Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1856 สายตาที่ลอบสอดแนม
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1856 สายตาที่ลอบสอดแนม
หน้าเรือนสีดำ ร่มโลหิตเหมือนฝาปิด ใต้ร่มชุดเขียวทรงสง่า เส้นผมดุจสีหมึกพลิ้วไหว
“การชดเชยจำเป็นต้องชดใช้ สมบัติที่คุณชายจะขายก่อนหน้านี้ เรือนเร้นหมอกของข้าจะรับไว้ด้วยราคาตลาดของโลกภายนอกทั้งหมด”
เสียงของหญิงที่เรียกตัวเองว่าชิงอิงอ่อนหวานดึงดูด นางพูดพลางพลิกมือที่ขาวกระจ่างดุจหิมะ ป้ายหยกสีม่วงป้ายหนึ่งปรากฏออกมา
“ทั้งภายหน้าขอเพียงคุณชายถือของสิ่งนี้มา ยามค้าขายกับเรือนเร้นหมอกของข้า สมบัติทั้งหมดจะยึดตามราคาตลาดเก้าส่วน”
ฟุ่บ!
ป้ายหยกสีม่วงกลายเป็นแสงสายหนึ่ง แหวกอากาศมาปรากฏอยู่ข้างหน้าหลินสวิน
ป้ายหยกมีขนาดเท่าฝ่ามือ แวววาวสว่างกระจ่าง ด้านบนมีหมอกเมฆสีม่วงอบอวล แปลงเป็นคำว่าเร้นหมอกสองคำ
หลินสวินใคร่ครวญเล็กน้อยก็รับของสิ่งนี้มาพลางกล่าว “ขอบคุณมาก”
จากนั้นหลินสวินก็ลาจากไป
ชิงอิงไม่ปฏิเสธ มองส่งเงาร่างเขาจนค่อยๆ หายไป
ใต้ร่มโลหิตที่แดงสดดุจอัคคี บนใบหน้าที่มองเห็นเป็นระยะๆ เผยแววใคร่ครวญวูบหนึ่ง
ชายชราที่เหมือนคนแคระปรากฏตัวโดยไร้สุ้มเสียง กล่าวอย่างนอบน้อม “คุณหนู”
“คุณชายคนนั้นจากไปแล้วหรือ”
“ขอรับ”
“ฮูหยินเยี่ยนล่ะ”
“คุณหนูโปรดชี้แนะ”
“จุดจบของคนที่ไม่ทำตามกฎ เจ้าไม่เข้าใจหรือ”
ชายชราแคระเหงื่อออกเต็มหน้าทันที “ผู้น้อยเข้าใจแล้ว”
ชิงอิงหันหลังกลับ ชุดกระโปรงเขียวพลิ้วไหว นางถือร่มโลหิตเดินเข้าไปในเรือนสีดำนั่น
“ภายในหนึ่งเค่อ ข้าต้องการข้อมูลทั้งหมดของคุณชายคนนั้น”
เสียงที่อ่อนหวานก้องอยู่กลางอากาศ แต่ตัวนางได้หายไปแล้ว
ชายชราแคระเหมือนยกภูเขาออกจากอก เช็ดเหงื่อที่ซึมเต็มหน้าผาก
ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลเรือนเร้นหมอกแห่งเมืองหลินอัน ชายชราแคระก็เหมือนนายเหนือหัวของตลาดมืดใต้ดินแห่งนี้ สามารถเข่นฆ่าได้ตามใจ มีอำนาจล้นฟ้า
บุคคลระดับมหาอริยะทั่วไปล้วนไม่ถูกเขาเห็นอยู่ในสายตา!
แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าชิงอิง เขากลับดูต่ำต้อยและถ่อมตนเช่นนั้น ไม่กล้าไม่เคารพใดๆ อย่างสิ้นเชิง
ก็มีแค่เขาที่รู้ดีที่สุด ว่าสถานะของคุณหนูชิงอิงในเรือนเร้นหมอกโดดเด่นและสูงส่งระดับใด!
