Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2513 งานเลี้ยง
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2513 งานเลี้ยง
เมืองยอดยุทธ์ปั่นป่วน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังไปทั่ว
“ในความเห็นข้า หลินสวินตายอยู่ในโบราณสถานมหามรรคไปแล้ว พวกเจ้าต่างไม่รู้ว่าเหตุการณ์ในตอนนั้นยิ่งใหญ่ปานไหน วิญญาณร้ายมืดฟ้ามัวดินกระโจนไปหาเขาคนเดียวอย่างกับคลุ้มคลั่ง”
มหาจักรพรรดิที่เคยเข้าร่วมการทดสอบคนหนึ่งเอ่ยทอดถอนใจอยู่ในหอสุราแห่งหนึ่ง
“ช่วยไม่ได้ ตอนนั้นพวกเรายังเอาตัวไม่รอด ไม่มีทางไปช่วยได้อยู่แล้ว”
“จะว่าไปที่พวกเรารอดกลับมาได้ต่างต้องขอบคุณหลินสวิน ถ้าไม่ได้เขาคนเดียวดึงดูดศัตรูไปตั้งมาก ผู้เข้าร่วมการทดสอบที่รอดออกมาจากโบราณสถานมหามรรคได้คราวนี้ต้องมีไม่กี่คนแน่!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เช่นนี้ดังขึ้นตามที่ต่างๆ ของเมืองยอดยุทธ์
หลินสวินยังไม่กลับมาสักที ทำให้ทุกคนตระหนักได้ว่ามกุฎมหาจักรพรรดิที่เคยสำแดงอานุภาพสะท้านเมืองยอดยุทธ์ผู้นี้ อาจจะเสียท่าในโบราณสถานมหามรรคแล้ว
นี่ช่างน่าเศร้าใจนัก
แต่ที่นี่คือแดนใหญ่พันศึก ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมีมหาจักรพรรดิที่เด่นสะดุดตาดุจสุริยันกล้าไม่รู้เท่าไรพ่ายแพ้ลงที่นี่ กลายเป็นกองกระดูกแห้งเหี่ยว หายลับไปในกาลเวลา
ไม่แน่ว่าเมื่อผ่านไปหลายปีก็จะถูกลืมเลือนไปช้าๆ
“ให้ข้าพูด ต่อให้หลินสวินรอดกลับมาได้ก็เกรงว่าจะรอดต่อไปได้ไม่นาน อย่าลืมสิว่าเขาล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลอย่างตระกูลเหวิน ตระกูลเหิง และตระกูลลั่วโดยสมบูรณ์”
ในเมือง ชายหนุ่มชุดงามหรูผู้หนึ่งแค่นหัวเราะ “ตั้งแต่อดีตจนบัดนี้ มีคนที่เป็นปฏิปักษ์กับเผ่าจักรพรรดิอมตะคนไหนจบสวยบ้างไหม”
“เจ้าแม่งพูดบ้าอะไร”
ไกลออกไปจู่ๆ เผิงเทียนเสียงก็กราดเกรี้ยว ชี้หน้าด่าชายหนุ่มชุดหรูผู้นั้นยกใหญ่
ข้างกายเขา ตู๋กูโยวหรันขมวดคิ้ว กำลังเหม่อมองออกไปในห้วงอากาศ
สีหน้าของชายหนุ่มชุดหรูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังเชิดหน้าเอ่ยว่า “ข้าน้อยเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น แม้สหายยุทธ์ท่านนี้จะโกรธเคืองแค่ไหน แต่ก็เปลี่ยนความจริงที่หลินสวินคนนั้นตายไปแล้วไปได้”
“ผู้แข็งแกร่งตระกูลเหวิน เหิงและลั่วเหมือนจะไม่มีใครรอดกลับมาได้สักคน” จู่ๆ ตู๋กูโยวหรันก็เอ่ยปาก
เผิงเทียนเสียงอึ้งไป “เหมือนจะเป็นอย่างนั้น”
ชายหนุ่มชุดหรูกลับยิ้มขึ้นอย่างอดไม่ได้ “ด้วยกำลังพลของเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลนี้ ไม่มีทางร่วงหล่นแน่”
ขณะที่พูดอยู่ จู่ๆ ใกล้กันนั้นก็มีเสียงอุทานดังขึ้น
ก็พบว่านอกฟ้ามีรุ้งเทพเจิดจรัสสามสายเคลื่อนตัวมา เจิดจรัสสะดุดตา และที่นำหน้ามาก็คือคนที่ทำให้ทุกคนต่างคาดไม่ถึง
“หลินสวิน!?”
