Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2112 นรกอำพราง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2112 นรกอำพราง
ตอนที่ 2112 นรกอำพราง
สีหน้าหลินสวินเปลี่ยนสลับไปมา
แดนปรินิพพาน ยอดหนทางสู่อมตะ บททดสอบของวัฏจักรกาลเวลา…
นี่คือสุดยอดมหาศุภโชคที่มาจากพลังระเบียบต้องห้ามทางเดินโบราณฟ้าดาราครั้งหนึ่ง ทว่าก็เป็นหายนะครั้งใหญ่ที่คาดเดาไม่ได้คราหนึ่งเช่นกัน
แม้แต่พวกเฒ่าดึกดำบรรพ์ที่อยู่ในระดับจักรพรรดิเก้าขั้นยังสามารถเข้าร่วมได้ เท่านี้ก็สามารถจินตนาการได้แล้วว่าการชิงชัยระดับนั้นจะเหี้ยมโหดและน่าสะพรึงกลัวปานใด
และใครจะสามารถกลายเป็นหนึ่งบัวที่เบ่งบานนั่น
“ในใจคุณชายยังมีเรื่องใดที่ต้องการถามอีกหรือไม่” ชิงอิงเติมน้ำชาให้หลินสวินอีกถ้วย ทุกท่วงท่าอากัปกิริยาล้วนเจือความงามตราตรึงอย่างหาที่เปรียบไม่ได้อย่างหนึ่ง
หลินสวินได้สติจากภวังค์ความคิด ตรองอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงเอ่ยขึ้น “ก่อนที่ข้าจะมาเคยมีคนกล่าวไว้ว่า โลกมืดมีคนรอข้าแก้ปมอยู่ แม่นางทราบหรือไม่ว่านี่หมายความว่าอย่างไร”
ชิงอิงอึ้งไปครู่หนึ่งแล้วจึงส่ายศีรษะ “เรื่องนี้ข้าไม่ทราบจริงๆ ”
แม้ว่าหลินสวินจะเตรียมใจไว้ก่อนแล้ว ทว่าก็ไม่อาจเลี่ยงความผิดหวังได้อยู่บ้าง ประโยคนั้นของชายหนุ่มจักจั่นทอง ตกลงแล้วหมายความว่าอย่างไรแน่
แล้วโลกมืดนี้ยังมีใครต้องการให้ตนไปแก้ปมอีก
“เสร็จรึยัง”
เสียงที่คล้ายหมาป่าหอนของต้าหวงดังอยู่นอกโถงใหญ่
หลินสวินได้สติจากภวังค์โดยพลัน
“คุณชาย ช่วงเวลานี้ก่อนที่เคราะห์จ่อมจมครั้งที่สามจะมาถึง พวกผู้อาวุโสเมี่ยฉยงจะพาท่านมุ่งหน้าไป ‘นรกอำพราง’ เพื่อทำการฝึกปราณ นี่ก็เป็นจุดเปลี่ยนการแจ้งมรรคที่ผู้อาวุโสจ้งชิวเตรียมไว้ให้คุณชาย”
ชิงอิงพูดพลางเหยียดกายขึ้น กางร่มโลหิตสีแดงสดราวชาดคันนั้น “ปีนั้นผู้อาวุโสจ้งชิวก็แจ้งมรรคในสถานที่แห่งนั้นเช่นกัน”
“นรกอำพราง?” ขณะใคร่ครวญ หลินสวินก็สาวเท้าออกจากโถงใหญ่ไปพร้อมชิงอิง
นอกโถงใหญ่ ชายผีสุราและต้าหวงรอยู่ตรงนั้นนานแล้ว
“เจ้าหนุ่ม แม้ว่าเจ้าจะได้ชื่อว่าเป็นศิษย์น้องของนายท่านของข้า แต่หากยังไม่ได้รับการยอมรับจากนายท่าน ข้าก็จะไม่มองเจ้าเป็นคนอะไรทั้งนั้น…”
ต้าหวงเชิดหัวสุนัขขึ้น สีหน้าเย่อหยิ่ง
“อ้อ วางใจเถอะ แน่นอนว่าข้าเองก็ไม่มองเจ้าเป็นคนอะไรทั้งนั้นเหมือนกัน”
หลินสวินยิ้ม เขาอยากเชือดเจ้าหมาขนทองที่เหิมเกริมตัวนี้จริงๆ ช่างกำเริบเสิบสานยิ่งนัก ทั่วร่างล้วนแผ่กลิ่นอายชวนต่อยตี
“เจ้าหนุ่มเจ้าบ้าไปแล้วรึ ถึงกับกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้กับข้า” นัยน์ตากลมโตราวระฆังทองแดงของต้าหวงเผยแววดุร้าย เหี้ยมเกรียมดุดัน
หลินสวินยังคงยิ้มน้อยๆ “เจ้าไม่ใช่คนนี่ หากข้ามองเจ้าเป็นคน ไม่เท่ากับว่ากำลังด่าเจ้าว่า… ตัวเป็นคนนิสัยเป็นสุนัขหรือ”
พรูด!
