Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1717 ตำนานแท่นสักการะ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1717 ตำนานแท่นสักการะ
จนตอนนี้ในใจหลินสวินพอมีโครงร่างคร่าวๆ บ้างแล้ว
ในโลกมืดบนทางเดินโบราณฟ้าดารามีสามยักษ์ใหญ่ แบ่งเป็นสำนักโบราณจรัสเทพ แดนกษิติครรภ์ หอวิหคทองแดง
ในนั้นสำนักโบราณจรัสเทพมองตัวเองว่าเป็น ‘ทูตเทพพยากรณ์’ รับบัญชาแห่งทวยเทพ กระทำการเข่นฆ่า
แดนกษิติครรภ์มองว่าตนเป็น ‘ผู้หลุดพ้น’ ยึดการกำจัดมารนอกรีตในโลกเป็นหน้าที่แห่งตน
ส่วนหอวิหคทองแดงก็เปรียบเสมือนผู้พิทักษ์และผู้ควบคุมระเบียบของโลกมืด อำนาจกระจายทั่วโลกมืด อิทธิพลหยั่งรากฝังลึก
มีแสงสว่าง ก็ย่อมมีความมืดมิด
ส่วนโลกมืดอยู่ที่ไหนกันแน่ ผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ในโลกนี้ต่างก็บอกไม่ถูก
รวมถึงอาหู ก็ได้แต่บอกว่าโลกมืดเป็นเพียงคำเรียกแบบกว้างๆ อย่างหนึ่ง โดยทั่วไปยิ่งก่อกวนแดนปั่นป่วนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสแทรกซึมอำนาจในโลกมืดได้มากขึ้นเท่านั้น
นี่ทำให้สามยักษ์ใหญ่แห่งโลกมืดอย่างสำนักโบราณจรัสเทพ แดนกษิติครรภ์ และหอวิหคทองแดงยิ่งเร้นลับขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
และนับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ในใจหลินสวินก็เกิดความระวังตัวขึ้นมาบ้างแล้วส่วนหนึ่ง
ถูกสองขุมอำนาจยักษ์ใหญ่อย่างสำนักโบราณจรัสเทพกับแดนกษิติครรภ์หมายหัวพร้อมกัน ไม่ว่าใครก็ไม่มีทางนิ่งเฉยได้
…
หนึ่งวันต่อมา
ทั่วทั้งแดนหลอมสมบัติสั่นสะเทือนรุนแรงครู่หนึ่ง ฟ้าดินไหวโคลง ผู้ฝึกปราณที่กระจายตัวอยู่ในนั้นต่างหยุดการกระทำในมือ
“ที่แห่งนี้จะจมสู่ผนึกอีกครั้งแล้ว…”
มีคนพึมพำ
“บททดสอบและอันตรายที่แท้จริงจะเริ่มนับจากบัดนี้ อย่าลืมล่ะ ในกาลเวลาที่ผ่านมา ผู้ที่สามารถรอดชีวิตออกจากแหล่งสถานคุนหลุนได้มีเพียงไม่กี่หยิบมือเท่านั้น!”
มีคนสีหน้าเคร่งขรึม
แดนหลอมสมบัติเป็นเพียงอาณาเขตรอบนอกของแหล่งสถานคุนหลุนเท่านั้น ยังไม่มีอันตรายให้พูดถึงมากนัก
แต่ส่วนลึกของแหล่งสถานคุนหลุนย่อมไม่เหมือนกันแล้ว ทุกแห่งหนล้วนเต็มไปด้วยเคราะห์สังหาร เป็นไปได้สูงว่าแค่ดินโคลนก้อนหนึ่ง หญ้าเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาต้นหนึ่ง ล้วนสามารถเอาชีวิตมกุฎมหาอริยะได้ !
นี่หาได้กล่าวเกินจริง หากแต่เคยเกิดขึ้นจริงๆ ในกาลเวลาที่ผ่านมา
“ส่วนลึกของแหล่งสถานคุนหลุนมีอันตรายยิ่งใหญ่ และมีมหาวาสนาด้วยเช่นกัน ความลับภายในนั้นดุจหมอกควันแผ่กว้าง หมื่นยุคสืบมาไม่เคยมีคนมองทะลุสภาพความเป็นไปทั้งหมดได้อย่างแท้จริง ครั้งนี้ก็ไม่รู้ว่าจะมีสักกี่คนที่สามารถได้รับวาสนาภายในนั้น…”
มีคนคิดไปต่างๆ นานา
ตูม!
