Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1812 ออกด่าน!
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1812 ออกด่าน!
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย เวลาสามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว
พวกเฟิงหรูเสวี่ยกับหลี่โผอดทนรออยู่ ไม่กระวนกระวายแต่อย่างใด
มาถึงระดับอย่างพวกเขา สภาวะจิตกับเจตจำนงแข็งแกร่งหาใดเทียบไปนานแล้ว ย่อมไม่ฟุ้งซ่านเพราะทนรอนาน
ไม่ต้องพูดถึงว่าหากหลินเต้ายวนคนนั้นก็คือหลินสวิน นั่นก็เท่าเป็นการรอคอยยอดศุภโชคที่ทำให้ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราจับตามองได้!
หากได้เผชิญหน้ากับวาสนาเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็อยากรอต่อ
ในช่วงสามวันนี้แดนลับต้าอวี่ก็ไม่ได้เงียบสงบ ผู้ฝึกปราณหลายคนต่างได้ยินแล้วว่าเหล่าราชันอริยะออกเคลื่อนไหว ปิดผนึกบริเวณใกล้เคียงเทือกเขาเก้ากระถางเอาไว้
และหลินเต้ายวนก็ตกเป็นเป้าที่ทุกคนเพ่งเล็ง!
ชายหนุ่มที่เมื่อก่อนไม่ได้มีชื่อเสียง แต่กลับโจมตีพวกชื่อหลิงจื่อ สุ่ยปี้อวิ๋นได้ ตอนนี้กลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่ถูกจับตามองที่สุดในโลกต้าอวี่แล้ว
เพียงแต่เห็นได้ชัดว่าไม้เด่นเกินไพร ลมย่อมพัดหักโค่น มหันตภัยครั้งใหญ่ครั้งหนึ่งพุ่งเป้าไปยังเขาแล้ว!
……
โครม!
ภายในแดนลับต้าอวี่ เก้ากระถางสั่นระริก ตอนหลินสวินผึกปราณ พลานุภาพน่าสะพรึงกลัวถึงขั้นไหน
ก็เห็นว่าพลังกฎเกณฑ์บ่อเกิดแรกกำเนิดที่ถาโถมนั้นพุ่งเข้าไปในร่างกายราวมหานที ทะลวงผ่านทั้งภายในภายนอกร่างกาย ผ่านแขนขาทั้งสี่ร้อยกระดูกทั้งร่าง
กระทั่งในที่สุดเหนือศีรษะเขาก็สะท้อนภาพแท่นบูชา เปล่งประกายดุจสุริยัน ภายในมีกฎเกณฑ์มหามรรคมากมาย ถึงกับสร้างทัศนียภาพอัศจรรย์หาได้ยากอย่าง ‘ไม่เสื่อมไม่ดับ หมื่นกาลไม่แปรเปลี่ยน’
จนตอนนี้มรรคราชันอริยะทั้งร่างของหลินสวินก็มั่นคงโดยสมบูรณ์
ร่างกายเขาเปล่งปลั่ง รูขุมขนทุกกระเบียดต่างมีแสงมรรคเร้นลับหลั่งไหล เลือดลมพิสุทธิ์ไหลรินเชี่ยวกรากดุจเปลวเพลิงควันสัญญาณ กระดูกเส้นเอ็นก็เปล่งรัศมีเจิดจรัสดั่งหลอมด้วยทองเทพ เพียงแค่พลังจากกายเนื้อก็เทียบได้กับประกายคมศาสตราจิตอันแข็งแกร่งอย่างยิ่งยวดในโลก!
จิตวิญญาณของเขาสั่งการอยู่ที่แท่นบูชา บ่มเพาะอยู่ในร่างกาย เลือดทุกหยดเหมือนโอสถเทพไร้เทียมทาน เปี่ยมด้วยพลังชีวิตไพศาลหาใดเทียบ
ส่วนพลังปราณของเขาก็เหมือนเตาหลอมใหญ่โคจร พลังกำเนิดอริยะสีเขียวไหลเวียนอยู่ในจุดชีพจรถ้ำผสาน เข้มข้นจนแทบจะสลายไม่ได้
มรรคหลอมกาย หลอมจิตและหลอมปราณทั้งสามสาย เป็นหนึ่งเดียวอันสัมบูรณ์!