ชายผีสุราหลุดขำพรืดออกมาตรงๆ ตัวเป็นคนนิสัยเป็นสุนัข? เห็นภาพยิ่งนัก!
เห็นได้ชัดว่าชิงอิงเองก็กำลังพยายามกลั้นยิ้มอยู่ข้างๆ นางไม่คิดว่าหลินสวินจะใจกล้าเช่นนี้ เพียงแต่เมื่อตรองดูแล้วก็น่าจะเป็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสจ้งชิวคือศิษย์พี่ของเขา เจ้าหมานี่คิดจะกำเริบเสิบสานอีก มีหรือจะไม่เป็นการล่วงเกิน
“โฮก!”
ต้าหวงกัดต้นขาชายผีสุราคราหนึ่ง เจ็บจนฝ่ายหลังต้องสูดลมปาก เอ่ยอย่างโมโห “ต้าหวง เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย กัดคนซี้ซั้วได้เช่นไรกัน!”
ต้าหวงตอบกลับอย่างเหี้ยมเกรียมดุดัน “จากฐานะของข้า จะรังแกคนรุ่นหลังไม่เอาไหนสักคนไม่ได้เชียวหรือ เจ้าขำ ข้ากัดเจ้าแล้วจะทำไม”
ชายผีสุราหน้าง้ำ
กลายเป็นว่าหลินสวินกลับรู้สึกผิดอยู่บ้าง เอ่ยว่า “ต้าหวง เที่ยวกัดคนซี้ซั้วไม่ถูกต้อง…”
ต้าหวงกัดชายผีสุราอย่างแรงอีกครา “ก็ข้าจะกัดคนซี้ซั้ว ไม่พอใจหรือ เจ้าก็กัดข้าสิ”
ชายผีสุรามีท่าทางเหมือนอยากร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ออก หนึ่งคนหนึ่งหมาตีกัน ทว่าความซวยดันมาตกที่เขาซึ่งเป็นคนกลางเสียได้
ครั้นเห็นว่าหลินสวินยังจะเปิดปากพูด เขาจึงรีบเอ่ยขึ้นอย่างเร่งร้อน “สหายน้อย รีบไปเถอะ”
เขายังกังวลว่าหลินสวินจะไปพูดอะไรอีก ยั่วยุต้าหวงจนหันมากัดเขาอีกคราจริงๆ…
“ได้” หลินสวินตอบกลับเบิกบาน
ต้าหวงทำหน้าถือดี “เจ้าหนุ่ม เจ้าอย่าเพิ่งได้ใจไป รอเข้าไปในนรกอำพรางแล้ว เจ้าอย่ามาร้องไห้ฟูมฟายขอให้ข้าไปช่วยเจ้าแล้วกัน!”
หลินสวินตอบสวนกลับไป “หมาดีไม่ขวางทาง นำทางสิ!”
ต้าหวงเดือดจนแยกเขี้ยวใส่ ส่งเสียงคำรามคราหนึ่งแล้วกระโจนเข้าใส่ชายผีสุราทันที ฝ่ายหลังเห็นท่าไม่ดีอยู่ก่อนแล้วก็พุ่งทะยานหนีไปไกลจากจุดเดิมทันที
…
สีเลือดข้นหนาอบอวลผืนทะเล น้ำวนขนาดยักษ์แห่งหนึ่งไหลวนอยู่ ราวกับดำดิ่งไปสู่พื้นที่ใต้สมุทร
ฮือๆๆ!