ไม่ทันไรบนเวิ้งฟ้าแถบนั้นมีเสียงก้องกระหึ่มดังขึ้น ทำเอาสภาวะจิตของผู้คนสะท้านสะเทือน
หลังจากนั้นเถาวัลย์สีเขียวที่ใหญ่หนาเถาแล้วเถาเล่าตกลู่ลงมาจากฟากฟ้า สะบัดลงในพื้นที่แตกต่างกันในแดนหลอมสมบัติ
“เถาวัลย์บรรลุนภาปรากฏแล้ว!”
ผู้ฝึกปราณมากมายต่างเริ่มเคลื่อนไหว
บ้างเรียกสมบัติออกมา บ้างก็ทำมุทราโคจรวิชา บ้างก็กระตุ้นพลัง…
พวกเขาต่างเริ่มมีปฏิกิริยาตอบสนอง
เถาวัลย์บรรลุนภาจำนวนไม่อาจนับ ผู้ฝึกปราณแค่ต้องปีนไต่เถาวัลย์ขึ้นไป ก็สามารถออกจากแดนหลอมสมบัติ เข้าสู่ภายในแหล่งสถานคุนหลุนอย่างแท้จริงได้
แต่ในเถาวัลย์บรรลุนภาเหล่านั้น มากกว่าครึ่งแทบจะเชื่อมไปยัง ‘แดนมรณะ’ หากเคราะห์ไม่ดีเลือกผิด เป็นไปได้สูงว่าสถานที่ที่ไปถึงก็คือแดนไร้หวังเปี่ยมอันตราย!
ในกาลเวลาที่ผ่านมาไม่รู้มีผู้ฝึกปราณเท่าไหร่กลายเป็นคนตายจริงๆ เพราะเข้าสู่ ‘แดนมรณะ’ แบบไม่ทันตั้งตัว
“พวกเราก็เริ่มเคลื่อนไหวกันเถอะ”
อาหูเอ่ยปาก มือเรียวของนางสะบัดคราหนึ่ง ปิ่นสีเงินเล่มหนึ่งพุ่งออกมา บนนั้นสลักลายมรรคแน่นขนัดเอาไว้
วู้ม!
ปิ่นสีเงินส่องแสง ชี้ไปยังทิศทางหนึ่งไกลออกไปโดยทันที
“ไป”
อาหูนำทางไปก่อน หลินสวินตามหลังนางติดๆ
เมื่อเห็นเช่นนี้จู่ๆ หลินสวินก็นึกขึ้นมาได้ ปีนั้นยามทะลวงสามด่านสุดท้ายของทางเดินเมฆาหยกในห้องโถงมรรคาสวรรค์ ตนเคยได้รับสมบัติสามอย่าง
หนึ่งคือปีกผลาญเทพ สองคือพลังเร้นชะตาสวรรค์ ส่วนสิ่งสุดท้ายคือสมบัติที่มีชื่อว่า “พันฤกษ์วัฏจักรนำพา”
จากคำพูดของหญิงลึกลับ พันฤกษ์วัฏจักรนำพาอัศจรรย์พันลึกสุดขีด ไม่ว่าจะหลงทางในทะเลดาราไร้ขอบเขต จมสู่ปราการวงกตฟ้าดิน หรือว่าหลงเข้าไปในแดนเสี่ยงอันตราย ล้วนสามารถใช้สมบัติชิ้นนี้ชี้ทางรอดได้
“ถึงแล้ว”
ไม่ทันไรอาหูก็หยุดฝีเท้า เบื้องหน้าเทือกเขาลูกหนึ่งไกลๆ เถาวัลย์ยักษ์สีเขียวที่หยาบหนาเหมือนถังน้ำสายหนึ่งร่วงลงมาจากฟากฟ้า
ทอดสายตามองจากไกลๆ ก็เหมือนงูหลามสีเขียวตัวหนึ่งห้อยหัวลงมาจากฟ้า!
