Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2012 อดีตปัจจุบันและอนาคต ไร้ศัตรูในระดับนี้!
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2012 อดีตปัจจุบันและอนาคต ไร้ศัตรูในระดับนี้!
ตอนที่ 2012 อดีตปัจจุบันและอนาคต ไร้ศัตรูในระดับนี้!
หน้าประตูทลาย บรรยากาศเงียบกริบ
เมื่อหมีอู๋หยาหลีกทาง การต่อสู้ที่เรียกได้ว่าไม่เคยเห็นมาก่อนตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน และเป็นหนึ่งเดียวไม่อาจประเมินได้นี้ก็จบลง
เหล่าผู้กล้าจิตใจกระเพื่อมไหว
การตัดสินใจอย่างกะทันหันของหมีอู๋หยาทำให้พวกเขารู้สึกประหลาดใจ ตะลึงและไม่เข้าใจ
แต่ไม่ว่าอย่างไร การกระทำนี้ของหมีอู๋หยาเท่ากับยอมรับแล้วว่า แม้เขาสู้สุดชีวิตก็ไม่สามารถขวางหลินสวินไว้นอกประตูทลายได้!
บรรยากาศในที่นั้นกดดัน ในอากาศคละคลุ้งไปด้วยคาวเลือดฉุนจมูก
หน้าประตูทลาย หลินสวินหันหลังให้ทุกคน เบื้องหลังเขามีเส้นทางเลือดสายหนึ่งที่สร้างจากน้ำเลือดและซากศพ
บนเส้นทางนี้ ดับทำลายผู้แข็งแกร่งที่เรียกได้ว่าเป็นเลิศแห่งยุคไปคนแล้วคนเล่าก่อนหน้านี้ และเป็นหลักฐานว่าผู้แข็งแกร่งคนแล้วคนเล่าถูกตีพ่าย…
ฟ้าดินเงียบกริบ สรรพสิ่งเงียบสงัด
ร่างกายหลินสวินทั้งบนล่างถูกรอยแผลน่าสยดสยองปกคลุม เลือดสดๆ ยังคงไหลหลั่ง
เขาเผ้าผมยุ่งเหยิง เรือนกายสูงโปร่งผ่าเผย ยืนอยู่หน้าประตูทลายที่สูงพันจั้งเพียงลำพัง กลับมีอานุภาพสยบทั่วหล้า เย้ยหยันเก้าสวรรค์
ทุกสายตาในที่นั้นรวมอยู่ที่ร่างเขา สีหน้าของทุกคนล้วนเต็มไปด้วยความสะท้านไหว
เป็นคนผู้นี้ที่อาบเลือดสด เข่นฆ่าตลอดทาง สังหารยี่สิบสี่คน บาดเจ็บสิบสามคนในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป!
เขาเหมือนนายเหนือหัวแห่งการต่อสู้ กวาดล้างตามอำเภอใจ ไม่อาจเทียบเทียม!
บุคคลแห่งยุคอย่างพวกจิ่งเทียนหนาน หลิงหงจวงล้วนพ่ายแพ้อย่างราบคาบในมือเขา คนที่แข็งแกร่งอย่างหมีอู๋หยา ช่วงสุดท้ายก็เป็นฝ่ายหลีกทางเสียเอง
ก่อนหน้านี้ใครจะกล้าคิด
ใครจะคาดคิดว่าการต่อสู้แย่งชิงแท่นมรรคครั้งนี้ จะจบลงด้วยการที่หลินสวินเป็นผู้ชนะแต่เพียงผู้เดียว
ไม่มี!
ทุกคนจึงรู้สึกตะลึงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ครู่ใหญ่หลังจากนั้น
หลินสวินถึงคล้ายเพิ่งรู้สึกตัว ส่งเสียงไออู้อี้ระลอกหนึ่ง มีเลือดสดไหลจากมุมปากไม่ขาดสาย
“พี่หมี เจ้าจำยอมหรือ”
เขาเสียงแหบพร่า สีหน้ายิ่งซีดเซียวจนจะโปร่งแสง บนร่างที่เปื้อนเลือดปรากฏสัญญาณความอ่อนแอและเสื่อมทรุด
ต่อสู้มาถึงตอนนี้ ใช้เวลาประมาณหนึ่งก้านธูป เขาปลดปล่อยถึงขีดสุด สังหารเต็มกำลัง แม้ฆ่าศัตรูตัวฉกาจไปมากมาย ทำให้เหล่าผู้กล้าตกใจจนถอยทัพ แต่สภาพร่างกายของตนสาหัสและย่ำแย่เพียงใด มีเพียงตัวเขาที่รู้ดีที่สุด
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ หว่างคิ้วของเขายังคงมีความผงาดผยอง มีความองอาจเหมือนเดิม!
