Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 1880 โลกมายาหุ่นกระบอก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 1880 โลกมายาหุ่นกระบอก
ในลานแสดงมรรคหลิงเฟิง ทุกคนต่างหยุดทุกการเคลื่อนไหว นั่งตัวตรงจัดอาภรณ์ สายตาพากันมองไปที่แห่งหนึ่ง
ณ ห้วงอากาศกลางลานแสดงมรรค ชายชราชุดแดงทั้งตัวผมขาวดุจหิมะยืนอยู่กลางอากาศ
เถาซงถิง!
ผู้อาวุโสระดับกึ่งจักรพรรดิในสำนักยุทธ์ว่างเปล่า สำนักอันดับหนึ่งแห่งแคว้นเมฆา
ในขณะเดียวกัน เขาก็เป็นผู้ควบคุมการคัดเลือกรอบแรกในลานแสดงมรรคหลิงเฟิงครั้งนี้
พอเสียงระฆังเงียบลง ผู้อาวุโสชุดแดงเถาซงถิงจึงเอ่ยปากเรียบๆ “วันนี้เป็นวันที่การคัดเลือกรอบแรกของศึกถกมรรคแคว้นเมฆาของพวกเราเปิดฉากขึ้น”
“กติกาการคัดเลือกเรียบง่ายนัก จะมีการประลองแลกเปลี่ยนหนึ่งต่อหนึ่งพร้อมกันในสังเวียนทั้งสิบแปดสังเวียน ณ ที่แห่งนี้ ไม่ว่าใครต่างก็ช่วงชิงโอกาสเป็นเจ้าสังเวียนได้”
“ขอเพียงสามารถสู้ต่อเนื่อง ทนสู้บนสังเวียนได้สิบครั้งโดยไม่พ่ายแพ้ ก็เท่ากับมีคุณสมบัติเข้าสู่การคัดเลือกรอบสอง”
“จำไว้ บนสังเวียนเพียงชี้แพ้ชนะ ไม่ชี้เป็นชี้ตาย ผู้ที่ฝ่าฝืน ไม่เพียงจะถูกยกเลิกสิทธิ์ ยังจะถูกลงโทษอย่างไร้ปรานี!”
เสียงพูดดุจสายฟ้าฟาด สั่นไหวไปทั้งลานแสดงมรรค
สู้ต่อเนื่องสิบยก!
และต้องชนะติดต่อกันสิบครั้งจึงมีสิทธ์เข้าคัดเลือกรอบสอง!
เมื่อได้ยินกติกาคัดเลือกอันเข้มงวดเช่นนี้ หลายคนก็สูดหายใจสะท้าน
ควรรู้ว่านี่เป็นถึงการชิงความเป็นหนึ่งในระดับเดียวกัน ผู้แข็งแกร่งที่กล้ามาเข้าร่วมจะยังไม่สู้สุดตัวเพื่อคว้าชัยหรือ
ว่ากันตามตรง ในสายตามกุฎราชันอริยะ ราชันอริยะทั่วไปก็ไม่ควรค่าให้มองอยู่แล้ว
แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ได้รับชัยชนะอาจไม่ถึงกับเป็นเรื่องยาก แต่ต้องสู้ต่อเนื่องสิบยก และชนะต่อเนื่องสิบครั้ง ย่อมยากถึงที่สุด!
หนำซ้ำระหว่างพวกชั้นยอดบางส่วน ถ้าเกิดไม่ถูกกัน ท้าสู้กันเองกับอีกฝ่าย คิดจะชนะสิบครั้งรวดก็ยิ่งไม่ง่ายแล้ว
นี่ไม่ได้กล่าวเกินจริง อย่างฉู่ชิวผู้สืบทอดเขาเทพประกายฟ้ากับกู่เจี้ยนสิงนายน้อยเผ่าขุมทมิฬ ตั้งแต่วันแรกที่มาถึงเมืองหลิงเฟิงก็ตึงเครียดใส่กันแล้ว
เพียงคิดก็รู้ว่าในการคัดเลือกถกมักต่อๆ ไป เป็นไปได้สูงที่ทั้งสองจะสู้กัน!
