ย่อมเผ็ดกว่า หลิงเซียวจื่อช่างสมกับเป็นหลิงเซียวจื่อ!
ซุ่นจี้อกสั่นขวัญแขวนขึ้นมา ตอนนี้เหลือเพียงสองกระดานแล้ว สถานการณ์ตรงหน้าคือหลิงเซียวจื่อได้เปรียบ ชนะอย่างมั่นคงไปอีกด่าน เท่ากับได้รับชัยชนะไปสี่ครั้งแล้ว
กระดานต่อไปหลินสวินต้องชนะเท่านั้น ไม่เช่นนั้นไม่ต้องประชันกระดานที่เก้า ก็ต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะหากแพ้กระดานที่แปด ก็เท่ากับหลิงเซียวจื่อชนะอีกกระดาน กลายเป็นชนะห้ากระดานจากเก้ากระดาน ต่อให้ในกระดานที่เก้าหลินสวินจะชนะ ก็เปลี่ยนจุดจบที่ต้องพ่ายแพ้ไม่ได้
ดังนั้นสำหรับหลินสวินแล้ว กระดานที่แปดสำคัญที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย
“สหายน้อย เชิญรับมือ!”
หลิงเซียวจื่อสูดหายใจเข้าลึกๆ คราหนึ่ง แล้ววางกระบวนผนึกลายมรรคที่ตนภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต
ในการประชันหมากเก้าวังหลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้กระบวนค่ายกลนี้!
จากเรื่องนี้แค่คิดก็รู้ว่าแรงกดดันที่หลินสวินชักนำมาให้เขายิ่งใหญ่เพียงใด ถึงขั้นบีบให้ใช้วิชาก้นกรุที่สุดออกมา
วู้ม!
เมื่อหลิงเซียวจื่อวางหมาก กระบวนค่ายกลที่ไพศาลงดงามอร่ามตาก็ปรากฏในตำแหน่ง ‘วังประจิม’
ในลานมีเสียงอุทานด้วยความตกใจ บรรยากาศที่เงียบสงัดฮือฮาขึ้นมาเล็กน้อย
สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นต่างดูออกว่าความมหัศจรรย์ของกระบวนค่ายกลนี้ สามารถใช้คำว่าเป็นฝีมือของเทพผีได้ด้วยซ้ำ!
ซุ่นจี้โมโหเดือด ในใจลอบก่นด่า ‘หลิงเซียวจื่อ เจ้าเฒ่าอย่างเจ้านี่นะ ประชันหมากกับคนรุ่นเยาว์เท่านั้น เหตุใดต้องบีบกันเช่นนี้! มาดของผู้ใหญ่ยังจะมีอยู่ไหม’
ฮูหยินชุดม่วงโฉมงามเม้มปากยิ้มสื่อจิต ‘เจ้านี่นะ ควรดีใจแทนเจ้าหนูนี่ถึงจะถูก สามารถทำให้หลิงเซียวจื่อสู้อย่างสุดกำลังเช่นนี้ หากแพร่ออกไป ต่อให้สุดท้ายเจ้าหนูนี่พ่ายแพ้ก็ไม่เสียชื่ออย่างแน่นอน’
ซุ่นจี้อึ้งไป ก่อนจะถอนหายใจ
แน่นอนว่าเขาเองก็รู้ว่าแม้หลินสวินจะพ่ายแพ้ แต่ก็เพียงพอจะทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนในลานเปลี่ยนท่าทีและความคิดที่มีต่อเขาไปแล้ว
เพียงแต่ประชันหมากมาถึงตอนนี้แล้ว ซุ่นจี้จะทนเห็นหลินสวินแพ้ได้อย่างไร
ไม่ใช่เพราะสนใจสมบัติอะไร เพียงแต่ไม่อยากให้หลินสวินพ่ายแพ้ก็เท่านั้น
สำหรับทั้งหมดนี้หลินสวินยังคงเหมือนไม่รับรู้ ยามประชันหมาก สิ่งที่ควรเลี่ยงที่สุดคือการที่จิตใจไม่อยู่กับตัว โดยเฉพาะในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้
เขาในตอนนี้ในใจมีความตื่นเต้นที่พูดไม่ออก เหมือนถูกจุดจิตต่อสู้ขึ้นมา แต่ในสมองกลับว่างเปล่า การรับรู้จดจ่ออย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สมาธิทั้งหมดล้วนรวมอยู่ในการประชันหมากกระดานที่แปด
กระบวนค่ายกลที่หลิงเซียวจื่อวางแข็งแกร่งมากจริงๆ!
