Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2180 ร่วมเป็นร่วมตายกับนางโดยไม่กลัว
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2180 ร่วมเป็นร่วมตายกับนางโดยไม่กลัว
ตอนที่ 2180 ร่วมเป็นร่วมตายกับนางโดยไม่กลัว
ฟ้าดาราไกลออกไป ซย่าจื้ออาบเลือดเข่นฆ่า เงาร่างสันโดษเล็กจ้อยและโดดเดี่ยวปานนั้น ราวกับจะถูกทัพสัตว์ที่ราวกับกระแสน้ำเชี่ยวพุ่งทำลายได้ทุกเมื่อ
ทุกคนบนกำแพงเมืองหมื่นมรรคล้วนจับตามองการต่อสู้ครั้งนี้ หลายคนกำลังรอชั่วพริบตาที่แมลงเม่าบินเข้ากองไฟตัวนี้ร่วงหล่น
คนมากมายสะใจ
คนมากมายสะท้านไหว
คนมากมาย…
ไม่มีใครคิดว่าเงาร่างที่สู้อย่างสุดชีวิตนี้จะสามารถรอดไปได้
สัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหล่านี้เยอะเกินไป แม้ถูกพลังระเบียบพุ่งชนแตกสลาย แต่ถึงอย่างไรก็มีมากกว่าพัน!
เพียงแค่จำนวนนี้ก็สามารถทำให้ไม่ว่าใครต่างพังทลายและสิ้นหวัง
ทว่าซย่าจื้อไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
หลายปีมานี้นางกรำศึกเพียงลำพัง ผ่านการเคี่ยวกรำจากอันตรายและความเป็นความตาย คุ้นชินกับการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหล่านี้นานแล้ว
คำว่าคุ้นชินสองคำ แฝงพลังอันแข็งกล้าอย่างหนึ่ง
มีคนคุ้นชินกับการยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้น มีคนคุ้นชินกับสู้เพื่อความอยู่รอด มีคนคุ้นชินกับการถูกเวลาและเรื่องราวต่างๆ ทรมาน…
ส่วนซย่าจื้อ คุ้นชินกับการต่อสู้และเข่นฆ่า!
ไม่ใช่ยึดติด
ไม่ใช่ชื่นชอบการต่อสู้แต่กำเนิด
และไม่ใช่ไม่คิดหยุดพักสักหน่อย
การต่อสู้ที่นางคุ้นชิน เดิมก็เพื่อคนที่สำคัญยิ่งกว่าชีวิตของนางอยู่แล้ว
นางตายได้
แต่ไม่อาจมองดูเขาตายได้!
ฟ้าดาราปั่นป่วน เลือดนองไหลหลั่งสาดเซ็น กลิ่นอายทำลายล้างราวกับภูเขาถล่มมหาสมุทรซัดสาด เสียงโหยหวนและเสียงคำรามที่สะท้านสะเทือนจิตวิญญาณดังขึ้นไม่ขาดสาย
นางขวางอยู่ด้านหน้าคนเดียว ไม่ใช่แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ แต่เหมือนแมลงเม่าที่ขวางกั้นการลุกลามของไฟรุนแรง
สัตว์ประหลาดแต่ละตัวร่วงหล่นท่ามกลางเสียงโหยหวนไม่ขาดสาย ร่างแยกกระจัดกระจาย เลือดเนื้อปลิวว่อน ทว่าพอเทียบกับจำนวนมหาศาลแล้วยังน้อยมาก
ฟ้าดาราเหมือนผืนผ้าวาดรูปที่นองเลือด ปั่นป่วนและวุ่นวาย ทำให้ผืนผ้านี้เกือบจะถูกบดขยี้แหลกละเอียดแล้ว
ความแข็งแกร่งของนางเป็นที่ประจักษ์ ไม่ว่าคนที่เคียดแค้นนางแค่ไหนก็จำต้องยอมรับ
แต่ไม่มีใครคิดว่านางจะรอดได้
ทว่าดูเหมือนนางไม่เคยสนใจเลยว่าจะรอดชีวิตได้หรือไม่
สิ่งที่นางสนใจคือ ให้เขาอยู่รอด!
……
“นางจะต้องตาย!”