ชายชุดหรูตาเบิกกว้าง สีหน้าเหมือนเจอผีกลางวันแสกๆ
“พี่หลิน!” เผิงเทียนเสียงตื่นเต้นจนร้องลั่น ดวงตาทั้งสองเปล่งประกายปรีดาจากใจจริง
ตู๋กูโยวหรันที่อยู่ข้างๆ กันยกยิ้มมุมปาก ในใจก็ลอบถอนใจโล่งอก เจ้าหมอนี่… ไม่เกิดเรื่องได้ง่ายปานนั้นตามคาดจริงๆ
“ถึงกับเป็นเขาจริงๆ!”
“ไม่ได้บอกว่าเขาถูกกองทัพวิญญาณร้ายล้อมอยู่หลายชั้นหรือ นี่คงไม่ใช่บุกทะลวงเปิดทางสายเลือดออกมาดื้อๆ ใช่ไหม”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นในบริเวณใกล้เคียง หลายคนยังตาเบิกกว้าง
ขณะนี้ทั้งเมืองยอดยุทธ์ไม่รู้มีคนมากน้อยเท่าไหร่มองเห็นภาพนี้ ต่างล้วนตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ ถึงกับรอดชีวิตภายใต้สถานการณ์คับขันเช่นนั้นหรือ
โดยเฉพาะผู้ฝึกปราณที่เคยได้เข้าร่วมการทดสอบและเห็นหลินสวินถูกล้อมเหล่านั้น บัดนี้ต่างเหมือนได้เห็นปาฏิหาริย์บังเกิด รู้สึกไม่สมจริง
สวบ!
หลินสวินโรยตัวลงสู่พื้นดินอย่างรวดเร็ว ปรากฏตัวกลางเมือง
“ทำไมเจ้ายังมีชีวิตอยู่ได้” ชายหนุ่มชุดงามหรูคนนั้นถามไปตามจิตใต้สำนึก
ไม่ทันรอให้หลินสวินเอ่ยปาก เยวี่ยตู๋ชิวก็นิ่วหน้าเอ่ยเสียงเย็นชาว่า “หรือเจ้าอยากให้พวกเราตายอยู่ในโบราณสถานมหามรรค”
ชายหนุ่มชุดงามหรูรีบส่ายหัว หัวเราะแหะๆ ว่า “ขะ… ข้าแค่ตกใจมากไปหน่อยเท่านั้นเอง สหายยุทธ์อย่าได้เข้าใจผิดเป็ฯอันขาด”
“เจ้าเป็นคนตระกูลเหวินหรือ” เซี่ยงเสี่ยวหยวนเอ่ยถาม
ชายหนุ่มชุดงามหรูร้องเอ่อ สีหน้าทำอะไรไม่ถูกไปครู่หนึ่ง
ตอนนี้เผิงเทียนเสียงก็ได้สติกลับมา ยิ้มหยันเอ่ยว่า “อ้อ มิน่าเมื่อครู่ถึงทำตัวแปลกเช่นนั้น ที่แท้ก็เป็นคนตระกูลเหวิน!”
ชายหนุ่มชุดงามหรูยิ่งกระอักกระอ่วนหนักกว่าเดิม หมุนตัวคิดจะรีบจากไป
จู่ๆ หลินสวินก็เอ่ยเตือนด้วยความหวังดีว่า “เจ้าไม่ต้องรอแล้ว ก่อนหน้านี้ตอนข้ากลับมา ผู้ฝึกปราณตระกูลเหวิน เหิงและลั่วพินาศไปหมดแล้ว”
เฮือก!