แต่ทว่าในตอนที่หลินสวินเปิดทางและควบรวมเขตแดนมรรค กลับพบกับปัญหาใหญ่ถึงที่สุดข้อหนึ่ง
ชีพจรปราณวิญญาณต้นกำเนิดของเขาคือหุบเหวกลืนกิน รากฐานมรรควิถีของเขาคือมรรคดับดารากลืนกิน แต่วิชามรรคที่เขารังสรรค์ขึ้นเองคือเตาหลอมมหามรรค
ถ้าควบรวมเขตแดนมรรค ย่อมต้องเลือกมรรควิถีสายหนึ่งเป็นพลังต้นกำเนิด แต่ที่ทำให้หลินสวินลำบากก็คือ จะทำให้เขตแดนมรรคของตนบรรลุถึงขั้น ‘ไม่เคยมีในอดีตกาล ทั่วหล้ามีเพียงหนึ่งเดียว’ ได้อย่างไร
ยากนัก!
กระถางใหญ่ที่แปลงมาจากกฎเกณฑ์บ่อเกิดแรกกำเนิดทั้งเก้านี้ ทำให้หลินสวินหลอมต้นแบบเขตแดนมรรคออกมา คล้ายจะเป็นเตาหลอมก็ไม่ใช่ เหมือนหุบเหวก็ไม่เชิง แสดงสภาวะแรกกำเนิดอย่างหนึ่ง
แต่จะปรับปรุงและควบรวมเป็นเขตแดนมรรคที่สมบูรณ์ได้อย่างไรแน่นั้น กลายเป็นปัญหายุ่งยากในใจหลินสวินข้อหนึ่ง
เขตแดนมรรคประหนึ่งโลกใบหนึ่ง ใช้มรรควิถีของตนควบรวมขึ้นมา
เขตแดนมรรคของราชันอริยะแต่ละคนในโลกนี้ล้วนแตกต่างกัน ลักษณะกับอานุภาพก็หลากหลาย
หากคิดจะให้เขตแดนมรรคของตนผงาดเหนือใต้หล้าในแง่คุณลักษณะและอานุภาพ ให้ไปถึงขั้น ‘บนเขตแดนมีข้าเป็นจุดสูงสุด’ เป็นเรื่องยากอย่างไม่ต้องสงสัย
‘ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็หลอมต้นแบบเขตแดนมรรคออกมาแล้ว ภายหน้ายามแก้ความยุ่งยากในใจได้ ย่อมเป็นรูปร่างได้ในคราวเดียว’
หลินสวินลืมตาขึ้น
ตูม!
พอเขาลุกขึ้นยืน พลานุภาพน่าหวาดหวั่นพาให้ใจสั่นก็ปลดปล่อยออกมา ทำให้กระถางใหญ่ที่แปลงมาจากพลังบ่อกำเนิดแรกกำเนิดทั้งเก้าใบนั้นพลันสั่นระรัว
“ตื่นแล้ว”
“สวรรค์!”
“พลานุภาพน่าตกใจนัก!”
แทบจะในชั่วขณะเดียวพวกอวี่อวิ๋นเหอต่างตกตะลึง ทอดมองไกลๆ ก็เห็นว่าหลินสวินยืนอยู่กลางอากาศ เก้ากระถางรอบทิศล้อมรอบ เงาร่างปลดปล่อยแสงมรรคเปล่งประกาย ดุจดั่งเทวราชันในตำนานมาเยือนโลก สง่างามไร้เทียมทาน!