พี่หมี เจ้าจำยอมหรือ
ประโยคเดียวทำลายบรรยากาศอึดอัดในที่นั้น เมื่อเข้าหู ในใจทุกคนต่างสั่นสะท้านระลอกหนึ่ง หลินสวินหมายความว่าอย่างไร
ไม่ยินยอมที่หมีอู๋หยาถอยแต่เพียงเท่านี้หรือ
กลับเห็นหมีอู๋หยาถอนหายใจคราหนึ่ง เอ่ยว่า “อยากไม่จำยอม… คงไม่ได้…”
การต่อสู้ครั้งนี้เดิมก็ไม่ยุติธรรมสำหรับหลินสวิน แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เขายังคงไม่สามารถโจมตีหลินสวินที่บาดเจ็บอยู่แล้วให้พ่ายแพ้ได้
นี่ทำให้ในใจหมีอู๋หยารู้นานแล้วว่า หากต่อสู้กันอย่างยุติธรรมจริงๆ ตนคงไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวิน!
ดังนั้นเขาจำต้องจำยอม
จนถึงตอนนี้เหล่าผู้กล้าต่างตะลึงจนพูดไม่ออก
หลินสวิน ผู้สืบทอดคีรีดวงกมล หน้าประตูทลายแห่งนี้เขาสังหารตลอดทาง ก้าวข้ามแอ่งเลือดและซากศพ สุดท้ายก็มาถึงหน้าประตูทลาย!
คนที่แข็งแกร่งอย่างหมีอู๋หยายังต้องจำยอม หลีกทางให้กับเขา!
นี่จึงจะเป็นการไร้ศัตรูในระดับนี้อย่างแท้จริง!
เขาใช้เลือดสดๆ และการเข่นฆ่าสร้างเส้นทางไร้ศัตรู ไม่ผิดเลย ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ไม่เคยมีใครเคยสร้างผลงานการต่อสู้ที่ไร้ศัตรูเช่นนี้มาก่อน!
‘เกรงว่าแม้แต่เสวียนคงในตอนนั้น คงไม่มีผลงานการต่อสู้เช่นนี้…’
เสวียนจิ่วอิ้นถอนหายใจในใจ
ในที่นั้นมีเพียงเขาที่รู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเสวียนคงชัดเจนที่สุด และมีเพียงเขาที่รู้ดีที่สุดว่าฉายา ‘ทั่วหล้าบนล่าง ไร้ศัตรูในระดับอริยะ’ ของเสวียนคงไม่ธรรมดาเพียงใด
แต่เมื่อเห็นศึกนี้ของหลินสวิน เสวียนจิ่วอิ้นรู้ว่าบนเส้นทางไร้ศัตรูในระดับอริยะ หลินสวิน… เหนือกว่าศิษย์พี่เสวียนคงของเขาไปแล้ว!
“ภิกษุน้อย เจ้าเป็นอะไรไป”
ทันใดนั้นมุมปากของหลิงเคอจื่อที่อยู่ข้างๆ เสวียนจิ่วอิ้นกลับมีเลือดไหลออกมา สีหน้าเปลี่ยนเป็นซีดเซียว
หลิงเคอจื่อราวกับได้สติกะทันหัน ถอนหายใจยาวทันที เอ่ยด้วยใบหน้าที่แฝงความหวาดกลัว “ข้า… ไม่เป็นไร”
ความจริงในใจเขายังคงสั่นไหว จิตใจแทบจะเสียการควบคุม
เหตุผลเพราะก่อนหน้านี้เขาใช้จิตพุทธะไร้มลทินไปจับจ้องหลินสวิน และเห็นภาพน่ากลัวที่เหนือความคาดหมาย
ในภาพเหล่านั้นราวกับมีสายน้ำแห่งกาลเวลาที่ทะลวงผ่านอดีตปัจจุบันอนาคต ส่วนเงาร่างของหลินสวินราวกับสุริยันดวงโต ส่องสว่างบนสายน้ำแห่งกาลเวลาแต่เพียงผู้เดียว
มีเงาร่างที่สูงใหญ่มากมาย อานุภาพน่ากลัว ราวกับบุคคลไร้ศัตรู พุ่งออกจากสายน้ำแห่งกาลเวลาอันยาวไกล พยายามจะแทนที่หลินสวิน
แต่ล้วนพ่ายแพ้อย่างไม่มีข้อยกเว้น!