เสียงฮือฮาดังขึ้นใกล้ๆ กัน ผู้คนนับไม่ถ้วนต่างตกตะลึง
ผู้แข็งแกร่งที่เทียบกับเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามตระกูลไม่ติดเหล่านั้นต่างเอาชีวิตรอดกลับมาได้แล้ว แต่ผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลนั้นกลับถูกสังหารไปหมดหรือ
“เป็นไปไม่ได้!” ชายหนุ่มชุดงามหรูผู้นั้นหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่
“เชื่อหรือไม่เจ้าก็ไตร่ตรองเอาเองแล้วกัน”
หลินสวินคร้านจะถือสาคนผู้นี้ เดินไปหาตู๋กูโยวหรันแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้ขอบคุณแม่นางที่มาเตือน”
ตู๋กูโยวหรันประหลาดใจนัก คิดไม่ถึงสักนิดว่าหลินสวินจะถึงกับออกตัวมาขอบคุณ นี่ทำให้นางสงสัยนักว่าหลินสวินถูกกระตุ้นอะไรมาหรือไม่ ตัวเขาจึงผิดปกติไปเช่นนี้
ไม่เช่นนั้นเขา… จะมาขอบคุณตนทำไม
ผิดปกติเกินไปแล้ว!
ไม่ใช่นิสัยเขาเลยสักนิด!
นางอัดอั้นอยู่นานถึงค่อยแค่นหัวเราะเอ่ยว่า “ใครให้เจ้าเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตข้าเล่า ถ้าเจ้าตายไป ข้าจะไปทดแทนบุญคุณใคร”
หลินสวินอึ้งไป ผู้หญิงคนนี้ยังยึดติดเรื่องตอบแทนบุญคุณอยู่หรือ
นี่จะไม่ได้หมายความว่า ภายหน้านางจะปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขาเหมือนวิญญาณตามติดหรือ
“ไม่ต้องตอบแทนบุญคุณแล้ว บุญคุณคราวนี้ก็ถือว่าหายกันแล้ว” หลินสวินรีบเอ่ย
ตู๋กูโยวหรันกลับยิ้มขึ้นมา รู้สึกว่าหลินสวินแบบนี้ถึงปกติ นางเลิกคิ้ว เนตรดาราเผยแววยิ้ม มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย เอ่ยว่า
“จะหายกันหรือไม่ ข้าเป็นคนตัดสิน หาไม่แล้วถ้าให้คนอื่นคิดว่าข้าเป็นคนถ่อยไม่รู้บุญคุณคนหนึ่ง เช่นนั้นก็เท่ากับกำลังให้ร้ายข้า ย่อมยอมไม่ได้เด็ดขาด”
หลินสวินพลันปวดหัวขึ้นมาทันที
ด้านเผิงเทียนเสียงหัวเราะร่าเอ่ยว่า “พี่หลิน นี่โยวหรันยอมรับเจ้าเป็นเพื่อนแล้ว ถึงได้มีเจตนาดีเช่นนี้ ตอนนี้ในเมื่อเจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยแล้วย่อมเป็นเรื่องดีอย่างไม่ต้องสงสัย ไปๆๆ ข้าขอเป็นเจ้าภาพ พวกเราไปฉลองกันดีๆ เถอะ”
“จริงด้วย ยังมีสหายสองคนนี้อีก มาด้วยกันเถอะ” เขาเชิญเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวอย่างแข็งขัน
“ได้” หลินสวินกลับรับปากอย่างรวดเร็ว เพิ่งผ่านการต่อสู้อันตรายมาครั้งหนึ่ง ก็ควรให้ตัวเองผ่อนคลายเสียหน่อย
“ไม่ชวนข้าหรือ” ตู๋กูโยวหรันถาม
เผิงเทียนเสียงตื่นเต้นตัวสั่น เผยรอยยิ้มที่คิดว่าเจิดจ้าที่สุดออกมา เอ่ยด้วยความรู้สึกลึกล้ำ “โยวหรัน ข้าจะเมินเจ้าได้อย่างไร”
หลินสวินเห็นดังนี้จู่ๆ ก็ไม่อยากไปอยู่บ้างแล้ว…
จนกระทั่งพวกเขาทั้งกลุ่มจากไป ชายหนุ่มชุดงามยังยืนนิ่งเหมือนวิญญาณหลุดลอย ตั้งตารอคอยอยู่ตรงนั้นเหมือนก้อนหินคอยสามี
แต่กระทั่งราตรีมาเยือนก็ยังไม่พบคนของเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามตระกูลกลับมา นี่ทำให้เขาตระหนักได้ถึงความสิ้นหวังหาใดเทียบ
เป็นไปได้สูงยิ่งว่าสิ่งที่หลินสวินพูดจะเป็นเรื่องจริง!