‘ฮูหยินเยี่ยน อย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจเลย ข้าแค่ทำตามคำสั่ง…’
ชายชราแคระทอดถอนใจ หันหลังจากไป
ไม่ถึงหนึ่งเค่อ
ชายชราแคระปรากฏตัวอยู่หน้าเรือนสีดำอีกครั้ง
“คุณหนู สืบข่าวได้แล้วขอรับ”
เขากล่าวด้วยความเคารพ
ประตูใหญ่ของเรือนเปิดออกโดยไร้สุ้มเสียง ในเรือนใหญ่หมอกควันอบอวล เงาร่างทรงสง่าสีเขียวร่างหนึ่งนั่งสันโดษอยู่ในนั้น ร่มโลหิตคันนั้นลอยบนห้วงอากาศเหนือกายนางอย่างเงียบเชียบไร้สุ้มเสียง
“คนผู้นี้ชื่อว่าอวี่เสวียน เมื่อวานนั่ง ‘ยานลมกรด’ ของหอเสียงสวรรค์แห่งเขตแดนดาราจื่อเหิงมาถึงเมืองหลินอัน ผู้น้อยจับตัวผู้โดยสารที่อยู่บนยานลมกรดได้คนหนึ่ง เมื่อไต่สวนสักพักก็พบสิ่งน่าสงสัยบางส่วน”
ชายชราแคระพูดพลางหยิบม้วนหยกม้วนหนึ่งออกมา โค้งตัวส่งมอบให้
ในม้วนหยกบันทึกเรื่องทุกอย่างของหลินสวิน ตั้งแต่ขึ้นยานลมกรดจนถึงเรื่องที่ทำทั้งหมดในภายหลังอย่างละเอียด
เช่นการทำหน้าที่เป็นผู้คุ้มกันของหลิ่วชิงเยียน สังหารผู้แข็งแกร่งมากมายของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ถูกพวกอู้หมิงผู้ทรงฌานหลุดพ้นแห่งแดนกษิติครรภ์จับจ้อง กำราบทายาทตระกูลจินเทียน…
อ่านถึงตรงนี้นัยน์ตาของชิงอิงก็อดฉายแววอัศจรรย์ไม่ได้ คล้ายเดาอะไรได้รางๆ
เมื่ออ่านต่อไปก็ทำให้นางอึ้งงันเล็กน้อย
คืนนั้นพวกอู้หมิงแห่งแดนกษิติครรภ์และจินเทียนเสวียนเยวี่ยลงมือพร้อมกัน หลังจากถูกอวี่เสวียนตีพ่ายทีละคน จักรพรรดิกระบี่วายุก็ลงมือด้วยตัวเอง…
แต่ต่อมาอวี่เสวียนกลับไม่ตาย เป็นพวกอู้หมิงแห่งแดนกษิติครรภ์ที่หายไปแทน ท่าทีของจักรพรรดิกระบี่วายุดูคุ้มครองอวี่เสวียน ทั้งยังให้จินเทียนเสวียนเยวี่ยเป็นผู้ติดตามข้างกายของอวี่เสวียนด้วย!
ทุกอย่างล้วนดูผิดปกติถึงเพียงนั้น
‘คืนนั้นเกิดอะไรขึ้นกันแน่’
ชิงอิงจมสู่ภวังค์ความคิด
ครู่ใหญ่นางจึงเอ่ยถาม “ยังมีข่าวอื่นอีกไหม”
ชายชราแคระรีบร้อนกล่าว “ได้ยินว่าข่งอวี้ของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์พาคนบุกขึ้นยานลมกรด และถูกจักรพรรดิกระบี่วายุกำราบด้วยตัวเอง…”
“ข่งอวี้นี่ช่างโง่ยิ่งนัก มหาจักพรรดิมรรคกระบี่ที่มีชื่อเสียงมาสามหมื่นปีคนหนึ่ง มีหรือจะหวาดกลัวความเป็นมาของเขา”
น้ำเสียงของชิงอิงเผยแววดูถูก
จากนั้นนางก็พูดว่า “ผู้เฒ่าเฮ่อ เจ้าคิดว่าบนทางเดินโบราณฟ้าดารานี้ ใครกล้าฆ่าพวกเขาโดยไม่เกรงใจสักนิด ภายใต้สถานการณ์ที่รู้ชัดว่าเป็นผู้สืบทอดของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์บ้าง”
ชายชราแคระอึ้งค้างไป
ไม่รอให้ตอบ ชิงอิงก็กล่าวด้วยตนเอง “เมื่อนานมาแล้วอาจจะมี แต่ในช่วงแสนปีนี้นอกจากพวกอันตรายที่ไม่เสียดายชีวิตแห่งโลกมืดพวกนั้นแล้ว ก็แทบไม่มีใครกล้าทำเช่นนี้”
ชายชราแคระรู้สึกแบบเดียวกัน
