Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1670 ออกเดินทางสู่หุบเขาตะวันคล้อย!
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1670 ออกเดินทางสู่หุบเขาตะวันคล้อย!
หลายวันหลังจากนั้น
เจ้าคางคกที่เบื่อหน่ายที่สุดกำลังหรี่ตา นอนเหม่ออยู่บนหินก้อนหนึ่ง
ข้างๆ อาหลู่กำลังหลับปุ๋ย
เสี่ยวอิ๋นกำลังฝึกมรรคกระบี่ คู่ต่อสู้คือเสี่ยวเทียนผีเสื้อมารแยกฟ้า
เจ้านกดำพิงหม้อดำของตนแล้วดื่มเหล้าอย่างเกียจคร้าน
“คางคกเรื้อน เจ้าว่าพี่ใหญ่ปิดด่านมาเดือนกว่าแล้ว เหตุใดจนตอนนี้ยังไม่ตื่น ข้าวางแผนเอาไว้หมดแล้ว รอไปหุบเขาตะวันคล้อยนั่น จะตัดต้นเทพฝูซางต้นนั่นทันที!”
เจ้านกดำอาจจะเบื่อเกินไปจึงอดพูดไม่ได้ “นี่เป็นถึงต้นไม้เทพที่มีชื่อเสียงในยุคดึกดำบรรพ์ หล่อเลี้ยงแหล่งเพลิงสมาธิ กิ่งก้านดุจเพลิง ตระหง่านค้ำฟ้า ใบไม้ทุกใบล้วนเทียบได้กับสุริยันแท้จริงดวงหนึ่ง มีคุณสมบัติมหัศจรรย์อย่างหาที่เปรียบไม่ได้”
“ยังมี ‘วารีมรกตรังกา’ สมบัตินี้เป็นสมบัติพิเศษของหุบเขาตะวันคล้อย ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในเก้าวารีแห่งฟ้าดิน หากจิตวิญญาณได้รับบาดเจ็บ วารีมรกตรังกาเพียงหยดเดียวก็สามารถรักษาให้เป็นปกติได้ในทันที มหัศจรรย์อย่างยิ่ง”
“อืม ข้าคิดๆ แล้ว บนอาณาเขตของอีกาทองพวกนั้นเหมือนจะยังมี ‘หินเทพหยางแกร่ง’ อีกอย่าง เป็นวัตถุดิบชั้นยอดในการสร้างเกราะระดับอริยะ”
“สมัยดึกดำบรรพ์ ตอนที่มหาจักรพรรดิอีกามารยังไม่แจ้งมรรค ‘เกราะเทพหยางแกร่ง’ ที่สวมก็สร้างจากของสิ่งนี้ สามารถต้านการโจมตีเต็มกำลังของระดับมหาอริยะได้ ความแข็งแกร่งของพลังป้องกันเรียกได้ว่าหายาก”
ว่าแล้วเจ้านกดำเกือบน้ำลายไหล ในดวงตาเต็มไปด้วยความละโมบ
“สรุปแล้วเบื้องลึกเบื้องหลังของเผ่าอีกาทองนั่นเก่าแก่อย่างที่สุด ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ปริมาณของสมบัติที่เผ่านี้สั่งสมไว้เหนือจินตนาการอย่างแน่นอน!”