เสียงประหนึ่งผีร่ำไห้หมาป่าโหยหวนเป็นระลอกๆ ดังมาจากส่วนลึกของน้ำวน ชวนให้คนสะท้านทั้งที่ไม่หนาว
นี่ก็คือทางเข้านรกอำพราง!
“ช่วงแรกเริ่มสมัยบรรพกาล หลังจากเคราะห์จ่อมจมครั้งแรกปรากฏออกมา ทำให้โลกมืดจมสู่การพังทลายครั้งใหญ่ ถูกมองเป็นหลุมศพที่พวกน่ากลัวมากมายซึ่งประหนึ่งเทพไท้ฝังร่างอยู่ภายใต้เคราะห์นี้ นับแต่นั้นเป็นต้นมา โลกมืดก็ถูกมองว่าเป็นแดนแห่งสุสานเทพ”
ชายผีสุราหยุดยืนอยู่ข้างวังน้ำวน เพื่ออธิบายให้หลินสวินฟัง
“นรกอำพรางนี่ก็คือซากสมัยดึกดำบรรพ์ที่เคราะห์จ่อมจมเหลือไว้ มันฝังกลบวิญญาณร้ายไว้มากมาย แต่ละคนตอนยังมีชีวิตล้วนมีปราณน่าสะพรึงเหนือระดับจักรพรรดิทั้งสิ้น เกรียงไกรดุจดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์”
“ผ่านการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาไร้สิ้นสุด วิญญาณร้ายที่ถูกกำราบที่นี่เหล่านี้ก็เกิดการแปรเปลี่ยนมากมาย วิญญาณร้ายบางส่วนกลายสภาพเสียจนมีความแข็งแกร่งยิ่งกว่าตอนมีชีวิต!”
“แต่สหายน้อยไม่ต้องกังวลใจไป นรกอำพรางนี้แบ่งออกเป็นสิบแปดชั้น วิญญาณร้ายที่กระจายตัวอยู่ในแต่ละชั้นล้วนต่างกัน”
“สำหรับเจ้าแล้ว การเข้าสู่ชั้นเก้าน่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ เมื่อปีนั้นนายท่านก็สังหารเข้าไปในชั้นเก้าเพียงลำพัง ทั้งยังแจ้งมรรคในนั้น ก้าวสู่หนทางมกุฎจักรพรรดิ”
“ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกปราณระดับมกุฎกึ่งจักรพรรดิสามชั้นฟ้าแล้ว ตามที่นายท่านกล่าว พลังทั้งหมดที่มีน่าจะเหนือกว่าเขาในปีนั้น มีโอกาสอย่างมากที่จะสังหารไปถึงชั้นเก้า”
ฟังถึงตรงนี้หลินสวินก็เข้าใจพอสังเขปแล้ว
เพียงแต่ในขณะที่เขากำลังคิดจะถามเรื่องราวบางอย่างอีก ก็ถูกต้าหวงที่อยู่ด้านข้างชูขาหน้าเตะส่งเข้าไปในวังน้ำวนนั่นแล้ว
ไม่ได้ตั้งตัวใดๆ ทั้งสิ้น!
“รอข้ากลับมาก่อนเถอะ ข้าจะต้องเอาหมาหน้าตุ่นอย่างเจ้ามาตุ๋นแกงให้ได้!”