เรือนมรรคดึกดำบรรพ์ แค่ชื่ออย่างเดียวก็ทำให้ทั่วหล้าหวั่นหวาดได้ ผู้สืบทอดที่มาจากสำนักนี้ เดินไปที่ไหนย่อมถูกคนปฏิบัติด้วยความเคารพนับถือถึงที่สุดไม่ใช่หรือ
เสียงที่อ่อนหวานของชิงอิงเจือความดึงดูดเฉพาะตัว “แต่เมื่อหกปีก่อน ในแหล่งสถานคุนหลุนกลับมีคนทำเช่นนี้แล้ว ทั้งคนที่ฆ่ายังไม่ใช่แค่ผู้สืบทอดของเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ในหกเรือนมรรคใหญ่และสิบเผ่านักรบใหญ่ ไม่รู้มีผู้สืบทอดที่ล้มตายในมือคนผู้นี้กี่คน”
“หลินสวิน!” ชายชราแคระแทบจะพูดโดยไม่ต้องคิด
“ไม่ผิด เป็นเขานั่นแหละ”
ชิงอิงกล่าว “ผู้เฒ่าเฮ่อ เจ้าไม่คิดว่าอวี่เสวียนนี่มีรูปแบบการกระทำที่คล้ายกับหลินสวินอยู่บ้างหรือ”
ชายชราแคระสูดหายใจเย็นเยียบ “คุณหนู ท่านสงสัยว่าคนเมื่อครู่นั้นก็คือหลินสวินหรือ”
“บนโลกนี้หลินสวินที่ตีฝ่าวงล้อมอย่างไม่เกรงกลัวฟ้าดิน ทำให้ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดาราต่างรู้สึกตระหนก คนแบบนี้บนโลกยังจะมีคนที่สองปรากฏตัวได้อีกหรือ”
เสียงของชิงอิงแผ่วเบา “บางทีอาจปรากฏตัวอีก แต่… ไม่มีทางเป็นผู้แข็งแกร่งของเผ่าจักรพรรดิตระกูลอวี่อย่างแน่นอน”
นัยน์ตาของผู้เฒ่าเฮ่อดูแปลกออกไป “คุณหนู ลือกันว่าในมือของหลินสวินนี่ยึดกุมศุภโชคในการบรรลุจักรพรรดิกลายเป็นบรรพจารย์อย่างหนึ่งไว้ หรือไม่พวกเรา…”
“ไม่”
ชิงอิงกล่าวตัดบท “นี่เป็นแค่การคาดเดาบางส่วนของข้า ก่อนหน้านี้ข้าเคยใช้วิชาลับสำรวจอวี่เสวียนนี่ สังเกตเห็นว่าแม้เขาจะผ่านการพรางตัวมาก่อน แต่รูปร่างที่แท้จริงกลับไม่ใช่หลินสวิน เรื่องนี้ต้องมีความลับอื่นอีกแน่”
ผู้เฒ่าเฮ่ออึ้งไปแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูมีแผนการอะไรหรือไม่”
“คอยสังเกตการณ์อยู่เงียบๆ ก็พอ”
ชิงอิงพูดเรียบๆ “จำไว้ หากไม่มีคำสั่งของข้า ห้ามแพร่งพรายเรื่องในวันนี้ออกไป”
ผู้เฒ่าเฮ่อใจสะท้าน รีบร้อนตกปากรับคำ
‘อวี่เสวียน…’
ชิงอิงพึมพำในใจ ‘คิดไม่ถึงว่าการมาเมืองหลินอันครั้งนี้จะทำให้ข้าได้พบบุคคลปริศนาอย่างเจ้า ภายภาคหน้าขอแค่เจ้ายังทำการค้ากับเรือนเร้นหมอก พวกเราต้องมีวันที่ได้เจอกันอีกแน่…’
…
หลังออกจากตลาดมืดใต้ดิน
หลินสวินมุ่งตรงไปยังโรงเตี๊ยมที่พัก
บนตัวเขาตอนนี้มีเงินเพิ่มมาสองพันสี่ล้านผลึกมรรค กำไรมากกว่าที่เขาคาดเดาไว้เป็นจำนวนประมาณหกล้าน
หลินสวินรู้ดีว่านี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘การชดเชย’ ที่ชิงอิงนั่นพูดถึง
พอนึกถึงหญิงที่ลึกลับ แปลกประหลาดและน่าตกตะลึงคนนี้ ในหัวของหลินสวินก็ปรากฏร่มโลหิตและชุดกระโปรงเขียวขึ้นมา
จากนั้นหลินสวินก็ส่ายหัว
รอหลังงานประมูลสิ้นสุด เขาก็จะออกจากเมืองหลินอันทันที จากนี้ไปคงไม่มีโอกาสได้เจออีกฝ่ายเท่าไหร่
“หืม?”