เป็นกระบวนผนึกลายมรรคที่คลุมเครือ เข้มงวด และมหัศจรรย์ที่สุดเท่าที่หลินสวินเคยเจอตั้งแต่ฝึกปราณมา ราวกับเกิดขึ้นตามธรรมชาติ ไม่มีอะไรสามารถทำลายได้
ทว่ายิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้หลินสวินหมายจะพิชิตมัน
พร้อมๆ กับเวลาที่ล่วงเลยไป หลินสวินนั่งนิ่งไม่ขยับราวกับรูปปั้นแกะสลัก เดี๋ยวขมวดคิ้ว เดี๋ยวครุ่นคิด ทว่ามิได้เผยสีหน้าหดหู่หรือลนลานแต่อย่างใด
นี่ทำให้หลิงเซียวจื่อที่สังเกตสีหน้าของเขามาโดยตลอดอดทอดถอนใจไม่ได้ คนรุ่นหลังเก่งนำหน้าคนรุ่นเก่าจริงๆ ตอนแรกตนยังคิดจะชี้แนะอีกฝ่าย ถึงขั้นคิดจะให้บทเรียนกับเขา ใช้มันทำให้เขารับรู้ถึงความยากและถอนตัวออกไปเอง
ตอนนี้ดูแล้ว เหมือนว่าตนออกจะประมาทไปหน่อย
ฝีมือที่หลินสวินสำแดงออกมาตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ทำให้หลิงเซียวจื่อยังตกตะลึง ไม่กล้ามองเขาว่าเป็นคนรุ่นหลังอีกต่อไป
ทว่า…
กระบวนค่ายกลกระดานที่แปดนี้ ไม่ได้ทำลายได้ง่ายๆ ขนาดนั้นหรอก!
คิดถึงตรงนี้มุมปากของหลิงเซียวจื่อก็ยกขึ้นอย่างยากจะสังเกต
สามวันหลังจากนั้น
หลินสวินขมวดปมคิ้วแน่น
ห้าวันหลังจากนั้น
เขานิ่งงันไม่เอ่ยคำ
เหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่านิ่งเงียบมาโดยตลอด ค่อยๆ ดูออกว่าหลินสวินเจอโจทย์ที่ยากจะรับมืออย่างแท้จริงแล้ว
‘เจ้าเฒ่าหลิงเซียวจื่อนี่ ความเชี่ยวชาญบนวิถีสลักวิญญาณแข็งแกร่งจนน่าชื่นชมจริงๆ’
สัตว์ประหลาดเฒ่าหลายคนถอนหายใจ
แน่นอนว่าหลินสวินเองก็ไม่แย่ อีกทั้งเขายังเยาว์วัยมาก ศักยภาพแฝงสูงยิ่ง ในอนาคตไม่ต้องห่วงว่าจะไม่สามารถแซงหลิงเซียวจื่อได้!
ซุ่นจี้ทนดูต่อไปไม่ไหวอยู่บ้าง การอนุมานกระบวนค่ายกลใหญ่ สิ่งที่สูญเสียไปคือความคิดและจิตใจ หากดึงดันเกินไปอาจถึงขั้นทำให้สภาวะจิตเสียหาย ง่ายที่จะเกิดธาตุไฟเข้าแทรกอย่างมาก
จากที่ซุ่นจี้ดู หลินสวินได้พิสูจน์ตัวเองแล้ว แสดงความสามารถที่โดดเด่นมากพอออกมาแล้ว ไม่จำเป็นต้องสนใจผลได้ผลเสียในตอนนี้เลยสักนิด
“ไม่ไหวจริงๆ ก็ยอมแพ้เถอะ ไม่น่าอายหรอก…”
เพียงแต่ซุ่นจี้เพิ่งพูดประโยคนี้ออกมา ก็เห็นหลินสวินที่นั่งนิ่งราวกับรูปปั้นมาหลายวันพลันหยิบตัวหมากขึ้นมา
ชั่วพริบตาเดียวเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่าที่รออย่างเงียบเชียบนัยน์ตาล้วนหดรัด หัวใจแขวนลอยขึ้นมา
หลิงเซียวจื่อเองก็อึ้งไปเช่นกัน หรือเจ้าหนูนี่อนุมานวิธีคลี่คลายได้แล้ว
ตั้งแต่ต้นจนจบการกระทำของหลินสวินไม่เคยหยุด หลังจากหยิบตัวหมากขึ้นมาก็วางลงอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ลังเลเลยสักนิด
เมื่อวางหมาก ไม่อาจเสียใจภายหลัง!
ปึง!
เสียงก้องกังวานหนึ่งดังขึ้น
ทว่าสำหรับเหล่าสัตว์ประหลาดเฒ่า กลับไม่ด้อยไปกว่าฟ้าผ่าใส่พื้น ร่างกายต่างสั่นสะท้าน
จากนั้นก็เห็นว่าบนตำแหน่งวังประจิม กระบวนค่ายกลที่หลิงเซียวจื่อวางเอาไว้ ยามนี้ประหนึ่งฟองสบู่มายาที่สลายไปทีละชั้น ค่อยๆ ทลายลงอย่างงดงาม และสลายหายไปในที่สุด
ถึงกับ… ถูกเขาทำลายกระบวนค่ายกลได้สำเร็จจริงๆ หรือ
ในลานเงียบกริบ ตกตะลึงกันถ้วนหน้า