“แค่ดิ้นรนก่อนตายเท่านั้นแหละ”
“เหอะ เสี่ยงชีวิตต่อสู้เพื่อคนที่จะต้องตายอยู่แล้ว สุดท้ายก็ต้องตายทั้งหมด โง่เขลาจริงๆ”
…เสียงที่เผยความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่นยังคงดังขึ้นเป็นระยะๆ และเข้าหูจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิง ทำเอาเขาโกรธจนหน้าเขียว เส้นเลือดปูดนูน เดือดดาลถึงขีดสุด
เขาทนไม่ไหวอีกต่อไป ส่งเสียงตะโกน “สารเลว! พวกเจ้ายังมีหน้าหัวเราะเยาะอีกหรือ”
บนกำแพงเมืองหมื่นมรรคเงียบงันไปชั่วขณะ คล้ายกับใครก็คิดไม่ถึงว่าในสถานการณ์เช่นนี้ จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงซึ่งมาจากเรือนมรรคโลกาสวรรค์จะก่นด่าพวกเขา
“เจ้าเฒ่าเฟิงหลิง เกี่ยวอะไรกับเจ้า”
มีคนขมวดคิ้วไม่พอใจ
“หากจักรพรรดิสวรรค์ดำรงอยู่ที่นี่ แค่คำพูดประโยคนี้เจ้าเฒ่าเฟิงหลิงอย่างเจ้าและเรือนมรรคโลกาสวรรค์ที่อยู่เบื้องหลังก็จบสิ้นแล้ว!”
มีคนเอ่ยเสียงข่มขู่
“เพื่อเศษเดนคีรีดวงกมลคนหนึ่ง เจ้ากลับด่าพวกเรา เจ้าเฒ่าเฟิงหลิง เจ้านับเป็นอะไร มีสิทธิ์อะไรมาเอะอะ”
มีคนเสียดสี เต็มไปด้วยความดูถูก
“เจ้าเฒ่าเฟิงหลิง เจ้ารีบหุบปากซะ ไม่เช่นนั้นเมื่อครบกำหนดสิบปี เจ้าคงได้กลายเป็นเป้าหมายของทุกคนแน่!”
…แต่ละเสียงดังขึ้น สัตว์ประหลาดเฒ่าเหล่านั้นล้วนเดือดดาล ถูกจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงด่าว่า ทำให้พวกเขาไม่พอใจมาก
กลับเห็นใบหน้าของจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงเผยความขึ้งโกรธ ถลึงตาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันตะโกนว่า
“เฒ่าชรารกโลกอย่างพวกเจ้ายังมีหน้ามาพูดเช่นนี้ ตอนนั้นในการประชันหมากครั้งใหญ่เป็นใครที่โจมตีจอมจักรพรรดิไร้นามคนก่อนจนพ่ายแพ้ ทำให้เส้นทางที่เชื่อมสู่ฟากฝั่งฟ้าดาราปรากฏขึ้นอีกครั้ง”
“และถ้าไม่ใช่เส้นทางแห่งฟ้าดาราปรากฏขึ้น พวกเฒ่าชราในสำนักของพวกเจ้าจะมีโอกาสมุ่งหน้าไปอีกฟากฝั่งได้อย่างไร”
“ไม่รู้จักขอบคุณก็ช่างเถอะ แต่จะซ้ำเติมแบบนี้ไม่ได้!”
คำพูดประโยคเดียวราวกับฟ้าผ่า แผ่ขยายกระจายออก เต็มไปด้วยความเดือดดาลยิ่งยวด
“น่าขัน! เจ้าเฒ่าเฟิงหลิง ในการประชันหมากครั้งใหญ่นั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทั่วหล้าฟ้าดารานี้มีผู้ร่วมมรรคตายในมือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลเท่าไหร่”
มีคนต่อว่าจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงอย่างเย็นชา
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงเดือดดาลอย่างสิ้นเชิงแล้ว หัวเราะอย่างโกรธจัด “ฮ่าๆๆ สารเลวอย่างพวกเจ้าเป็นสุนัขจนชิน ไม่รู้ว่าควรเป็นคนอย่างไรแล้ว!”