เงาร่างของหลินสวินราวกับปราการสวรรค์ที่ขวางกั้นอดีต ปัจจุบันและอนาคต ไม่มีใครสามารถเอาชนะ และไม่มีใครสามารถสั่นคลอน!
‘นี่ต่างหากที่เรียกว่า…อดีต ปัจจุบันและอนาคต ไร้ศัตรูในระดับนี้…’
ครู่ใหญ่ในใจหลิงเคอจื่อจึงเอ่ยเสียงทอดถอนหายใจราวกับตื่นจากฝัน
ก็เพราะจิตพุทธะไร้มลทินมองเห็นภาพที่น่ากลัวเหล่านั้น ทำให้หลิงเคอจื่อถูกพลังสะท้อนกลับ สภาวะจิตเกือบพังทลาย
แต่ก็เพราะเช่นนี้ ทำให้เขามั่นใจว่าหมู่คนระดับเดียวกันทั่วหล้าในอดีต ไม่มีใครสามารถเทียบหลินสวินได้
ในอนาคต ก็ไม่มีใครสามารถทำลายตำนานไร้ศัตรูในระดับนี้ของหลินสวินได้เช่นกัน!
“เจ้าคงไม่ได้เห็นอะไรหรอกนะ”
เสวียนจิ่วอิ้นประหลาดใจ
หลิงเคอจื่อส่ายหน้า ความลับนี้น่าตกใจเกินไป หากแพร่ออกไปจะต้องเกิดคลื่นลมที่ไม่อาจคาดเดาอย่างแน่นอน
ถึงอย่างไรฉายาที่ว่า ทั่วหล้าบนล่างไร้ศัตรูในระดับนี้ก็ยิ่งใหญ่มากพอแล้ว
เหมือนเช่นเสวียนคง
แต่เสวียนคงก็สิ้นชีพก่อนวัยอันควรในระดับนี้เช่นกัน!
หากให้ใครรู้เข้าว่าหลินสวินศิษย์น้องของเสวียนคง ได้ก้าวสู่ระดับที่เรียกได้ว่าไร้เทียมทานในระดับนี้
จะนำพาคลื่นลมระดับใดมา
……
หน้าประตูทลาย กลิ่นอายทำลายล้างอบอวล
หลินสวินไม่ได้หันกลับไป หันหลังให้ทุกคนแล้วไออย่างรุนแรงอีกระลอกหนึ่ง ก่อนพูดว่า “ไม่ว่าพวกเจ้ายินยอมหรือไม่ การต่อสู้ครั้งนี้… เดิมทีข้าคนแซ่หลินก็ไม่จำเป็นต้องลงมือ…”
ว่าพลางเขาก้าวเท้าอย่างยากลำบาก ใต้เท้าแท่นมรรคตามติด เข้าประตูทลายที่กลิ่นอายทำลายล้างปกคลุมอบอวลนั้นไปพร้อมกับเขา
ไม่มีใครรู้ว่าเขามีอภินิหาร ‘หยุดเวลา’ สามารถหยุดเวลาชั่วพริบตาได้ แม้เพียงพริบตาเดียว แต่หากต้องการพาแท่นมรรคนั่นเข้าประตูทลายก็เหลือเฟือแล้ว
เช่นนี้เหล่าคนในที่นี้จะขวางได้อย่างไร
กลัวว่าคงตอบสนองไม่ทันด้วยซ้ำ!