ความจริงแล้วก็ในวันนี้เอง ข่าวการกลับมาของหลินสวิน รวมถึงการตายของกองกำลังผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลก็ม้วนตลบไปทั้งเมืองยอดยุทธ์เหมือนลมพายุ
“หลินสวินรอดชีวิตก็เรียกได้ว่าปาฏิหาริย์แล้ว แต่ผู้ฝึกปราณเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลถึงกับไม่มีใครรอดกลับมาเลย เรื่องนี้… ทำไมยิ่งรู้สึกเกินจริง”
หลายคนจิตใจปั่นป่วน
ผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะสามตระกูลมีกำลังพลแข็งแกร่งปานไหน มีบรรพจารย์มรรคหลายคนสั่งการ มีมกุฎมหาจักรพรรดิอีกกลุ่มหนึ่งติดตามไป
ในหมู่ผู้เข้าร่วมการทดสอบ ยังเรียกได้ว่าเป็นกระบวนพลชั้นยอด
แต่ทั้งที่เป็นเช่นนั้น กลุ่มที่มีกำลังพลแข็งแกร่งเช่นนี้กลับไม่มีใครรอดสักคน!
“นี่จะเป็นสิ่งที่หลินสวินนั่นทำหรือไม่ ถึงอย่างไรพวกเขาก็มีความแค้นกันอยู่”
มีคนคาดเดาไปเช่นนี้
แต่ไม่นานนักก็ถูกปัดตก
“ตลกน่า หลินสวินตกอยู่ในวงล้อมหลายชั้น รอดกลับมาได้ก็เหนือความคาดหมายแล้ว จะยังไปสังหารคนของเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามตระกูลนั้นได้อย่างไร พูดจาส่งเดชจริงๆ!”
“ทำไมเจ้าไม่พูดไปเลยล่ะว่าหลินสวินสยบภัยพิบัติในโบราณสถานมหามรรค แก้วิกฤตที่จะมาเยือนเมืองยอดยุทธ์ จะแปะป้ายส่งๆ ก็ใช้สมองหน่อย!”
มีคนหัวเราะหยัน
ถ้าเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวได้ยินคำพูดนี้เข้า เกรงว่าจะต้องยกนิ้วชื่นชมว่าคนผู้นี้ตาแหลมนัก
เพราะคนที่สยบภัยพิบัติที่ปะทุขึ้นในโบราณสถานมหามรรคนั้น แม้ไม่ใช่หลินสวินแต่ก็เกี่ยวข้องกับหลินสวินอย่างใกล้ชิด
กระทั่งพูดได้ว่าถ้าไม่มีหลินสวิน ภัยพิบัติที่ม้วนตลบเหนือเมืองยอดยุทธ์คราวนี้ย่อมไม่อาจเลี่ยงได้!