เจ้าคางคกเหลือบมองเจ้านกดำคราหนึ่งแล้วหลุดขำ “ดูปากนั่นของเจ้าสิ ยังไม่ทันไปหุบเขาตะวันคล้อยด้วยซ้ำ ก็คิดจะฮุบสมบัติทั้งหมดของผู้อื่นแล้ว ช่างใจดำจริงๆ”
“เฮ้อ ฝึกปราณมหามรรค สมบัติมิตรสหายวิชาและสถานที่ล้วนขาดไม่ได้ และสมบัติก็เป็นที่หนึ่ง อีกหน่อยเจ้าจะเข้าใจเอง ว่าอะไรที่เรียกว่าเงินทองเมื่อถึงยามใช้จึงรู้ตัวว่ามีน้อย”
เจ้านกดำถอนหายใจยาว “ยุคบรรพกาลเคยมีคนร้ายกาจที่มีคุณสมบัติ มีรากฐานพลังและความสามารถในการก้าวสู่ระดับจักรพรรดิ แต่เพราะฐานะย่ำแย่เกินไป แม้แต่สมบัติข้ามด่านเคราะห์ที่เข้าท่าชิ้นหนึ่งยังไม่มี สุดท้ายตอนที่เคราะห์บรรลุระดับจักรพรรดิมาเยือนก็ถูกผ่าตายทั้งอย่างนั้น พวกเจ้าว่าน่าอนาถหรือไม่”
“ตอนนั้นหากเขามีสมบัติที่แข็งแกร่งสักชิ้นป้องกันตัว จะร่วงหล่นได้อย่างไร คงหลายเป็นจักรพรรดิยิ้มมองโลกไปนานแล้ว!”
เจ้าคางคกกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย “จริงหรือ”
เจ้านกดำสีหน้าดูถูกเต็มประดา “โง่น่า ตอนนี้พวกเราต่างบรรลุอริยะแล้ว ทรัพยากรที่ต้องใช้ในการฝึกปราณล้วนเรียกได้ว่าเป็นสมบัติล้ำค่าชั้นหนึ่งในโลก ลูกกลอนโอสถ วัตถุดิบวิญญาณทั่วไป ไม่มีทางตอบสนองความต้องการของพวกเจ้าได้แล้ว”
“และยิ่งเป็นสมบัติที่ล้ำค่าก็ยิ่งหายาก หากในมือไม่มีเงิน พวกเจ้ายังจะแสวงมรรคผายลมอะไร แม้แต่การฝึกปราณก็คงไม่สามารถยืนหยัดต่อไปได้!”
“ตอนนี้พวกเจ้ายังตระหนักไม่ได้ เพราะได้รับทรัพยากรฝึกปราณมหาศาลจากสมรภูมิเก้าดินแดน เพียงพอให้พวกเจ้าจะใช้อย่างฟุ่มเฟือย แต่ต่อไปพอพลังปราณสูงขึ้น สักวันก็ต้องมีวันที่ใช้หมด เป็นทุกข์เพราะเงินทอง”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดบุคคลระดับจักรพรรดิจึงอยู่ที่ดินแดนรกร้างโบราณกันน้อยมาก จุดสำคัญก็คือทรัพยากรฝึกปราณในดินแดนรกร้างโบราณ เดิมทีก็ไม่สามารถตอบสนองความต้องการในการฝึกปราณของพวกเขาได้!”
เจ้านกดำพูดจาฉะฉาน น้ำลายกระเด็น
เจ้าคางคกกลับหัวเราะเสียงดัง “พูดไปพูดมาก็เพื่อทรัพย์สินของเผ่าอีกาทองนั่นแหละ แต่ตอนนี้นกหัวขโมยอย่างเจ้าจะใจร้อนแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ พี่ใหญ่ยังปิดด่านอยู่”
เจ้านกดำสีหน้ากล่าวโทษเต็มประดา “เจ้าว่าพี่ใหญ่เจ้าเนี่ย บอกว่าจะไปหุบเขาตะวันคล้อย แต่กลับไม่เคลื่อนไหวเสียที ทำให้ข้ากระวนกระวายใจ แม่งทรมานจริงๆ”
ครืน!
และตอนนี้เอง ในบ้านไม้ที่หลินสวินปิดด่านอยู่ กลิ่นอายน่าสะพรึงสายหนึ่งพุ่งออกมากะทันหัน ทะยานขึ้นฟ้า ราวกับหุบเหวใหญ่พาดขวางห้วงอากาศ บดบังท้องฟ้า
ชั่วขณะเดียวพลังวิญญาณที่อยู่ในทะเลใกล้ๆ เริ่มรวมตัวมาทางนี้อย่างบ้าคลั่ง ถูกหุบเหวขนาดใหญ่กลืนกิน
ปึงๆๆ!