พอได้ยินกติกาการคัดเลือก เหล่าผู้เข้าร่วมที่รออยู่ในบริเวณรอบๆ ก็สีหน้าต่างกันไป
บ้างไม่เห็นด้วย บ้างเผยสีหน้าสงสัย บ้างตกอยู่ในภวังค์ความคิด บ้างเผยสีหน้าเศร้าสร้อย…
หลินสวินกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองมากนัก
ตั้งแต่ต้นจนจบ เขามีท่าทีว่าเป็นเรื่องของผู้อื่น ไม่เกี่ยวกับข้า จิตใจปลอดโปร่งสงบนิ่ง
สำหรับเขาแล้ว ถ้าไม่ปิดบังตัวตน เดิมทีก็มีโอกาสเข้าคัดเลือกรอบที่สองได้เลย
เช่นเดียวกัน เขาไม่ได้ดูเบาคนอื่น แต่บ่มเพาะความเชื่อว่าไร้ศัตรูมานานแล้ว!
‘แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ได้โอกาสเห็นเขตแดนมรรคเพิ่มขึ้นหน่อย ใช้สิ่งนี้มาหลอมมรรควิถี ขัดเกลาตนเองให้สมบูรณ์…’
ยามนี้สภาวะจิตของหลินสวินเกิดการเปลี่ยนแปลงไปแล้ว มองการคัดเลือกถกมรรคนี้เป็นการฝึกปราณอย่างหนึ่ง
เป้าหมายก็เพื่อขัดเกลาเขตแดนมรรคของตนให้สมบูรณ์ได้มากที่สุด!
“ตอนนี้ การคัดเลือกเริ่มขึ้นแล้ว!”
เสียงของเถาซงถิงดังขึ้นในที่แห่งนั้น
เสียงยังไม่ทันเงียบไป
สวบ!
เงาร่างตระการตาร่างหนึ่งก็ฉายวาบกลางอากาศ เคลื่อนขึ้นไปบนสังเวียนหนึ่งและเอ่ยปากเฉื่อยชาว่า “ข้าฉู่ชิวอยู่ที่นี่ สหายยุทธ์คนไหนต้องการมาท้าสู้กับข้าเป็นคนแรก”
ผมเงินของเขาปลิวสยาย ชุดเงินไหวกระพือ เงาร่างดุจทวน พลานุภาพโอหัง ทันทีที่ปรากฏตัวก็ก่อให้เกิดความเกรียวกราวไม่น้อย
ฉู่ชิวแห่งเขาเทพประกายฟ้า คนผู้นี้เป็นถึงมกุฎราชันอริยะขั้นสมบูรณ์คนหนึ่ง มีกิตติศัพท์เลื่องชื่อระบือนามมานานแล้ว
และมีสายตาบางคู่มองไปที่กู่เจี้ยนสิง นายน้อยของเผ่าขุมทมิฬ
เพราะใครก็รู้ว่าทันทีที่กู่เจี้ยนสิงมาถึง ก็ได้ท้าสู้ฉู่ชิว!
แต่ที่เหนือความคาดหมายของทุกคนก็คือ กู่เจี้ยนสิงซึ่งอยู่ในชุดเขียว กลิ่นอายดุดันหาใดเทียบกลับไม่ท้าสู้ แต่ขยับตัวไปยึดสังเวียนอีกสังเวียนหนึ่ง
“ฉู่ชิว รอเจ้าชนะสิบครั้งรวด ข้าจะรอเจ้ามาท้าข้าสู้ก็ได้”
กู่เจี้ยนสิงเอ่ยปากอย่างเย็นชา
“อ้อ เช่นนั้นก็หวังว่าเจ้าอย่าถูกคนอื่นล้มเป็นดีที่สุด”
ฉู่ชิวตอบโต้อย่างสมน้ำสมเนื้อ
เห็นดังนี้หลายคนต่างทอดถอนใจ คนฉลาดนี่นะ รู้ว่าการคัดเลือกรอบแรกนี้เป็นความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ไม่อาจใช้อารมณ์กระทำการได้
สังเวียนมีเพียงสิบแปดแห่ง ใช้เวลาแทบจะในพริบตาก็ถูกยึดครองเอาไว้
ที่ออกโรงมีทั้งผู้เยี่ยมยอดรุ่นเยาว์อย่างฉู่ชิว กู่เจี้ยนสิง และพวกร้ายกาจทะเยอทะยานกับผู้เก่งกาจรุ่นอาวุโส
“เฉียนคงเอ๋อร์ ข้ามาสู้กับเจ้าสักตั้ง!”