ในระหว่างที่ในเมืองกำลังอึกทึกครึกโครมอยู่
ในหอสุราแห่งหนึ่ง
แสงโคมเจิดจรัส เสียงดนตรีเสนาะหู
ที่งานเลี้ยง บนโต๊ะตรงหน้าหลินสวิน เซี่ยงเสี่ยวหยวน เยวี่ยตู๋ชิว ตู๋กูโยวหรันและเผิงเทียนเสียงมีสุราชั้นเลิศที่หายากสูงค่าวางเรียง ทั้งยังมีอาหารเลิศรสต่างๆ ละลานตา ล้วนเป็นสำรับชั้นยอดของหอสุรา
ต่อให้ผู้ฝึกปราณทั่วไปมีผลึกต้นกำเนิดจักรวาลมากพอก็ยากจะได้ดื่มด่ำ เพราะวัตถุดิบหลายอย่างในอาหารชั้นเลิศเหล่านี้ต่างมีจำนวนจำกัด
ต่อให้เป็นบุคคลชั้นสูงที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะอย่างเผิงเทียนเสียงก็ยังต้องจองล่วงหน้า
ทว่า
เมื่อตู๋กูโยวหรันมาถึง ทั้งหมดนี้ย่อมไม่ใช่ปัญหา
หอสุราถึงกับนำสุราเซียนที่เก็บไว้นานปีออกมา ว่ากันว่าเป็นของชั้นเลิศที่เก็บไว้ตั้งแต่ยุคก่อน เป็นสิ่งที่คนใหญ่คนโตผู้หนึ่งซึ่งเข้าไปทดสอบในโบราณสถานมหามรรคเมื่อนานมาแล้ว ได้มาจากถ้ำสถิตในเขตผนึกแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ
งานเลี้ยงเช่นนี้ยังทำให้หลินสวินเปิดหูเปิดตา หากอยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดารา ไม่มีมีทางมีวัตถุดิบเช่นนี้อยู่แล้ว จะได้ลิ้มลองยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ในงานเลี้ยงเสียงชนจอกเหล้าสอดประสาน สุขสราญร่วมใจ
มีแต่ตู๋กูโยวหรันที่เหมือนจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่บ้าง จนกระทั่งงานเลี้ยงกำลังจะจบลง จู่ๆ นางก็ยกจอกขึ้น มองหลินสวินอยู่ไกลๆ แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ผู้มีพระคุณหลิน ข้าขอดื่มให้เจ้าจอกหนึ่ง”
ไม่ทันรอให้หลินสวินตอบรับ นางก็แหงนคอขาวกระจ่างเรียวยาวดื่มหมดในอึกเดียว
หลินสวินผงะไปครู่หนึ่ง แล้วจึงยกจอกดื่มจนหมดเช่นกัน
พอเห็นเช่นนี้ตู๋กูโยวหรันก็ยิ้ม ดวงตาทั้งสองหรี่ลงจนเป็นรูปจันทร์เสี้ยว จากนั้นนางก็รินเหล้าอีกจอก เอ่ยกับทุกคนว่า “จอกนี้ ดื่มให้ทุกคน”
ขณะนี้ขนาดเผิงเทียนเสียงยังสังเกตได้ว่าตู๋กูโยวหรันออกจะแปลกพิกล เอ่ยถามอย่างอดไม่ได้ว่า “โยวหรัน หรือเจ้าจะมีเรื่องในใจ”
ก็ในตอนนี้เอง จู่ๆ ในโถงพลันปรากฏมีอานุภาพไร้รูปสายหนึ่ง ทำลายบรรยากาศอันครึกครื้นในงานเลี้ยงลงเหมือนสายลมอันหนาวเหน็บพัดทวนกระแส
ทุกคนต่างตัวแข็งทื่อ ก็พบว่าเงาร่างชายหนุ่มชุดหยกรูปร่างสูง หล่อเหลาหาใดเทียบคนหนึ่งปรากฏตัวในโถงตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
รูปงามสูงส่ง สง่างามมิอาจเทียบ!
เมื่อเขาปรากฏตัว อานุภาพน่ากลัวไร้รูปก็แผ่ขยายออกมา ทำให้เขาดูเป็นดั่งเทพมาเยือนโลก กลายเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในโถงนี้
เผิงเทียนเสียงหายใจติดขัด นิ้วมือสั่นระริก จอกเหล้าในมือเกือบหล่นลงมา
ด้านเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับเยวี่ยตู๋ชิวต่างเผยความหวาดหวั่นลึกล้ำอย่างไม่อาจควบคุม สีหน้าฉงนใจไม่หยุด
ต่อให้เป็นหลินสวิน นัยน์ตายังหดรัดลงเล็กน้อย
คนผู้นี้ อันตรายถึงขีดสุด!
มีแต่ตู๋กูโยวหรันที่เผยสีหน้าจนใจยากสังเกตเห็น
——