ปิ่นสีเงินของอาหูชี้ไปทางเถาวัลย์บรรลุนภาเถานี้พอดี
หลินสวินเงยหน้าขึ้นมอง ดูไม่ออกสักนิดว่าเถาวัลย์เถานี้ยาวแค่ไหนกันแน่ เหมือนแตกเครือทอดลงมาจากนอกเวิ้งฟ้า
“ปีนขึ้นไปเหนือฟ้าก็คือคุนหลุน ที่นั่นเป็นโบราณสถานที่ไพศาลไร้ขอบเขตแห่งหนึ่ง ซุกซ่อนอันตรายและความลับไม่รู้เท่าไหร่ หลังจากไปถึงที่นั่นต้องระวังตัวให้มากๆ”
อาหูกำชับหนึ่งประโยค ตั้งท่าเตรียมเคลื่อนไหว
จู่ๆ เสียงอ่อนโยนเสมือนลมวสันต์สายหนึ่งก็ดังขึ้น “บังเอิญจริง ถึงกับพบทั้งสองคนที่นี่”
ที่มาพร้อมกับเสียงนั้นคือระลอกคลื่นสายหนึ่งที่ผุดขึ้นในห้วงอากาศไกลๆ จากนั้นเงาร่างสามสายก็เดินออกมา
ร่างผอมที่นำหน้าสุดสวมชุดแขนกว้างรัดเข็มขัด มีมาดบัณฑิตสุภาพ เป็นเมิ่งอี้ทายาทเลือดบริสุทธิ์ที่ผ่าเหล่าผ่ากอที่สุดคนหนึ่งของเผ่านักรบฉงฉี
จีเฉียนและเจียงเหิงจากสำนักยุทธ์เสวียนจีติดตามอยู่ข้างกายเขา ตอนที่มองเห็นหลินสวินและอาหู พวกเขาสองคนต่างอึ้งไป
จีเฉียนขมวดคิ้วมุ่น ใบหน้างดงามของเจียงเหิงก็เย็นเยียบลง
และตอนที่หลินสวินเห็นเจียงเหิงก็เผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเช่นกัน เขาจำอีกฝ่ายได้ เป็นหญิงสาวคนนั้นที่มองว่าตนเป็นขโมยในสมรภูมิเซียนเหินนั่นเอง
“ช่างบังเอิญจริงเชียว”
หลินสวินยิ้มแล้ว แววตานึกสนุก เขาเหลือบมองจีเฉียนปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “หากข้าเดาไม่ผิด ปีนั้นคงเป็นเจ้าที่ลงมือ หมายจะแย่งสมบัติในมือข้ากระมัง”
จีเฉียนแค่นเสียงเย็น “ปีนั้นในสมรภูมิเซียนเหิน เจ้าปล้นโอสถเทพของสำนักยุทธ์เสวียนจีของข้าซ้ำแล้วซ้ำอีก ข้ายังไม่ทันคิดบัญชีกับเจ้าเลย!”
หลินสวินแค่นหัวเราะ “แหม จะบอกว่าสมรภูมิเซียนเหินนั่นเป็นสวนหลังบ้านของสำนักยุทธ์เสวียนจีของเจ้าหรือ โอสถเทพไร้เจ้าของจำนวนหนึ่งถูกพวกเจ้าหมายตา ก็กลายเป็นของพวกเจ้าแล้วรึ”
“ทุกท่าน บุญคุณความแค้นที่ผ่านมาไม่พูดถึงดีหรือไม่ แค่เรื่องเล็กน้อยนิดหน่อยเท่านั้น หากก่อนหน้านี้พี่หลินมีพลาดพลั้งอะไรไป ก็ให้ข้าเมิ่งอี้ชดเชยให้ดีหรือไม่”
เมิ่งอี้ยิ้มพลางเอ่ยปาก น้ำเสียงอ่อนโยน ทำเอาผู้คนเหมือนอาบชโลมลมวสันต์
“ไม่ดี”
หลินสวินตอบกลับอย่างแน่นหนักยิ่ง
เมิ่งอี้สีหน้าแข็งค้าง คล้ายคิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะพูดยากเช่นนี้ จีเฉียนและเจียงเหิงต่างก็เริ่มโกรธกรุ่นขึ้นมา จ้องหลินสวินอย่างเดือดดาล
พวกเขาตั้งท่าจะพูดอะไรบางอย่างแต่ถูกเมิ่งอี้หยุดไว้
เมิ่งอี้กล่าวว่า “ช่างเถอะ แดนหลอมสมบัติใกล้จะจมสู่ผนึกแล้ว แทนที่จะถือสาเรื่องไม่เป็นเรื่องในอดีต ไม่สู้ออกจากที่นี่ก่อนดีกว่าหรือ”
หลินสวินและอาหูสบตากันปราดหนึ่ง ไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ
ต่อมาเมิ่งอี้พาจีเฉียนและเจียงเหิงเคลื่อนไหวนำหน้าไปก่อน ทะยานตัวไปอยู่บนใบสีเขียวที่ใหญ่หนาใบหนึ่งของเถาวัลย์บรรลุนภาอย่างมั่นคง