ส่วนลึกของวังน้ำวน เสียงโกรธเคืองของหลินสวินดังขึ้น
“เจ้าตัวจ้อยอย่างเจ้าไปคิดให้ดีก่อนเถอะว่าต้องทำเช่นไรไม่ให้ถูกทรมานจนตาย!” ต้าหวงแหงนหน้าขึ้นฟ้าหัวเราะลั่น บนหน้าสุนัขเต็มไปด้วยความได้ใจและเหิมเกริม
“เช่นนี้จะดีจริงรึ”
ชายผีสุราถอนหายใจยาวเจือแววกังวลอยู่บ้าง “นรกอำพรางนั่นยิ่งลึกลงไปก็ยิ่งน่ากลัว หากว่าเจ้าหนูนั่นดันเกิดเรื่องอะไรขึ้น… เหอๆ ข้ากล้ารับรองว่านายท่านจะต้องเอาเจ้าไปตุ๋นแกงเป็นแน่”
ต้าหวงแข็งทื่อไปทั้งตัว ใบหน้าสุนัขเปลี่ยนสีไปมา ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยขึ้น “วางใจเถอะ ข้าเข้าใจนิสัยนายท่านที่สุด ในเมื่อเขากล้าให้เจ้าหนุ่มนี่มา ก็พิสูจน์แล้วว่าฝีไม้ลายมือของเจ้าหมอนี่สามารถมีชีวิตรอดในนรกอำพรางชั้นที่เก้าได้ ยิ่งกว่านั้น ในปีนั้นข้าเองก็ไม่ใช่ว่ามีชีวิตรอดมาจากนรกอำพรางหรืออย่างไร”
สีหน้าชายผีสุราเปลี่ยนเป็นพิลึกชอบกล เขานึกถึงเรื่องในอดีตขึ้นมาเรื่องหนึ่ง
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว หมาขนทองตัวนี้ถูกนายท่านพามาที่นี่ ไม่ว่าจะพูดเช่นไรหัวเด็ดตีนขาดต้าหวงก็ไม่ยอมเข้าไปในนรกอำพราง กอดขานายท่านแน่น ร้องไห้น้ำมูกน้ำตาไหลพราก
ทว่าท้ายที่สุดมันก็ยังเข้าไปอยู่ดี
โดยการถูกนายท่านถีบส่งเข้าไป
หลังจากนั้นตอนที่ต้าหวงกลับมา สภาพนั้นเรียกได้ว่าน่าอเนจอนาถ ผอมหนังหุ้มกระดูก ทั่วร่างเต็มไปด้วยบาดแผลสะบักสะบอม ขาสุนัขล้วนถูกตีหัก พักฟื้นอยู่ถึงหนึ่งปีเต็มกว่าจะฟื้นคืนพลังมาได้
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ขอเพียงต้าหวงได้ยินคำว่านรกอำพรางนี้ หางก็จะจุกตูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้โดยพลัน…
ครั้นคิดถึงจุดนี้ ชายผีสุราก็อดเสมองหางของต้าหวงปราดหนึ่งไม่ได้
ฝ่ายหลังกระโดดขึ้นมาพลันราวกับสัมผัสได้ถึงกระตุ้น ขู่คำรามคราหนึ่งแล้วพุ่งเข้าใส่ชายผีสุรา “มองไปทางใด มองไปทางใด! ไม่กลัวตาบอดเรอะ”
เผชิญหน้ากับต้าหวงที่บ้าคลั่ง ชายผีสุราหนีอย่างจนตรอกแล้ว…
ในที่นั้นจึงเหลือเพียงชิงอิงผู้เดียว
นางใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งค่อยยกมือทำมุทรา หลังจากนั้นจึงเอ่ยขึ้น “ยามนี้ในเรือนเร้นหมอกของพวกเรามีผู้ที่ฝึกปราณอยู่ในนรกอำพรางนี่มากน้อยเพียงใดกัน”
ทันใดนั้นเสียงแก่หง่อมสายหนึ่งพลันดังขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า
“เรียนคุณหนู เกือบหมื่นปีมานี้มีระดับกึ่งจักรพรรดิสองร้อยสามสิบเจ็ดคนจากไป ระดับกึ่งจักรพรรดิหนึ่งร้อยห้าสิบสี่คนเข้ามา ไม่กี่ปีมานี้พวกที่เข้าไปในนั้นใน รวมระดับมกุฎจักรดิพรรดิสิบเก้าคน…”
“เช่นนี้ก็ดี”
ชิงอิงไม่ได้ฟังจนจบ ในใจก็ถอนหายใจโล่งอก ขอเพียงในนรกอำพรางมีคนอยู่ ยามที่หลินสวินเข้าไปฝึกฝนในนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่รู้สถานการณ์ในนรกอำพรางแล้ว
ในฐานะถิ่นกำเนิดของเรือนเร้นหมอก ทุกช่วงเวลาหนึ่งจะมีผู้แข็งแกร่งเรือนเร้นหมอกที่สำแดงความสามารถโดดเด่นถูกคัดเลือกออกมา ให้เข้าสู่นรกอำพรางเพื่อฝึกปราณ
ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่รอดชีวิตกลับมาจากนรกอำพราง ศักยภาพแต่ละคนล้วนเกิดการเปลี่ยนแปลงชนิดก้าวกระโดด
ทว่าผู้แข็งแกร่งพวกนี้ต่างก็มียันต์หยกคงชีพแผ่นหนึ่งในมือ หนำซ้ำทำได้เพียงฝึกฝนใรสามชั้นแรกของนรกอำพรางเท่านั้น หากประสบภัยถึงแก่ชีวิต ก็จะถูกยันต์หยกคงชีพเคลื่อนย้ายออกมา
ทว่าหลินสวินไม่เหมือนกัน เขาไม่มียันต์หยกคงชีพ!