จนสุดท้ายพลังกลืนกินนั่นน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่น้ำทะเลยังซัดโหม อากาศล้วนบิดเบี้ยวทรุดตัว เมฆทั่วทิศทลาย
เจ้าคางคกกับเจ้านกดำอึ้งไปโดยพร้อมเพรียง
อาหลู่ที่หลับปุ๋ยอยู่กระโดดพรึ่บขึ้นมา เสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวเทียนหยุดการกระทำในมือ
ต่างล้วนตกใจ
พวกเขาเสื้อผ้าโบกสะบัด ดวงตาแทบจะลืมตาไม่ขึ้น ต้องโคจรพลังทั้งหมดจึงพอจะฝืนบังคับร่างไม่ให้ถูกพลังกลืนกินที่น่ากลัวนั่นม้วนไป
“นี่…”
พวกเจ้าคางคกต่างหน้าเปลี่ยนสี กลิ่นอายนี้เผด็จการเกินไป ราวกับกลืนกินฟ้าดิน กลืนกินสรรพสิ่ง ช่วงชิงมหาอิทธิพลแห่งวัฏจักรมาใช้!
ต่อให้เป็นพวกเขา กายใจยังรู้สึกถึงความกดดันที่ปะทะเข้ามา
และในเวลาเดียวกัน ในบ้านไม้ร่างของหลินสวินมีแสงมรรคไหลเวียน เปลี่ยนเป็นลักษณ์แห่งหุบเหวใหญ่ ทั้งตัวประหนึ่งหลุมดำที่โคจรอยู่ในส่วนลึกของวัฏจักร กำลังกลืนกินพลังทั้งหมดที่มาจากสี่ทิศแปดด้าน!
กลิ่นอายผงาดกร้าวเผด็จการที่ทำให้ผู้คนพรั่นพรึงแผ่ออกจากร่างของเขา
เพียงแต่ไม่ทันไรปรากฏการณ์ประหลาดทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย
หลินสวินหยุดการฝึกปราณ จมสู่ภวังค์ความคิด
หลายวันมานี้เขาควบคุมนัยเร้นลับของคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดขั้นต้นได้แล้ว ในใจมีเพียงความรู้สึกเดียว
มรดกนี้ เผด็จการไม่อาจประเมิน!
มองพลังแห่งวัฏจักรฟ้าดินเป็นเหยื่อ กลืนกินมาใช้เป็นของตน ร่างข้าไร้สิ้นสุด มรรคข้าไร้สิ้นสุด วิชาข้าก็ไร้สิ้นสุด!
นี่แตกต่างกับคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคที่หลินสวินใช้มรรควิถีทั้งชีวิตสร้างขึ้นมาอย่างสิ้นเชิง
เตาหลอมมหามรรคสามารถบรรจุหมื่นมรรค สามารถแสดงหมื่นวิชา คล้ายมหาสมุทรแห่งหนึ่ง สามารถทำให้หมื่นกระแสกลับสู่จุดตั้งต้น ไม่ใช่การเข้าไปกลืนกิน แต่เป็นพลังที่รองรับหมื่นกาล รวบรวมสี่สมุทร
มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ที่ ‘ยามบุปผาข้าเบ่งบาน กลิ่นหอมจะโชยมาเอง’ อยู่รางๆ
ทว่าคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดกลับแตกต่าง นัยเร้นลับแกนหลักของคัมภีร์นี้อยู่ที่การ ‘กลืนกิน’ เป็นการรุกรานและช่วงชิงที่เผด็จการอย่างที่สุด!
ขอเพียงเป็นพลังที่อยู่ในโลกนี้ล้วนสามารถถูกกลืนกินได้ ถูกหลอมเป็นพลังแห่งตน และปลดปล่อยอานุภาพที่น่ากลัวไร้สิ้นสุด
หากเพียงแค่อานุภาพตอนต่อสู้ ก็เห็นได้ชัดว่าคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดเหนือกว่า
ถึงอย่างไรก็เป็นมรดกไร้เทียมทานที่เคยติดตามเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ต่อสู้ในกาลเวลาไร้สิ้นสุด เคยกำราบผู้ยิ่งใหญ่ระดับจักรพรรดิหลายคนบนโลก
ส่วนคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค สำหรับตอนนี้เป็นเพียงวิชาหนึ่งที่หลินสวินสร้างขึ้น เป็นรากฐานอย่างหนึ่งของมรรควิถี นัยเร้นลับภายในยังไม่เคยแสดงออกมาถึงที่สุดอย่างแท้จริง
ทว่าหากพูดถึงรูปแบบและสภาพการณ์แล้ว กลับเป็นคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคเหนือกว่า!