อาหูและหลินสวินก็เลือกใบไม้แถบหนึ่งตามหลังไปติดๆ เหยียบย่างลงไปบนนั้น
ไม่จำเป็นต้องปีนไต่ เถาวัลย์ใหญ่หนานี้ก็เริ่มหดเข้าไปในเวิ้งฟ้าอย่างรวดเร็ว พาพวกหลินสวินทะยานฟ้าขึ้นไป
“พี่หลิน ข้าน้อยเมิ่งอี้เผ่านักรบฉงฉี”
ระหว่างทางเมิ่งอี้ประสานหมัดเอ่ยกล่าว
หลินสวินเหลือบมองเขาปราดหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ไม่ใช่ข้าไม่รักษาน้ำใจ เจ้ามีอะไรก็ว่ามาตรงๆ เลยดีกว่า”
เมิ่งอี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าคนแซ่เมิ่งมาครั้งนี้ ตั้งใจจะมุ่งหน้าไปเสาะหาวาสนาในแดนอันตรายแห่งหนึ่งของแหล่งสถานคุนหลุน หากได้การช่วยเหลือจากป้ายคำสั่งเซียนเหิน ก็จะมีโอกาสคว้าวาสนาครั้งนี้ได้เจ็ดส่วน…”
ไม่รอให้พูดจบหลินสวินก็ยิ้มขึ้นมา “เจ้าก็ทำเพื่อป้ายคำสั่งเซียนเหินหรือ”
จีเฉียนและเจียงเหิงต่างอดขมวดคิ้วไม่ได้ มักรู้สึกว่าคำพูดและรอยยิ้มของหลินสวินเจือแววเยาะหยันอย่างบอกไม่ถูก ทำเอาผู้คนอลักเอลื่อยิ่ง
เมิ่งอี้กลับเหมือนไม่รู้สึกรู้สา พยักหน้าเรียบๆ “เป็นเช่นนั้นแหละ แต่ข้าไม่ได้อยากให้พี่หลินลำบากใจ หากเป็นไปได้ ข้าหวังว่าจะร่วมมือกับพี่หลิน มุ่งหน้าไปยังแดนแห่งวาสนานั้นพร้อมกันได้ ผลเก็บเกี่ยวที่ได้รับทั้งหมด แน่นอนว่าย่อมมีส่วนแบ่งของพี่หลินอยู่แล้ว”
ไม่รอให้หลินสวินตอบ จู่ๆ อาหูก็กล่าวว่า “สหายยุทธ์พอจะบอกหน่อยได้หรือไม่ว่าจะไปแดนวาสนาใดกัน”
เมิ่งอี้นิ่งเงียบครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “แท่นสักการะ”
คำสั้นๆ เท่านั้น กลับทำเอาเนตรงามของอาหูแข็งทื่อ กล่าวว่า “เท่าที่ข้ารู้ จากอดีตจนปัจจุบัน ไม่ว่าใครก็ตามที่เข้าสู่สถานที่แห่งนั้น ทุกคนล้วนไปไม่กลับ ไม่มีใครรอดชีวิตกลับมาสักคน เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่อันตรายที่สุดแห่งหนึ่งในแหล่งสถานคุนหลุน ต่อให้ได้รับความช่วยเหลือจากป้ายคำสั่งเซียนเหินก็ยังไม่ใคร่มีประโยชน์เท่าใดนัก”
เมิ่งอี้กล่าวอย่างแปลกใจ “แม่นางถึงกับรู้จักแท่นสักการะด้วยหรือ ถูกต้อง นับจากอดีตจนปัจจุบัน ไม่มีใครสามารถรอดชีวิตกลับมาจากในนั้นได้จริงอย่างว่า แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน”
กล่าวพลางมือเขาพลิกขึ้นคราหนึ่ง ปรากฏม้วนตำราที่ถูกประทับผนึกม้วนหนึ่ง แม้จะถูกประทับผนึกไว้ แต่ยังคงแผ่กลิ่นอายเร้นลับที่เวิ้งว้างเก่าแก่สายหนึ่งออกมา
ดุจดั่งบัญชาจากสวรรค์สายหนึ่ง แม้ยังไม่ทันปรากฏก็มีอานุภาพเหนือสุดแล้ว!
“นี่คือ ‘คำจารึกสักการะ’ ม้วนหนึ่งที่บรรพชนเผ่าข้าได้รับมาด้วยความบังเอิญ ภายในใช้พลังเทพเหนือสุดประทับเบาะแสส่วนหนึ่งเอาไว้ ล้วนเกี่ยวข้องกับแท่นสักการะ หากอาศัยสมบัตินี้ กอปรกับมีความช่วยเหลือจากป้ายคำสั่งเซียนเหินเพิ่มเข้าไปอีก ก็สามารถมุ่งหน้าเข้าไปได้เที่ยวหนึ่งแล้ว!”