และไม่มีใครรู้ว่ายามเขาต่อสู้จนบาดเจ็บไปทั้งตัว พลังกายเผาผลาญยิ่งยวด วิญญาณกระบี่ ‘เย่จื่อ’ ที่แปลงเป็นกระบี่บินเล็กบางราวลำแสงซ่อนอยู่ในเส้นผมของเขาเงียบๆ รวมถึงจักรพรรดิอสนีดับสูญที่ซ่อนตัวอยู่ในยันต์บังฟ้า ต่างเคยสื่อจิตว่าหมายจะช่วยเขาสังหารเหล่าผู้กล้าในสนามรบ
แต่กลับถูกหลินสวินปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
การต่อสู้ครั้งนี้ เขาอยากลงมือด้วยตัวเองเท่านั้น!
และความจริงก็พิสูจน์แล้วว่า คนระดับเดียวกันในที่นี้ แม้แต่คนแข็งแกร่งอย่างหมีอู๋หยาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาสักคน!
ไม่นานเงาร่างที่บาดเจ็บและเปื้อนเลือดของหลินสวินบนแท่นมรรคนั่นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
มองดูเขาจากไป ในใจเหล่าผู้กล้าในที่นั้นนอกจากเดือดพล่านกระเพื่อมไหว ยังเกิดความประหลาดใจระลอกหนึ่ง
ที่หลินสวินพูดก่อนหน้านี้… หมายความว่าอย่างไร
พวกเขาเดาไม่ออก และไม่เข้าใจว่าหลินสวินเคยมีโอกาสชั่วพริบตาที่สามารถบุกเข้าในประตูทลายโดยตรงได้…
“สมบัติเยอะจัง!”
จู่ๆ ก็มีคนพูดขึ้น
การต่อสู้นองเลือดที่น่าตะลึงก่อนหน้านี้ เหล่าผู้แข็งแกร่งที่ถูกหลินสวินสังหาร สมบัติที่พกมาล้วนทิ้งไว้ในสนามรบแทบจะทั้งหมด แม้เปื้อนเลือดแต่ยังคงเปล่งแสงประกายน่าดึงดูด
ประโยคเดียวทำให้สีหน้าของเหล่าผู้กล้าล้วนเปลี่ยนเป็นซับซ้อนขึ้นมา
ในบรรดาสมบัติที่เหลืออยู่เหล่านี้ ไม่ขาดศาสตราจักรพรรดิที่มหัศจรรย์ไม่อาจคาดเดา!
“ในสายตามีเพียงของนอกกาย จะมีมหามรรคแห่งตนเมื่อไหร่”
หมีอู๋หยาเผยความดูถูกเสี้ยวหนึ่งก่อนหมุนตัวจากไป ในระดับนี้ก็มีเพียงหลินสวินคนเดียวที่สามารถทำให้เขามองด้วยสายตาที่ต่างไป ในใจเกิดความเลื่อมใส
คนอื่นๆ ล้วนไม่เข้าตา!
แม้การช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดครั้งนี้จะล้มเหลว แต่หมีอู๋หยาไม่ได้เสียใจเท่าไหร่
ตรงกันข้าม การต่อสู้กับหลินสวินทำให้เขาตระหนักถึงข้อบกพร่องบางส่วนในมรรคาของตน กลับสามารถเรียกได้ว่าเป็นการเก็บเกี่ยวครั้งใหญ่
เขาตัดสินใจจะทะลวงระดับแล้ว ในเขตต้องห้ามเซียนโบราณแห่งนี้!
“สมบัติเหล่านี้แม้จะน่าดึงดูดมาก แต่อย่าลืมว่าโลกภายนอกยังมีระดับจักรพรรดิควบคุมดูแลอยู่ พวกเจ้ามั่นใจหรือว่าจะสามารถเอาทรัพย์หลังศึกเหล่านี้ออกไปด้วยได้”
ดวงตากระจ่างของหลิงหงจวงกวาดมองเหล่าผู้กล้า หลังจากพูดทิ้งท้ายเอาไว้ก็พลิวทะยานจากไป
เหมือนกับหมีอู๋หยา นางเองก็ตัดสินใจจะเสาะหาแดนสมบัติแห่งหนึ่ง ทะลวงระดับขึ้นไป!