วิชานี้ล้ำค่าที่คำว่า ‘รองรับ’ สามารถรองรับสรรพสิ่งได้ก็เท่ากับยิ่งใหญ่
มหามรรคและวิชามากมายทั่วหล้า ล้วนสามารถผสานเข้าสู่เตานี้
ก่อนหน้านี้ยามข้ามผ่านห้วงอากาศว่างเปล่ามุ่งหน้าไปกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิ ผู้เฒ่าอิ๋นเคยเตือนหลินสวินเป็นพิเศษว่า ในอนาคตอย่าได้เปิดเผยวิชาแห่งตน
เพราะวิชานี้ไม่เคยมีมาก่อนในอดีต ต้องห้ามและแข็งแกร่งเกินไป หากถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิเห็นเข้าจะเกิดความคิดชั่วร้ายขึ้นได้!
ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ หลินสวินรู้ดีว่าการกำเนิดของคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค เคยประสบ ‘ด่านเคราะห์’ ที่แปลกประหลาดและน่ากลัวครั้งหนึ่ง
ในเรื่องนี้ คัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดไม่อาจเทียบได้
พูดง่ายๆ ก็คือ คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคนี้ ตอนที่ถือกำเนิดขึ้นก็มีสภาพที่ไม่เคยมีมาก่อนแล้ว ทว่าตอนนี้ยังเป็นเพียงแค่ต้นแบบ อีกทั้งจำกัดในระดับอริยะ ไม่ได้มีนัยเร้นลับระดับจักรพรรดิ
ส่วนคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุด คือมรดกไร้เทียมทานที่สมบูรณ์อย่างแท้จริงเล่มหนึ่ง อานุภาพของมันน่าสะพรึงกลัว โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และนัยเร้นลับในนั้นก็เกี่ยวพันกับความเร้นลับมากมายของระดับจักรพรรดิ
นี่เป็น ‘คัมภีร์สมบัติมรรคจักรพรรดิ’ ที่แท้จริงเล่มหนึ่ง!
และตอนนี้ หลังจากตระหนักได้ถึงความแตกต่างเหล่านี้ ในใจหลินสวินอดปรากฏความคิดที่ใจกล้าอย่างหนึ่งไม่ได้…
ในเมื่อคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคสามารถรองรับหมื่นมรรคใต้หล้า จะสามารถ… หลอมนัยเร้นลับของคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดเข้าไปภายในด้วยได้หรือไม่
หากเป็นเช่นนี้ อานุภาพและท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ของคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค จะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่พิสดารพลิกฟ้าพลิกดินหรือไม่
คิดถึงตรงนี้หลินสวินอดตะลึงไม่ได้
เขาถึงขั้นอยากลองดูอย่างแรงกล้า ทว่าสุดท้ายก็อดกลั้นไว้
ตอนนี้สิ่งที่บรรลุอยู่ในคัมภีร์เตาหลอมมหามรรค มีนัยเร้นลับของมรดกมากมาย อย่างคัมภีร์กระบี่ไท่เสวียน มังกรเคราะห์เก้ากระบวนแปร หนึ่งกระบวนวัฏจักรฟ้า เคล็ดวิชาเก้าหมัดสะเทือนสวรรค์ ดรรชนีมหาอุดมสลายมายา