หว่างคิ้วเมิ่งอี้ฉายแววมั่นใจเต็มเปี่ยม
คำจารึกสักการะ!
จีเฉียนและเจียงเหิงต่างสีหน้าแปลกพิกล ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ยักรู้ว่าในมือเมิ่งอี้ถึงกับมีของที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ด้วย
อาหูทอดสายตามองหลินสวิน เรื่องระดับนี้ให้หลินสวินเป็นคนตัดสินใจดีกว่า
แต่นางสื่อจิตบอกกับหลินสวินแล้ว ว่าเมิ่งอี้น่าจะไม่กล้าพูดปด เพราะหากไม่มีป้ายคำสั่งเซียนเหิน เขาก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามบุกเข้าไปในแท่นสักการะนั่นโดยเด็ดขาด!
ภายใต้สถานการณ์ระดับนี้ แม้ว่าเขาจะมีแผนสกปรกในใจ แต่อย่างน้อยระหว่างเดินทางไปแท่นสักการะต้องไม่กล้าลงมือมั่วซั่วแน่นอน
หลินสวินกล่าว “ข้าใคร่รู้นักว่าแท่นสักการะซ่อนอะไรไว้กันแน่ ถึงทำให้เจ้ายืนกรานจะมุ่งหน้าไปทั้งที่รู้ว่าอันตรายเช่นนี้”
เมิ่งอี้กล่าวเน้นทีละคำ “ตามตำนาน ที่นั่นซุกซ่อนความลับที่จะบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์เอาไว้!”
ประโยคเดียวทุกคนต่างอึ้งงัน ภายในใจสั่นสะท้าน
บรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์!
ศุภโชคสูงสุดระดับนี้ อย่าว่าแต่มกุฎมหาอริยะ ต่อให้ถูกบุคคลระดับกึ่งจักรพรรดิ หรือครึ่งก้าวสู้ระดับจักรพรรดิรู้เข้า ก็ต้องทุบศีรษะแย่งชิงกันเป็นแน่!
ชั่วขณะนี้หลินสวินก็นิ่งเงียบไปเช่นกัน
“ทั้งสองไม่ต้องด่วนตัดสินใจ ก่อนมุ่งหน้าไปยังแท่นสักการะยังมีเวลาอีกครึ่งเดือน ระหว่างนี้หากทั้งสองคนตัดสินใจได้แล้วก็ติดต่อข้ามาทันทีได้เลย”
เมิ่งอี้กล่าวพลางยื่นป้ายยืนยันป้ายหนึ่งให้หลินสวิน “ทุบป้ายนี้ให้แตก ข้าจะมุ่งหน้ามารวมตัวกับทั้งสองคนทันที”
เขานิ่งไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยต่อไปว่า “เพื่อแสดงความจริงใจ ในการเคลื่อนไหวครั้งนี้ ข้าคนแซ่เมิ่งจะร่วมหัวจมท้ายกับพวกเจ้าทั้งสอง หากพบเจอสิ่งที่ไม่เจริญตามาขัดขวาง ข้าคนแซ่เมิ่งจะไม่ปล่อยไว้เด็ดขาด!”
กล่าวถึงตอนท้าย ดวงตาที่อ่อนโยนคู่นั้นของเขาเจือแววเย็นเยียบขึ้นมาวูบหนึ่ง
“ข้าจะพิจารณาดูอีกที”
หลินสวินรับป้ายยืนยันป้ายนั้นมา
เมิ่งอี้เผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ข้าเฝ้ารอจะได้ร่วมมือกับคนมากความสามารถเช่นพี่หลินยิ่งนัก”
ตั้งแต่ต้นจนจบเขาถ่อมตัวอ่อนโยน รู้รุกรู้ถอย มารยาทเป็นเอก บุคลิกจริงใจ พาให้ผู้คนรู้สึกไร้ที่ติ
แม้จะเป็นหลินสวินยังหาเหตุผลมาเกลียดชังคนผู้นี้ไม่ได้แม้แต่น้อย
แน่นอน คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจ ใครก็ตามที่สามารถบรรลุเป็นมกุฎมหาอริยะได้ ย่อมไม่มีพวกธรรมดาสักคน!
ตูม!
ไม่ทันไรเถาวัลย์บรรลุนภาก็สั่นสะเทือนรุนแรง นำพาพวกหลินสวินทะยานเข้าไปในรอยแยกที่มืดมิดสายหนึ่งที่แหวกกว้างกลางเวิ้งฟ้า
——