อันที่จริงบุคคลอย่างนางมีรากฐานพลังและความมั่นใจที่จะแจ้งมรรคบรรลุกึ่งจักรพรรดินานแล้ว ที่กดพลังปราณของตนอย่างยากลำบาก ก็เพื่อเข้าสู่เขตต้องห้ามเซียนโบราณสักครั้ง
ตอนนี้พลาดโอกาสช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดไปแล้ว สำหรับหลิงหงจวง การทะลวงระดับจึงกลายเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดในตอนนี้
“ไม่เพียงแค่สมบัติของผู้ล่วงลับ เกรงว่าแม้หลินสวินช่วงชิงมหาสมบัติแรกกำเนิดชิ้นนั้นได้ ตอนที่จะจากไปก็คงต้องประสบมหันตภัย”
จิ่งเทียนหนานสีหน้าอึมครึมไม่อาจสงบได้ เหลือบมองสมบัติของผู้ล่วงลับในสนามรบเหล่านั้น สุดท้ายก็จากไปเช่นกัน
หลังจากนั้นทยอยมีผู้แข็งแกร่งเลือกจะจากไป
แต่ก็มีคนอยู่ต่อ สายตาวูบไหว
ครู่หนึ่งหลังจากนั้น
ตรงหน้าประตูทลายนี้เหลือเพียงสิบกว่าคน
เสวียนจิ่วอิ้นเหมือนอ่านความคิดของผู้แข็งแกร่งที่อยู่ต่อเหล่านี้ออก หลุดขำเอ่ยว่า “ทุกท่าน ถูกโจมตีจนกลัวฉี่ราด ยังอยากได้สมบัติเหล่านี้อีกหรือ ไม่กลัวจะทิ้งชีวิตน้อยๆ ไว้ที่นี่หรือ”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
มีคนแค่นเสียงเย็นเยียบ
รอยยิ้มตรงมุมปากของเสวียนจิ่วอิ้นหายไป ความดูถูกชัดแจ้งวาบผ่านดวงตา
“หมายความว่าอย่างไรเช่นนั้นหรือ ง่ายมาก สมบัติที่เหลืออยู่นี้ล้วนเป็นทรัพย์หลังศึกของหลินสวิน ข้าคนแซ่เสวียนจะเป็นคนดูแลชั่วคราว ถ้าไม่อยากตายก็รีบไสหัวไปซะ!”
แววตาของเหล่าผู้กล้าต่างวูบไหวไม่หยุด จ้องเสวียนจิ่วอิ้นด้วยความเดือดดาล
เสวียนจิ่วอิ้นคร้านจะสนใจ ตบไหล่หลิงเคอจื่อพร้อมพูดว่า “ไป เจ้าไปช่วยหลินสวินเก็บทรัพย์หลังศึก เจ้าพวกนี้ข้าจัดการเอง”
หลิงเคอจื่อร้องว่า ‘เอ่อ’ คำหนึ่ง กล่าวย่างลำบากใจ “ผู้ออกบวชไม่แตะของเปื้อนเลือด ยิ่งกว่านั้นคนพวกนั้นตายไปหมดแล้ว ขืนไปชิงสมบัติที่พวกเขาทิ้งเอาไว้ หากระดับจักรพรรดิเหล่านั้นรู้เข้าข้ายังจะรอดชีวิตได้อย่างไร”
“ไปหรือไม่”
เมื่อเสวียนจิ่วอิ้นถลึงตาใส่ หลิงเคอจื่อก็กลัวขึ้นมาทันที เดินอย่างไร้เรี่ยวแรงไปบนเส้นทางเลือดที่หลินสวินสังหารออกมา เริ่มเก็บทรัพย์หลังศึก
มีคนโมโหขึ้นมาทันที ตะโกนเสียงดัง “ภิกษุ ไม่อยากตายก็ทิ้งสมบัติไว้!”
คนผู้นี้ก็คือโหวเจิ้งนั่นเอง
ก่อนหน้านี้ก็เป็นเขาที่ตกใจกับคำว่า ‘ไสหัวไป’ ของหมีอู๋หยาจนถอนตัวจากสนามรบ แต่ตอนนี้เขากลับมีท่าทางมั่นใจเต็มเปี่ยม
………………………….