อานุภาพที่ปลดปล่อยออกมาโดยไม่ตั้งใจนั้นทำเอาพวกอวี่อวิ๋นเหอต่างรู้สึกหวาดหวั่นจนแทบรู้สึกอยากคุกเข่ากราบกราน รู้สึกตัวเล็กจ้อยผิดธรรมดา
นี่ก็คืออานุภาพแห่งมกุฎราชันอริยะหรือ
หลินสวินมองพวกเขาปราดเดียวแล้วเดินลงมาจากห้วงอากาศอย่างแผ่วพลิ้ว
พอเขาหายใจ ทั้งกายเขาก็เหมือนทะเลรับมวลแม่น้ำ เก็บงำพลังขับเคลื่อนทั้งหมดไปด้วย ทั้งร่างแปรเปลี่ยนเป็นราบเบาบาง
หากกล่าวว่าก่อนหน้านี้เขาเหมือนอยู่เหนือเวิ้งฟ้าหมื่นกาล กวาดขวางทั่วหล้า เช่นนั้นเขาในตอนนี้ก็เหมือนปุถุชนคนทั่วไปคนหนึ่ง
ผู้เยี่ยมยอดย่อมเก็บงำ ประหนึ่งคืนสู่สามัญ มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้
นี่ทำให้พวกอวี่อวิ๋นเหอเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง ถ้าไม่ได้เห็นกับตาตัวเอง ใครจะกล้าเชื่อว่าชายหนุ่มธรรมดาๆ ตรงหน้านี้จะเป็นมกุฎราชันอริยะที่ฝ่ามหาเคราะห์ชั้นยอดผู้หนึ่ง
“ยินดีด้วยพี่หลิน!”
อวี่อวิ๋นเหอยิ้มพลางกุมมือคารวะ แม้กลิ่นอายหลินสวินจะเก็บงำลงไป แต่ในใจอวี่อวิ๋นเหอกลับยังคงรู้สึกกดดันและหวั่นเกรง
เปรียบดั่งเผชิญหน้ากับเสือซ่อนเขี้ยวเล็บ!
“ยินดีอะไรกัน นอกตำหนักนี้ยังมีเคราะห์สังหารรอข้าอยู่”
หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
พอยกเรื่องนี้ขึ้นมา พวกอวี่อวิ๋นเหอต่างก็สะดุดกึกในใจ
“พวกเจ้าอยู่ดูการต่อสู้ที่นี่ก็พอ”
หลินสวินเอามือไพล่หลัง เดินออกไปนอกตำหนัก
ขณะนี้ในใจเขามีความปรารถนาที่ข่มไว้ไม่อยู่ผุดขึ้นมา หมายจะลองดูเสียหน่อยว่าพลังของตนในตอนนี้จะแข็งแกร่งถึงขั้นไหน
ส่วนคู่ต่อสู้ที่โลกภายนอกจะมีมากมายเพียงไหน หลินสวินไม่สนใจแล้ว
เขาที่บรรลุระดับมกุฎมหาอริยะแตกต่างไปจากแต่ก่อนโดยสิ้นเชิงแล้ว ต่อให้กึ่งจักรพรรดิเข้ามา เขาก็กล้าไปงัดข้อ!
……
ท้องฟ้าเหนือเทือกเขาเก้ากระถาง
เฟิงหรูเสวี่ยนั่งขัดสมาธิ หลับตาลง กระบี่โบราณหมองหม่นเล่มหนึ่งวางนอนอยู่ตรงหน้า ไม่ไหวติงแม้สักนิด ประหนึ่งภิกษุเฒ่าทำสมาธิ
ด้านพวกผู้อาวุโสชุดเขียวหลี่โผที่มาจากหอกระบี่ดาราเลิศกำลังสนทนาปรึกษาหารือกันเสียงค่อย
“ตอนนี้ข่าวทั้งหมดในแดนลับต้าอวี่แห่งนี้ถูกปิดไว้แล้ว เชื่อว่าในเวลาสั้นๆ จะไม่มีใครรู้เรื่องที่เกิดขึ้นที่นี่สักนิด”
หลี่โผ่เอ่ยเรื่อยเฉื่อย “ทุกท่านต่างก็รู้ว่าหากเจ้านี่คือหลินสวินจริง ตอนพวกเราชิงศุภโชคที่อยู่กับตัวเขา เกิดข่าวกระจายออกไปจะต้องชักนำเภทภัยที่ไม่อาจคาดคิดได้มาให้พวกเราแน่”
“ใช่แล้ว นี่ก็คือคนที่ครอบครองหยกมีความผิด วิธีการของสหายยุทธ์ชาญฉลาดนัก”
คนอื่นพากันพยักหน้า
พวกเขาก็กังวลว่าทันทีที่ข่าวรั่วไหล จะต้องถูกพวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่เร้นตัวในโลกบางคนล่วงรู้เข้า และมาเข้าร่วมช่วงชิงด้วยแน่นอน
“เผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่มีปฏิกิริยาอะไรไหม”
มีคนนิ่วหน้าถาม
“ยังไม่มีการปฏิกิริยาอะไร พวกเขาตระกูลอวี่ชาญฉลาดที่สุด หากกล้าปกป้องเจ้าหมอนี่ เกรงว่าขุมอำนาจใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังทุกท่านทั้งหมดจะมองตระกูลอวี่เป็นคู่ต่อสู้”
หลี่โผยิ้มขึ้นมา มั่นอกมั่นใจนัก
ก็ในตอนนี้เอง พลังผนึกที่ปกคลุมไปทั้งตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ที่อยู่ไกลออกไปพลันเกิดคลื่นราววงน้ำระลอกหนึ่ง
แม้การเคลื่อนไหวจะน้อยนิด แต่กลับถูกพวกหลี่โผจับได้ทันที
ขวับ!