“ข้าขอถามประโยคเดียว หลังจากการประชันหมากครั้งใหญ่สิ้นสุดลง ผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ได้รับชัยชนะเคยโจมตีสำนักของพวกเจ้า ทำลายสำนักของพวกเจ้าจนสิ้นซากหรือไม่”
เขาพูดชัดถ้อยชัดคำ “อย่ามาบอกข้าว่าคีรีดวงกมลไม่มีพลังกำจัดพวกเจ้าทั้งหมด!”
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงสูดหายใจลึกคราหนึ่ง สีหน้ามืดทะมึนลงเล็กน้อย “จริงอยู่ว่าพอจักรพรรดิสวรรค์ดำรงมา เพื่อรักษาความปลอดภัยของสำนัก เรือนมรรคโลกาสวรรค์ของข้าจึงถูกบีบให้ยอมศิโรราบ…”
เขาพลันเงยหน้าขึ้น ทอดสายตามองไปรอบด้าน คำพูดกังวานชัดแจ้งราวกับฟ้าผ่าเก้าสวรรค์
“แต่คนเราไม่ว่าพลังปราณจะสูงแค่ไหน อย่างไรก็ต้องมีใจเมตตาบ้าง มีขอบเขตบ้าง!”
“แต่ดูพวกเจ้าสิ แต่ละคนอยากให้คนรุ่นหลังคนหนึ่งตายในมือสัตว์ประหลาดฟ้าดารานั่นจนแทบทนรอไม่ไหว ไม่รู้สึกละอาย ไม่รู้สึกขายหน้าหรือ!?”
จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงถลึงตา เสียงดังก้องไม่หยุด ทว่าสิ่งที่ได้คืนมากลับเป็นเสียงหัวเราะเยาะด้วยความดูถูกมากมาย
นี่ทำให้ความเดือดดาลเต็มอกของเขากลายเป็นความเย็นเยียบเสียดกระดูกทันที
เขาหมายจะพูดอีก แต่กลับพบว่าตนไร้เรี่ยวแรงถึงขนาดนั้น เพราะทั้งหมดนี้ล้วนไม่มีประโยชน์ สิ่งที่เฒ่าชราพวกนั้นสนใจคือการเป็นใหญ่เป็นโต ไม่ใช่ความเมตตาหรือขอบเขตอะไรทั้งนั้น!
นี่ก็คือเรื่องธรรมดาของโลก เป็นเช่นนี้อยู่แล้ว การดิ้นรนในมหามรรคโหดร้ายเช่นนี้มาตลอด!
……
หน้าป้อมปราการ
หลินสวินยังคงนิ่งสงบถึงเพียงนั้น
ในดวงตาดำของเขาเต็มไปด้วยเลือด ดังนั้นดวงตาคู่นั้นจึงเหมือนหุบเหวลึกสีเลือดที่แดงก่ำคู่หนึ่ง สิ่งที่พลุ่งพล่านอยู่ภายในมีแต่ความเดือดดาลปานเพลิงโหม
ในที่สุดหลินสวินก็เอ่ยปากแล้ว เสียงราวกับเบียดออกจากทรวงอก ทุกคำประหนึ่งมีน้ำหนักพันจวิน ยามพูดออกมาดูยากลำบากอย่างมาก
“ซย่าจื้อ ข้าไม่ให้เจ้าไปแล้ว เจ้ามานี่ จะสู้… พวกเราก็สู้ด้วยกัน…”
เสียสะท้อนอยู่ในฟ้าดารา นิ่งสงบมาก ไม่มีการตะคอกคำถามด้วยความโกรธ ไม่มีการครวญคร่ำอย่างโศกเศร้า มีเพียงความเด็ดเดี่ยว
เด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ร่างงดงามที่อาบเลือดต่อสู้อยู่เบื้องหน้าทัพสัตว์สั่นไหวเล็กน้อย ก็เหมือนที่นางพูดก่อนหน้านี้ บนโลกนี้คนอื่นๆ อาจจะไม่เข้าใจ แต่มีเพียงนางที่รับรู้ความรู้สึกของเขาได้
ดังนั้นนางจึงรู้ว่าหลายปีมานี้เขาลำบากเพียงใด
และในตอนนี้ ยามได้ยินประโยคนี้ นางเพียงเงียบไปครู่หนึ่งก็หมุนตัวกลับไป