เพียงแค่สิ่งเหล่านี้ตนยังไม่ได้หยั่งถึงอย่างที่สุด หากไปรองรับมรดกชั้นยอดอย่างคัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดอีก เห็นได้ชัดว่าเป็นการไม่รู้จักประมาณตนนัก
ยิ่งไปกว่านั้นสำหรับการหยั่งรู้คัมภีร์กลืนกินไร้สิ้นสุดของเขาในตอนนี้ ก็อยู่เพียงขั้นต้นเท่านั้น ภายในยังมีนัยเร้นลับมากมายที่เขายังไม่เข้าใจอย่างแท้จริง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็ไม่สมควรไปลองหลอมมรดกนี้เข้าไปในวิชาของตนจริงๆ
‘ระดับมหาอริยะ ยิ่งใหญ่ไร้ขอบเขต มีส่วนคล้ายกับคัมภีร์เตาหลอมมหามรรคของข้าอยู่บ้าง บางทียามฝึกปราณถึงระดับนี้ค่อยลองดูก็ยังไม่สาย…’
หลินสวินสูดหายใจลึก สุดท้ายก็สลัดความวู่วามอันแรงกล้าในใจออกไป
“พี่ใหญ่ เจ้าจะออกด่านแล้วหรือ”
นอกบ้านไม้เสียงของเจ้าคางคกดังขึ้น
แทบจะในเวลาเดียวกัน เสียงที่ร้อนรนของเจ้านกดำก็ดังมาแล้ว “เจ้าหนุ่ม ขืนเจ้ายังไม่ไปหุบเขาตะวันคล้อยอีก ข้าจะถูกทรมานจนบ้าแล้วจริงๆ!”
หลินสวินบื้อใบ้ ลุกขึ้นยืนและเปิดประตูออกไป
ตั้งแต่ก่อนปิดด่าน เขาเคยพูดว่าเมื่อออกด่านจะไปหุบเขาตะวันคล้อยนั่นสักเที่ยว ตอนนี้ก็ได้เวลาแล้ว
“ฮ่าๆๆ ในที่สุดเจ้าหนูอย่างเจ้าก็ออกมาแล้ว”
เจ้านกดำตาเป็นประกาย ดีใจไม่หยุด “คราวนี้จัดการง่ายแล้ว ไปๆๆ พวกเราไปตัดพวกต้นเทพฝูซางของอีกาทองพวกนั้น ทำให้พวกเขารู้ความแข็งแกร่งของพวกเราพี่น้อง!”
เจ้าคางคกพูดอย่างกังวลเล็กน้อย “พี่ใหญ่ แค่พลังของพวกเราไหวจริงๆ หรือ หุบเขาตะวันคล้อยนั่นเป็นถึงแดนเร้นอริยะ เผ่าอีกาทองสามารถคงอยู่ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ย่อมไม่ใช่พวกที่ล่วงเกินได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ พยักหน้าพูด “ไม่ต้องห่วง ในใจข้ามีแผนแล้ว”
“เรื่องอื่นข้าไม่สนใจ ข้าฟังเพียงการตัดสินใจของพี่ใหญ่”
อาหลู่ก้าวเท้าเข้ามา ฉีกยิ้มพูด
ห่างออกไปเสี่ยวอิ๋นและเสี่ยวอิ๋นก็ต่างมองมาจากไกลๆ
ในหลายวันนี้พวกเขารอคอยมาโดยตลอด รอการตัดสินใจสุดท้ายของหลินสวิน
หลินสวินเห็นเช่นนี้ก็โบกมืออย่างตัดสินใจ
“ไป!”
คำพูดไร้สาระอื่นๆ ไม่จำเป็นต้องพูด ไม่ว่าจะเพื่อช่วยวิญญาณอาวุธของธนูวิญญาณไร้แก่นสาร หรือเพื่อแก้แค้น
การมุ่งหน้าไปหุบเขาตะวันคล้อยครั้งนี้ หลินสวินหลีกเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน!
ควรรู้ว่าต่อให้ตัดเรื่องอื่นออกไปไม่พูดถึง เพียงแค่ในแดนมกุฎ หลินสวินก็ได้ผูกความแค้นกับเผ่าอีกาทองอย่างสิ้นเชิงแล้ว
วันนี้พวกหลินสวินที่เก็บตัวเงียบมานานได้ออกจากทะเลหมากดารา มุ่งหน้าไปยังอาณาเขตที่เผ่าอีกาทองอยู่…
หุบเขาตะวันคล้อย!