“เหอะๆ น่าสนใจ ตาสีตาสายังกล้ากระโดดออกมาชิงสังเวียนเป็นคนแรกเสียแล้วหรือ ไสหัวไป!”
“สหาย กระโดดออกมาเป็นคนแรกก็ใช่ว่าจะรักษาสังเวียนได้เสมอไป”
……
ชั่วขณะเดียวผู้แข็งแกร่งหลายคนในที่นั้นก็เคลื่อนออกมา แล้วไปท้าสู้ที่สังเวียนแต่ละแห่งนั้น แต่ละคนต่างท่าทีฮึกเหิม
บรรยากาศทั้งลานแสดงมรรคก็เดือดพล่านโดยสมบูรณ์เหมือนไฟลุก ทุกที่มีแต่เสียงร้องตะโกน เสียงส่งกำลังใจ เสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างตื่นเต้น
แม้แต่ฉู่ชิวและกู่เจี้ยนสิงยังได้พบคู่ต่อสู้
ในเขตเข้าร่วมต่อสู้มีผู้แข็งแกร่งระดับราชันอริยะนับพันรวมตัวกัน แต่สังเวียนมีเพียงสิบแปดแห่ง หนำซ้ำต่อให้พ่ายแพ้ก็มีโอกาสท้าสู้ได้อีก
นี่ก็ทำให้การแข่งขันดุเดือดหาใดเทียบ ควรรู้ว่าเวลาคัดเลือกมีเพียงสามวัน!
ภายในสามวัน ผู้แข็งแกร่งระดับราชันอริยะหลักพันทำได้เพียงประชันกันบนสังเวียน ถ้าไม่รีบเกรงว่าจะไม่มีโอกาสได้ขึ้นสังเวียนสักนิด
หลินสวินสังเกตการณ์ครู่หนึ่งก็ออกเคลื่อนไหว คว้าโอกาสทันที เลือกสังเวียนที่ถูกมกุฎราชันอริยะคนหนึ่งยึดครอง
คนผู้นี้เป็นชายหนุ่มชุดทองคนหนึ่ง มือถือทวนศึกสำริด อาจหาญข่มขวัญ ประกายสีฟ้าเข้มปรากฏขึ้นในดวงตาทั้งคู่
“จินตู๋อี มกุฎราชันอริยะขั้นกลาง ผู้ฝึกปราณอิสระ”
เมื่อได้เห็นหลินสวิน ชายหนุ่มชุดทองก็เอ่ยตื้นลึกหนาบางของหลินสวินออกมา มุมปากยกยิ้มเหี้ยมเกรียม “น้องชาย ขอเตือนให้เจ้ารามือเถอะ เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า”
เห็นได้ชัดว่าชายหนุ่มชุดเขียวคนนี้ได้ศึกษาข้อมูลของผู้แข็งแกร่งที่เข้าร่วมการแข่งขันทุกคน ดังนั้นมองปราดเดียวก็จำหลินสวินได้
“จินตู๋อีคนนี้บุ่มบ่ามไปแล้วจริงๆ เกรงว่าจะแพ้แน่”
ผู้ชมการต่อสู้บางคนในที่นั้นมองมา จำชายหนุ่มชุดทองได้ เขาก็คือตงหลิวซื่อ ผู้สืบทอดอันดับหนึ่งของสำนักนักรบเกราะทอง เป็นผู้แข็งแกร่งระดับมกุฎราชันอริยะขั้นกลางที่พลังต่อสู้โดดเด่นคนหนึ่ง ทั้งยังเป็นปฐมาจารย์กลไกที่เชี่ยวชาญเรื่องหุ่นกระบอกคนหนึ่ง
ศาสตร์กลไกก็เป็นมหามรรคชนิดหนึ่ง อาศัยหุ่นกระบอกมาเสาะแสวงมรรคาฟ้าดิน
ปฐมาจารย์กลไกที่แข็งแกร่งบางคนถึงกับหลอมหุ่นต่อสู้ที่เทียบเท่ากับระดับของตนได้ พลังต่อสู้แข็งแกร่งจนเหลือเชื่อ
ตงหลิวซื่อก็เป็นปฐมาจารย์กลไกผู้หนึ่ง เคยอาศัยพลังของหุ่นต่อสู้สิบแปดตัว สังหารคู่ต่อสู้ที่พลังปราณสูงกว่าเขาหนึ่งชั้นได้ทั้งอย่างนั้น!