ชุดดำทั้งตัวล้อมรอบด้วยเงาแสงมืดมน หลายปีมานี้นางชินกับการกรำศึกเพียงลำพัง เพราะโลกของนางยังมีคนอีกคน
เพราะฉะนั้น ไม่ได้โดดเดี่ยว
นางไม่ได้กลัวตาย เพียงแต่ตอนนี้นางกลับกลัวหลินสวินเสียใจ
เป็นครั้งแรกที่นางรับรู้ได้ว่า ในใจหลินสวินตนมีความสำคัญถึงเพียงนี้ เหมือนกับที่เขามีความสำคัญในใจของตน
หลินสวินยิ้มแล้ว
ในดวงตาที่เต็มไปด้วยเลือดสะท้อนเงาร่างแบบบางงดงามที่หันกลับมา ฟ้าดารากว้างใหญ่นี้ราวกับไม่มีตัวตน
ชั่วขณะนี้ความโกรธและจิตต่อสู้ที่ประหนึ่งเพลิงโหมทั่วร่างเขาปะทุขึ้นในยามนี้ พุ่งสังหารขึ้นไป
ห้วงอากาศในระยะสิบจั้งหน้าป้อมปราการ หลินสวินราวกับเตาหลอมที่เดือดพล่าน ปลดปล่อยมรรคและวิชาทั้งหมดของตนออกมา
ซย่าจื้อพุ่งสังหารอยู่อีกด้าน ต่อสู้ร่วมกับเขา กลิ่นอายของนางยิ่งดุดัน ทวนกระดูกขาวย้อมด้วยเลือดสด
ไม่มีใครสังเกตเห็น ว่าในดวงตาที่อยู่ภายใต้หมวกคลุมของนางเผยความยินดีซึ่งยากจะเห็น
ตูมโครม!
สัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่ประหนึ่งกระแสน้ำพุ่งมาไม่ขาดสาย ราวกับคลื่นคลั่งดำสนิทกลางสมุทร ตีแนวป้องกันของกำแพงเมืองหมื่นมรรคออก หมายจะกลบทับชายหญิงที่ขวางอยู่ข้างหน้า
เสียงคำรามสะเทือนฟ้า ฝนเลือดแดงสด แสงมรรคที่ปั่นป่วนปะปนเข้าด้วยกัน พลิกม้วนไม่หยุด สั่นไหวอยู่ในฟ้าดาราผืนนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันกับซย่าจื้ออย่างแท้จริง และตั้งแต่ฝึกปราณมาจนถึงวันนี้ นี่เป็นการต่อสู้ที่อันตรายที่สุดที่เขาเคยเจอมา
สถานการณ์เช่นนี้ สภาพการณ์เช่นนี้ เพียงพอจะให้ทุกคนสิ้นหวัง
มองดูชายหญิงที่พุ่งสังหารอยู่ในฟ้าดารา ในใจจักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงพลิกตลบ มีความสะท้านไหวที่พูดไม่ออกอย่างหนึ่ง
ขอบตาเขาถึงขั้นชื้นขึ้นมาแล้ว
ตั้งแต่บรรลุจักรพรรดิจนตอนนี้ไม่รู้กี่ปีแล้ว เขาไม่ได้รู้สึกน้ำตาคลอเบ้าเช่นนี้มานานมากๆ แล้ว เหมือนกับว่าเส้นสายที่บอบบางที่สุดในส่วนลึกของหัวใจถูกสัมผัสอย่างไรอย่างนั้น
ระหว่างความเป็นตาย มีความน่ากลัวมาก
ทว่าชายหญิงคู่นั้นกลับไม่กลัวความเป็นความตายแล้ว!
“ดีจริงๆ ดีจริงๆ เลย…” จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงริมฝีปากสั่น มีชีวิตอยู่ก็ใช่ว่าจะมีความสุข ตายไปก็ใช่ว่าจะน่ากลัว ขอเพียงแค่อยู่ด้วยกัน จะสนใจเรื่องอื่นทำไม
ดีจริงๆ!
ชั่วขณะนี้จักรพรรดิสงครามเฟิงหลิงถึงขั้นอิจฉาคนรุ่นเยาว์สองคนนั้นไม่น้อย อิจฉาที่พวกเขาสามารถต่อสู้ มีชีวิต และตายเพื่ออีกฝ่ายได้!