ด้านเฟิงหรูเสวี่ยที่นั่งขัดสมาธิกลางอากาศโดยมีกระบี่วางนอนอยู่หน้าตักก็ลืมตาขึ้น
ในครรลองสายตาของพวกเขา เงาร่างสูงโปร่งร่างหนึ่งมือไพล่หลัง เดินออกมาจากตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่ทีละก้าว
“ออกมาแล้ว!”
“เฮอะ ในที่สุดก็ทนไม่ไหวแล้วหรือ…”
“พลังผนึกของตำหนักเทพจักรพรรดิอวี่แห่งนี้ เมื่อเสียการค้ำจุนจากพลังที่มีอยู่ในเทือกเขาเก้ากระถาง ใช้เวลาไม่นานเท่าไรก็จะสลายไปเอง เขาฉลาดนัก รู้ว่าเตะถ่วงต่อไปก็จะเป็นทางตัน”
ชั่วขณะเดียวทั้งที่นั้นก็เร่าร้อน สายตาของเหล่าคนใหญ่คนโตระดับราชันอริยะดั่งสายฟ้า พากันจับจ้องหลินสวินผู้เดียว ภายในใจหมายจะเคลื่อนไหวเต็มแก่
ในสายตาพวกเขา หลินสวินก็คือมหาศุภโชคที่น่าเย้ายวนหาใดเทียบอย่างหนึ่ง!
ด้านพวกชื่อหลิงจื่อ สุ่ยปี้อวิ๋นยิ่งกระปรี้กระเปร่า แต่ละคนตื่นเต้นขึ้นมา เจ้าเวรนี่โผล่หัวมาได้สักที
“หลินสวิน เจ้าออกมาจนได้!”
หลี่โผเอ่ยเสียงเข้ม เสียงดั่งสายฟ้าฟาดสะท้านไปทั่วทิศ
“หลินสวินหรือ”
หลินสวินชำเลืองมองทุกคนที่อยู่ไกลออกไป “เหอะๆ ที่แท้ก็เพราะสงสัยในตัวตนของข้า มองข้าเป็นสมบัติ คิดจะมาแย่งไป มิน่าเล่าถึงรวมคนมามากมายขนาดนี้”
หลี่โผนิ่วหน้า สาเหตุที่จู่ๆ เขาเรียกชื่อ ‘หลินสวิน’ ออกมา ก็เพราะต้องการให้อีกฝ่ายไม่ทันตั้งตัว เพื่อจะได้ดูปฏิกิริยาโต้ตอบของเขา
แต่คิดไม่ถึงว่าเจ้าหมอนี่ดันสุขุมเยือกเย็นเช่นนี้
“เจ้าคนแซ่หลิน! ความตายมาเยือนแล้ว ยังดูสถานการณ์ไม่ออกหรือ”
ชื่อหลิงจื่อตะคอกอย่างอดไม่ได้
ตาดำหลินสวินลุ่มลึก เอ่ยเสียงเรียบ “ข้ารู้แค่ว่าที่พวกเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ยังต้องขอบคุณข้าคนแซ่หลินที่ปรานีไม่ฆ่าคน แต่ดูท่าพวกเจ้าเหมือนไม่รับน้ำใจ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คราวนี้จะส่งพวกเจ้าไปตายด้วยกันเลย”
“เจ้า…”
พวกชื่อหลิงจื่อ สุ่ยปี้อวิ๋นล้วนโกรธจนหัวเราะ เหมือนได้ยินเรื่องน่าขันที่สุดในโลก นี่มันเวลาไหนกันแล้ว เจ้าหมอนี่ยังมาขู่พวกเขาอีกหรือนี่
ประกายน่าหวาดหวั่นถาโถมในดวงตาหลี่โผ เอ่ยสีหน้าน่าเกรงขามว่า “เจ้าหนุ่ม ข้าขอถามเจ้าเพียงว่า เจ้าชื่อหลินสวินใช่หรือไม่!”