“ฮ่าๆ ข้าได้ยินมาว่ามีหลายคนลงพนันกับตงหลิวซื่อ เชื่อว่าเขาต้องชนะสิบครั้งรวดได้แน่ จินตู๋อีคนนี้ไม่มีตาเลย ดันเลือกตงหลิวซื่อเป็นคู่ต่อสู้ ต้องจบเห่แน่”
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์เซ็งแซ่ หลินสวินก็จำตงหลิวซื่อได้ เขาเอ่ยเสียงเรียบว่า “เวลามีค่า ลงมือเลยเถอะ”
ตงหลิวซื่อถอนใจเบาๆ “ก็รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ยินยอมรับความพ่ายแพ้ ช่างเถิด ข้าจะสงเคราะห์เจ้าสักครั้ง ให้เจ้าแพ้อย่างสุดจิตสุดใจ”
เสียงพูดยังไม่ทันเงียบลง เสียงโครมระลอกหนึ่งก็ดังขึ้น หุ่นต่อสู้แปดตัวปรากฏขึ้นบนสังเวียน หุ่นต่อสู้แต่ละตัวล้วนมีรูปลักษณ์เหมือนนกปีศาจสัตว์เทพ สมจริงมีชีวิตชีวา เผยอานุภาพดุร้ายคับฟ้าออกมา
คนไม่น้อยในที่นั้นต่างตกตะลึง
“นี่ก็คือฝีมือของปฐมาจารย์กลไกหรือ ฝีมือเยี่ยมยอดดังคาดจริงๆ!”
“หุ่นต่อสู้แปดตัว แต่ละตัวมีพลังระดับมกุฎราชันอริยะทั้งนั้น นี่จะแข็งแกร่งไปแล้วกระมัง”
เสียงตกตะลึงระลอกหนึ่งดังขึ้นในที่นั้น
“สำนักนักรบเกราะทองกล้าทุ่มทุนจริงๆ ตามที่ข้ารู้มา หลอมหุ่นต่อสู้แต่ละตัวเป็นเรื่องยากยิ่งนัก มูลค่าวัตถุดิบเทพที่ต้องหมดเปลืองไปสูงกว่าสิบล้านผลึกมรรคทั้งนั้น”
บนที่นั่งผู้คุมการทดสอบ เถาซงถิงเอ่ยปาก “หุ่นต่อสู้เช่นนี้แปดตัว ก็เท่ากับเอาผลึกมรรคแปดสิบล้านก้อนมาต่อสู้ คิดว่าคงยากจะแพ้”
หงอวี่แห่งสำนักยุทธ์เสวียนจียิ้มแต่ไม่พูด
คิดจะใช้เงินเอาชนะจินตู๋อี เป็นไปได้หรือ
“ไป!”
บนสังเวียน ตงหลิวซื่อโพล่งออกมาหนึ่งคำ
หุ่นต่อสู้แปดตัวกระโจนออกไป แต่ละตัวมีแสงมรรคตระการตาไหวเคลื่อน ประหนึ่งสัตว์ร้ายไร้เทียมทานตัวเป็นๆ ปรากฏขึ้นตัวแล้วตัวเล่า
ตูม!