เลือดสดราวกับสายน้ำพวยพุ่งสาดกระเซ็นอยู่ในฟ้าดารา
สัตว์ประหลาดฟ้าดาราที่เทียบได้กับระดับจักรพรรดิแต่ละตัวถูกโจมตีสังหาร เสียงคำรามดุร้ายดังขึ้นไม่ขาดสาย
หลินสวินและซย่าจื้อล้วนบาดเจ็บทีละน้อย หายใจหอบขึ้นมา
แม้พวกเขาสู้สุดชีวิตในการต่อสู้แล้ว แต่ทัพสัตว์ประหลาดฟ้าดาราครั้งนี้ไม่เพียงมีจำนวนมาก ยังไม่กลัวตายด้วย
ยิ่งไม่ขาดพวกน่าสะพรึงที่เหนือกว่าระดับจักรพรรดิขั้นห้า!
พรวด!
ไม่นานหลินสวินก็กระอักเลือด ใบหน้าซีดเซียว เสื้อผ้าและร่างกายถูกเลือดย้อมแดงนานแล้ว แยกไม่ออกว่าส่วนไหนเป็นเลือดตน ส่วนไหนเป็นเลือดศัตรู
เขาเหลือบมองอย่างไม่ตั้งใจ เห็นว่าซย่าจื้อก็เปื้อนเลือดไปทั้งตัว เสื้อผ้าขาดไปไม่น้อย ผิวพรรณที่เผยออกมาเต็มไปด้วยรอยแผลแดงก่ำ
ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ปริปากพูดสักคำ ยังคงเข่นฆ่าดุดันเหมือนเดิม
แต่ในใจหลินสวินกลับเจ็บปวดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่ายัยนี่บาดเจ็บไม่น้อย แต่กลับต่อสู้อยู่ข้างหน้ามาตลอด คลี่คลายการต่อสู้กว่าครึ่งให้ตน!
บาดแผลเหล่านั้น ได้รับเพราะเขาแทบทั้งหมด!
ตูม โครม!
หลินสวินโคจรกระบวนสังหารไร้ชีพอย่างไม่ลังเล ดอกบัวใหญ่สีเขียวมากมายแผ่ขยายออกมาด้วยอานุภาพปิดคลุมฟ้าดิน บดบังหนทางเบื้องหน้า
เพียงแต่ครั้งนี้กระบวนสังหารไร้ชีพยืนหยัดได้ไม่ถึงครึ่งเค่อเท่านั้นก็ระเบิดเป็นเสี่ยงๆ
สาเหตุอยู่ที่จำนวนของสัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหล่านั้นมากเกินไป ในนั้นถึงขั้นมีตัวที่เทียบได้กับระดับจักรพรรดิขั้นหก
หลินสวินกระตุ้นกระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญอีกอย่างไม่ลังเล
แม้กระบวนค่ายกลนี้จะบกพร่อง แต่พลานุภาพกลับเรียกได้ว่าน่ากลัว อิงตามที่ชิงอิงพูด นี่คือกระบวนค่ายกลสังหารที่สำเร็จไปแล้วครึ่งหนึ่งที่ท่านลู่สร้างออกมา ยังไม่ได้เสร็จสมบูรณ์อย่างแท้จริง ทว่าอานุภาพเหนือกว่ากระบวนสังหารไร้ชีพที่อยู่ในอันดับเก้าทั่วหล้าไปไกลแล้ว
ก็เห็นว่ากลางอากาศปรากฏภาพน่าสะพรึงที่ฟ้าถล่มดินทลาย หมื่นมรรคเสียหาย กระบวนค่ายกลไร้สิ้นสุดพลิกม้วน ในเวลาสั้นๆ ก็สังหารสัตว์ประหลาดฟ้าดาราสิบกว่าตัวแล้ว!
แต่เวลาที่มีให้หลินสวินและซย่าจื้อพักหายใจไม่ได้มีมาก เพียงแค่หนึ่งถ้วยชากระบวนค่ายกลมรรคสิ้นฟ้าอาสัญก็สลายไป
ไม่ใช่ถูกโจมตีจนพัง แต่เพราะสูญเสียพลังจึงโรยรา
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ สัตว์ประหลาดเฒ่าระดับจักรพรรดิแต่ละคนบนกำแพงเมืองหมื่นมรรคต่างยิ้มราวกับยกภูเขาออกจากอก
แต่กลับเต็มไปด้วยความเย้ยหยันและสะใจ
…………………………