พอมาถึงหน้าประตูทางเข้าโรงเตี๊ยม หลินสวินก็ชะงักฝีเท้าทันที
ในจิตรับรู้จับสายตาสองคู่ที่กำลังลอบสอดแนมตนได้ในพริบตา
คนหนึ่งเป็นชายในชุดผ้าไหม กำลังยืนเลือกของอยู่หน้าแผงแห่งหนึ่ง อีกคนอยู่นอกระยะหลายร้อยจั้ง เป็นหญิงคนหนึ่งที่แต่งกายเรียบง่าย ปิ่นไม้หยาบเสื้อผ้าธรรมดา กำลังดื่มชาอยู่ในโรงน้ำชาแห่งหนึ่ง
หลินสวินไม่ได้หยุด ก้าวเข้าไปในโรงเตี๊ยมอย่างไม่สะทกสะท้าน
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกำลังต้มชาในห้อง นิ้วทั้งสิบเล็กบางขาวกระจ่าง การเคลื่อนไหวลื่นไหลราวสายน้ำหลาก ชื่นตาเบิกบานใจ
“เสวียนเยวี่ย เหมือนว่าข้าจะถูกคนจับจ้องแล้ว”
หลินสวินเดินเข้ามาในห้องแล้วนั่งลงข้างๆ หยิบถ้วยชาบนโต๊ะขึ้นมาดื่มอึกหนึ่ง
“หืม?”
บนใบหน้างามที่ขาวกระจ่างของจินเทียนเสวียนเยวี่ยมีเลือดฝาดไหลวน ขนตาละเอียดที่เหมือนใบพัดเล็กๆ ไหวสั่นเล็กน้อย
“เจ้าเป็นอะไรไป”
หลินสวินชะงัก นี่มันการตอบสนองอะไร
จินเทียนเสวียนเยวี่ยชี้ไปที่ถ้วยชาในมือหลินสวิน “คุณชาย ชาถ้วยนี้ข้าเพิ่งดื่มไปเมื่อครู่”
ร่างกายของหลินสวินพลันแข็งทื่อ สีหน้าก็อักอ่วนไปพักหนึ่งก่อนกล่าว “นี่… ข้าไม่ได้สังเกต เจ้าอย่าได้ใส่ใจ”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยขานรับว่าอืมคำหนึ่ง กล่าวเปลี่ยนประเด็นสนทนา “คุณชายเมื่อครู่ท่านบอกว่าพวกเราถูกจับจ้องแล้วหรือ”
หลินสวินพยักหน้า มุ่นคิ้วกล่าว “ไม่ผิด พวกเราเพิ่งมาถึงเมืองหลินอัน ทั้งไม่เคยหาเรื่องใครมาก่อน แต่กลับมีคนแอบสะกดรอยยามข้ากลับมา นี่ก็คือจุดที่แปลก”
“ให้ข้าไปตรวจสอบดูไหม”
สีหน้าของจินเทียนเสวียนเยวี่ยก็เปลี่ยนเป็นจริงจังขึ้นมา
“อย่าเพิ่งแหวกหญ้าให้งูตื่น”
หลินสวินกล่าวเสียงขรึม “รอเมื่องานประมูลสิ้นสุด พวกเราจะจากไป ถึงตอนนั้นค่อยดูว่าพวกเขาจะมีการเคลื่อนไหวหรือไม่”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยพยักหน้า
…
ขณะเดียวกันที่ตระกูลสิง
ในฐานะที่เป็นขุมอำนาจใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองหลินอัน ตระกูลสิงครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่ประดุจถ้ำสวรรค์แดนมงคลเล็กๆ แห่งหนึ่ง ภายในนั้นมีภูเขาจำลองสายน้ำไหล มีทั้งศาลาและตึกหอ ทุกหนแห่งเป็นบรรยากาศของแดนเซียนอย่างชัดเจน