หุ่นต่อสู้นกปีศาจสีแดงเพลิงตัวหนึ่งกระพือปีก แสงมรรคเปลวเพลิงเต็มฟ้าหลั่งไหล มีอานุภาพเผาฟ้าผลาญทะเล
อีกด้านหนึ่งสัตว์ร้ายสีทองเจิดจ้าดั่งหลอมขึ้นจากทองคำก็ส่งเสียงคำราม คลื่นเสียงกระจายออกสะเทือนห้วงอากาศจนแหลก
นอกจากนี้ยังมีหมาป่าละโมบสีเงิน อสูรกลืนเมฆสีเขียว… ล้วนเคลื่อนไหวพร้อมกัน และต่างครอบครองวิชาลับต่อสู้อันเป็นเอกลักษณ์ อานุภาพน่าตกตะลึง
กำลังพลเช่นนั้น หลายคนเห็นแล้วก็ให้ใจสั่นไม่หยุด
จะใช้มรรคหุ่นกระบอกได้อย่างยอดเยี่ยม นี่เป็นเรื่องที่หายากยิ่งนัก
แล้วจินตู๋อีผู้นั้นจะต้านทานอย่างไร
ก็เห็นว่าหลินสวินสีหน้าไม่ทุกข์ไม่สุข เรียบเฉยไม่หวั่นไหว ก้าวออกไปข้างหน้า กรีดพลังดรรชนีเป็นสายๆ ในอากาศ
พลังดรรชนีแต่ละสายล้วนแผ่วบางเรียบง่าย ไม่มีกลิ่นอายโลกีย์สักนิด ดูไม่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง
หลายคนถึงกับแสดงสีหน้าผิดหวังออกมา
แต่ครู่ต่อมาภาพน่าตะลึงก็ปรากฏขึ้น
ปึง!
จู่ๆ นกปีศาจเพลิงที่พุ่งใส่หลินสวินก็ตัวสั่นกลางอากาศกะทันหัน ส่วนหัวถูกพลังดรรชนีแทงเป็นโพรงรูหนึ่ง
เปลวเพลิงที่ปกคลุมอยู่บนร่างใหญ่โตนั้นมีทีท่าจะสลายไป
รอยยิ้มเหี้ยมเกรียมที่มุมปากของตงหลิวซื่อแข็งค้าง นัยน์ตาหดรัด ดรรชนีเดียวเท่านั้นก็ทำให้หุ่นต่อสู้ตัวหนึ่งบาดเจ็บสาหัสได้ นี่ทำให้เขายังประหลาดใจ
ที่ตามมาติดๆ ก็คือความปวดใจ แม้พลังต่อสู้ของหุ่นต่อสู้นี้จะน่ากลัวถึงขีดสุด แต่ตอนหลอมก็ยากลำบากหาใดเทียบ ได้รับบาดเจ็บหนักเช่นนี้ คิดจะฟื้นฟู อย่างน้อยก็ต้องใช้วัตถุดิบเทพหลักล้านผลึกมรรค
เพียงแต่ยังไม่ทันให้ตงหลิวซื่อตอบสนอง ก็ได้ยินเสียงปึงๆๆ ดังขึ้นระลอกหนึ่ง
หุ่นต่อสู้ที่พุ่งไปหาหลินสวินเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายสีทอง หมาป่าละโมบสีเงินหรืออสูรกลืนเมฆสีเขียว
แต่ละตัวล้วนเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ร่างล้มลงระเนระนาดคล้ายเกี๊ยวลงหม้อ
ที่หัวของพวกมันล้วนมีโพรงซึ่งถูกพลังดรรชนีแทงทะลุรูหนึ่งทั้งนั้น!
“นี่…”
“หุ่นต่อสู้นั่นดูเหมือนแข็งแกร่ง ทำไมน่าดูอย่างเดียวแต่ไร้ประโยชน์เสียล่ะ”
ผู้ชมการต่อสู้ที่ได้เห็นภาพนี้เข้าต่างตาเบิกกว้าง ตกตะลึงกับภาพนี้
ตงหลิวซื่อเพียงรู้สึกว่าเลือดไหลรินอยู่ในใจ สีหน้าอึมครึมเป็นที่สุด หุ่นต่อสู้แต่ละตัวได้รับบาดเจ็บ ก็เหมือนกองภูเขาผลึกมรรคลูกแล้วลูกเล่าไหลรินผ่านไปเสียงดังซ่าๆ…
ทำให้เขาไม่อาจตั้งตัว คิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
ปกติแล้วด้วยพลังของหุ่นต่อสู้แปดตัวของเขา เพียงพอจะขังมกุฎราชันอริยะขั้นกลางคนหนึ่งไว้ได้แล้ว!
แต่เห็นได้ชัดว่าคู่ต่อสู้คราวนี้แตกต่างโดยสิ้นเชิง!
และตอนนี้หลินสวินก็เอ่ยปากเรียบๆ ว่า “ไม่ใช่อยากให้ข้าแพ้อย่างสุดจิตสุดใจหรือ ไม่อย่างนั้นเจ้าใช้เขตแดนมรรคของเจ้ามาเลยไหม”