แต่ละคำดั่งสายฟ้าฟาด พุ่งตรงไปถึงใจคน
“ใช่แล้วอย่างไร ไม่ใช่แล้วอย่างไร”
หลินสวินยกยิ้มเย็นเยียบ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคนแซ่หลินก็ถามสักคำ ใครในพวกเจ้าจะมาตายก่อน”
“บังอาจ!”
ชายชราอ้วนเตี้ยชุดเหลืองผู้หนึ่งตะคอกลั่น ยื่นมือจะตบเข้าไปกลางอากาศ
ตูม!
ฝ่ามือยักษ์สีทองใหญ่ยักษ์คล้ายภูเขาข้างหนึ่ง กฎเกณฑ์เกี่ยวประสาน ปล่อยพลังเขตแดนปานภูผาออกมา
ราชันอริยะลงมือ จะธรรมดาได้หรือ
อีกทั้งผู้แข็งแกร่งที่อยู่ตรงนั้นเหล่านี้ ไม่มีคนธรรมดาสักคน หากไม่เป็นสัตว์ประหลาดเฒ่าที่คร่ำหวอดในระดับนี้มาไม่รู้กี่ปี พลังปราณมากมายจนสมบูรณ์ไปนานแล้ว ก็เป็นราชันอริยะที่เหยียบย่างขอบเขตมกุฎ พลังต่อสู้กับอานุภาพยิ่งน่ากลัว
อย่างการลงมือของชายชราชุดเหลืองอ้วนเตี้ยผู้นี้ แค่โจมตีลวกๆ ครั้งเดียวยังมีมหาพลานุภาพที่กดข่มฟ้าดิน กำราบสรรพวิญญาณไว้ในฝ่ามือได้
เพียงแต่หลินสวินกลับไม่มองด้วยซ้ำ มือซ้ายไพล่หลัง มือขวาดีดออกไปเบาๆ
ฝ่ามือยักษ์สีเหลืองที่ลงมาจากฟ้าเหมือนลูกหนังที่ถูกเจาะให้แตก ชั่วพริบตาก็ระเบิดกระจุยเสียงดังสนั่น
สวบ!
ในขณะเดียวกันเงาร่างหลินสวินหายลับไปกลางอากาศ ครู่ต่อมาก็ปรากฏตัวหน้าชายชราชุดเหลืองอ้วนเตี้ยผู้นั้น ฝ่ามือหนึ่งกดลงไป
ฝ่ามือเรียวยาวขาวสะอาดและเปล่งปลั่ง ไม่เจือโลกีย์แม้สักนิด
แต่พอฝ่ามือนี้ตบลงไป กลับทำให้ชายชราชุดเหลืองอ้วนเตี้ยผู้นั้นแข็งทื่อไปทั้งตัว เบื้องหน้าเหมือนถูกม่านฟ้าบดบัง แทบจะหายใจไม่ออก
“ปล่อย!”
เขาแทบจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง คำรามดาลเดือดแกว่งหมัด แขนเสื้อสั่นไหว พลังหมัดปะทุควบรวมเป็นพลังเขตแดนมรรค เข้าปะทะอย่างจัง
ปัง!
ฝ่ามือกับหมัดปะทะกัน ก็เห็นว่าพลังหมัดของชายชราชุดเหลืองอ้วนเตี้ยผู้นั้นถูกบดขยี้เหมือนเศษกระดาษ แขนเสื้อขาดวิ่น ปลิวกระเจิงเหมือนผีเสื้อ
ส่วนหมัด ข้อมือ กระทั่งแขนทั้งท่อนของเขาล้วนระเบิดกระจุยไปหมด เลือดเนื้อสาดกระเซ็น
ฝนเลือดปะทุออก
ประหนึ่งมีดอกไม้ไฟสีเลือดดอกหนึ่งบานสะพรั่งกลางอากาศ แดงสด ร้อนผ่าว และงดงามน่าเจ็บปวด
——