“หากเรื่องในครั้งนี้ทำสำเร็จ ภายหน้าข้าข่งอวี้รับรองว่าจะไม่ปฏิบัติต่อพวกเจ้าอย่างอยุติธรรม”
ในเรือนใหญ่หลังหนึ่ง ข่งอวี้นั่งอยู่ตรงที่นั่งหลักอย่างอาจหาญ สีหน้าเต็มไปด้วยความหยิ่งผยอง
รอบโถงใหญ่มีคนใหญ่คนโตของตระกูลสิงนั่งเต็มอยู่แล้ว มีทั้งชายและหญิง คนที่พลังอ่อนแอที่สุดล้วนมีพลังปราณระดับอริยะแท้
“คุณชายโปรดวางใจ ในเมืองหลินอันนี้ยังไม่เคยมีเรื่องใดที่ตระกูลสิงของพวกเราทำไม่ได้”
ชายที่สวมชุดคลุมม่วง หน้าตาน่าเกรงขามคนหนึ่งกล่าวอย่างนอบน้อม
เขาก็คือสิงหลิวสุ่ยผู้นำตระกูลสิง มกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง ทั้งเป็นผู้อาวุโสคนหนึ่งในสำนักกระบี่เมฆาม่วงที่จัดอยู่ในอันดับสามของแคว้นเขียว มีอำนาจล้นฟ้า
ทั้งแคว้นเขียวก็นับได้ว่าเป็นคนใหญ่คนโตผู้หนึ่ง
แต่ตอนนี้เมื่อเผชิญหน้ากับข่งอวี้ เขากลับดูนอบน้อมเป็นอย่างยิ่ง
“หากพึ่งพาแค่กำลังพลตระกูลสิงของพวกเจ้า เกรงว่าคงเอาชนะอวี่เสวียนนั่นไม่ได้”
ข่งอวี้กล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก “เพียงแต่พวกเจ้าก็วางใจได้ รอเมื่อลงมือจริงๆ ทางฝั่งข้าจะลงมือพร้อมกัน”
สิงหลิวสุ่ยประสานมือกล่าว “ทั้งหมดแล้วแต่คุณชายจะสั่งความ”
ข่งอวี้กล่าวอืมออกมาคำหนึ่ง พอใจในท่าทีของสิงหลิวสุ่ยมาก
“เจ้าอวี่เสวียนนี่ต้องไม่หยุดพักอยู่ที่เมืองหลินอันนานเกินไปแน่ วันที่เขาจากไปก็คือเวลาที่พวกเราจะลงมือ”
ข่งอวี้ตัดสินใจ “ก่อนหน้านั้นตระกูลสิงของพวกเจ้าจะต้องจับตาดูคนผู้นี้ให้ดี หากกล้าทำให้คุณชายอย่างข้าคนนี้เสียงานใหญ่… หึๆ เช่นนั้นก็อย่าหาว่าคุณชายอย่างข้าไม่ไว้หน้าใคร!”
พูดจบเขาก็ลุกขึ้นจากไปอย่างผ่าเผย
ตั้งแต่ต้นจนจบสิงหลิวสุ่ยและคนใหญ่คนโตทั้งหมดต่างมีท่าทีเชื่อฟังตามคำสั่ง ต่อให้ถูกข่งอวี้ข่มขู่โดยไม่เกรงใจสักนิดก็ไม่กล้าไม่พอใจแม้เพียงเสี้ยว
เหตุผลนั้นง่ายมาก สิ่งที่อยู่เบื้องหลังข่งอวี้คือเรือนมรรคดึกดำบรรพ์ ยักษ์ใหญ่ที่สามารถกำจัดทั้งตระกูลสิงให้สิ้นซากได้ในชั่วดีดนิ้ว!
สามวันต่อมา เมืองหลินอัน หอสมบัติทุ่งบูรพา
‘งานประมูล’ ที่ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนเฝ้ารอได้เปิดม่านตามกำหนด
………………………….