นี่คือคำสั่งของเจ้าหอวิหคทองแดง ก็หมายความว่าหลินสวินจำต้องอาศัยพลังต่อสู้ของตนเอาชีวิตรอดในนรกอำพราง
จากจุดนี้ก็โหดร้ายอย่างเห็นได้ชัดแล้ว
ควรรู้ว่าในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผานมา ในหอวิหคทองแดงและเรือนเร้นหมอก มีเพียงเจ้าหอวิหคทองแดงผู้เดียวที่เคยเข้านรกอำพรางภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มียันต์หยกคงชีพ
เขายังเป็นคนเดียวที่ทะลวงไปถึงชั้นเก้า!
ผู้แข็งแกร่งคนอื่นๆ ส่วนใหญ่ล้วนหยุดเท้าที่สามชั้นแรก ผู้แข็งแกร่งที่เข้าสู่ชั้นสามลงไปก็มีอยู่บ้าง ทว่าจำนวนน้อยยิ่ง
เหมือนอย่างต้าหวง ก็เคยฝ่าไปถึงชั้นเจ็ด!
บัดนี้ หลินสวินไม่ได้พกยันต์หยกคงชีพติดตัวเช่นกันก็เข้าสู่นรกอำพรางแล้ว เขาจะแจ้งมรรคในนรกอำพรางได้หรือไม่
ชิงอิงไม่แน่ใจ เรื่องเดียวที่นางกังวลคือ หลินสวินจะเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้นหรือไม่ต่างหาก…
…
นรกอำพราง ชั้นที่หนึ่ง
ฟ้าดินขมุกขมัว ห้วงอากาศเต็มไปด้วยแสงแดงอึมครึม กลิ่นอายชั่วร้ายที่คาวเลือดคละคลุ้งประหนึ่งพายุโหมคลั่ง กำลังแผดเสียงอึงอลกลางฟ้าดิน
ในนี้เวิ้งว้างหาใดเปรียบ ราวกับเป็นนรกแท้จริงแห่งหนึ่ง
ฟุ่บ!
ทันทีที่ร่างหลินสวินปรากฏ พลันสัมผัสได้ถึงแรงกดดันมหาศาลหาใดเปรียบแผ่คลุมถ้วนทั่ว ทำให้ร่างเขาค่อยๆ หนักอึ้งทีละน้อย ประหนึ่งว่ากำลังแบกเขายักษ์มโหฬาร!
หากเปลี่ยนเป็นคนธรรมดาอยู่ที่นี่ ช้าเร็วย่อมถูกแรงกดดันที่มีอยู่ทุกกระเบียดนั้นบีบอัดจนร่างระเบิดแตก จิตมอดดับแน่
‘พลังระดับนี้ พอที่จะทำให้บุคคลระดับอริยะก้าวเดินสักชุ่นหนึ่งก็ยังลำบาก…’
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งพลางโคจรพลังไปทั่วร่าง ทันใดนั้นแรงกดดันทรงพลังนั่นก็ถูกขจัดไป
ตูม ครืนๆ…
หลินสวินยังไม่ทันได้สังเกตโลกของนรกอำพรางชั้นที่หนึ่งนี้ต่อ ฟ้าดินก็สะเทือน เสียงกึกก้องดังสนั่นระเบิดขึ้นอย่างรุนแรง ดังมาจากจุดที่อยู่ห่างออกไป คล้ายกับว่ามีกองทัพนับหมื่นนับพันกรีฑาทัพเข้ามาอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงน่าประหวั่น
ขณะเดียวกันกลิ่นอายดุดัน โหดเหี้ยม รุนแรงก็ถาโถมตามมาประหนึ่งจับต้องได้จริง เข้าปกคลุมฟ้าดิน ท่ามกลางความเลือนรางยังมีเสียงแหลมบาดหูยิ่งยวดระลอกหนึ่ง
นัยน์ตาดำของหลินสวินหดรัดทันที