Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2522 มองเป็นศัตรูโดยไม่ทราบสาเหตุ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2522 มองเป็นศัตรูโดยไม่ทราบสาเหตุ
ตอนที่ 2522 มองเป็นศัตรูโดยไม่ทราบสาเหตุ
หลินสวินกำลังทอดถอนใจกับตัวเอง ก็เห็นเฒ่าชราที่สีหน้าเป็นมิตร มีสง่าราศีคนหนึ่งเดินเข้ามา เอ่ยอย่างแฝงสีหน้าชื่นชม
“สหายน้อย ข้าเห็นว่าเจ้าหน้าผากกว้าง หน่วยก้านดี มีลักษณ์มงคลที่ยากจะหาในหมื่นคน หากเจ้ายินยอม ข้าสามารถเป็นผู้นำทาง ชี้แนะเส้นทางมรรคอมตะให้เจ้าได้”
คำพูดนี้เห็นได้ชัดว่าเป็นคำลวง แต่กลับถูกเขาพูดเหมือนจริงใจ เผยความชื่นชมทั้งสีหน้าและคำพูด
หลินสวินอดอึ้งไม่ได้ กล่าวว่า “ได้สิ”
เฒ่าชรายิ้มพูดอย่างดีใจ “ห้าวหาญนัก แสวงมหามรรค ที่แก่งแย่งกันก็คือโอกาสสายหนึ่ง ยินดีกับเจ้าด้วยที่วันนี้ได้เจอวาสนาใหญ่แล้ว อ้อจริงสิ สหายน้อยมีนามว่าอะไร”
“หลินสวิน” หลินสวินเอ่ย
“ชื่อเพราะมาก! เอ้อ… เดี๋ยวนะ เจ้าบอกว่าเจ้าชื่อหลินสวินหรือ” เฒ่าชราเพิ่งคิดจะชม แต่พลันมีปฏิกิริยาทันควัน เบิกตาโพลง สั่นไปทั้งตัว กล้ามเนื้อบนใบหน้ากระตุกรุนแรง
“เช่นนั้น… เจ้ามาจากไหน” เฒ่าชราสูดหายใจลึกคราหนึ่งเอ่ยถามออกมา
“ทางเดินโบราณฟ้าดารา” หลินสวินยิ้มพูด
เฒ่าชราเหมือนถูกฟ้าผ่าทั้งตัว อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น ครู่ใหญ่ถึงยิ้มแห่งกล่าว “เอ้อ ข้ามีธุระ ขอตัวก่อน”
สวบ!
จากนั้นก็หายไปเลย
หลินสวินอดยิ้มไม่ได้ เจ้าเฒ่านี่แค่ดูก็รู้ว่าเป็นพวกหลอกลวงที่เพ่นพ่านอยู่ในเมืองนี้ เห็นว่าในเมืองมีกฎห้ามลงมือ ถึงได้กล้ามาหลอกลวงอย่างกำเริบเสิบสานเช่นนี้
ไม่เช่นนั้นคงถูกตบตายไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
ระหว่างทางหลินสวินเห็นภาพเช่นนี้มากมายเช่นกัน เหล่าผู้ฝึกปราณที่เพิ่งเข้าเมือง จะถูกผู้แข็งแกร่งที่มาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะปิดล้อม เชิญชวนพวกเขาอย่างกระตือรือร้น พยายามหว่านล้อมให้เข้าพวก
แต่กลับมีน้อยคนมากที่จะคุยกับหลินสวิน ถึงขั้นที่ยามจำฐานะของเขาได้ คนส่วนใหญ่ล้วนท่าทางเหมือนกลัวหนีไม่ทันอย่างไรอย่างนั้น
กระทั่งเห็นหลินสวินจากไปแล้วถึงพูดคุยกันเบาๆ วิพากษ์วิจารณ์เขา
หลินสวินไม่ได้สนใจ ก่อนมามาเมืองจรดฟ้าเขาก็ได้รู้เรื่องบางส่วนของเมืองนี้ รู้ดีว่าต่อให้เป็นคนที่แค้นตนเข้ากระดูกก็ไม่กล้าลงมือในเมืองนี้
เขาเดินเล่นไปอีกครู่หนึ่ง หลังจากคุ้นเคยกับสภาพในเมืองคร่าวๆ แล้วหลินสวินก็ไม่ร่ำไรอีก เดินเข้าร้านค้าแห่งหนึ่งทันที
หนึ่งเค่อหลังจากนั้น
ยามหลินสวินออกจากร้าน ทรัพย์หลังศึกที่รวบรวมมาได้ตลอดทางนี้ ส่วนใหญ่ล้วนเปลี่ยนเป็นผลึกต้นกำเนิดจักรวาลแล้ว
นี่เป็นความเคยชินที่เขาบ่มเพาะมาในช่วงหลายปีมานี้ ทุกครั้งที่เข้าเมืองหนึ่ง จะต้องขายสิ่งที่ไม่มีประโยชน์ออกไป แลกกับผลึกต้นกำเนิดจักรวาล
หากเจอสมบัติที่มีประโยชน์กับตน ก็จะซื้อไว้อย่างไม่เกรงใจ
สิบแปดปีตั้งแต่ไปจากเมืองยอดยุทธ์จนถึงตอนนี้ แค่ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งที่มี ก็มากถึงหนึ่งหมื่นสามพันล้านแล้ว!
ส่วนเจตวัตถุ ลูกกลอนโอสถและสมบัติ ยิ่งกองเป็นภูเขา นับไม่หวาดไม่ไหว
จากคำพูดที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของนกกระจอกเขียว ความมั่งคั่งที่หลินสวินมีในตอนนี้ ถึงขั้นสามารถทำให้ระดับอมตะไม่น้อยก้มหน้าด้วยความละอาย!
จากนั้นหลินสวินก็เริ่มเข้าไปเยือนในร้านต่างๆ ภายในเมือง หากเจอสมบัติที่เข้าตาก็จะซื้อไว้
ครึ่งวันผ่านไปก็ใช้ผลึกต้นกำเนิดจักรวาลไปห้าสิบกว่าล้านแล้ว ทำให้เจ้าของร้านไม่รู้เท่าไหร่ยกให้เป็นแขกสำคัญ กระตือรือร้นอย่างมาก
ตอนที่หลินสวินคิดจะหาศิลาศึกข้ามแดนในเมือง ชายชุดเทาคนหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างลึกลับ สื่อจิตเสียงเบา ‘สหายยุทธ์ ต้องการรายชื่อฉบับหนึ่งหรือไม่’
‘รายชื่ออะไร’ หลินสวินถาม
‘สมรภูมิทวยเทพกำลังจะเปิดฉากแล้ว สหายยุทธ์ไม่อยากรู้หรือว่าครั้งนี้จะมีผู้แข็งแกร่งเท่าไรเข้าร่วม ข้ามีรายชื่ออย่างละเอียดชุดหนึ่ง รับรองว่าสามารถทำให้สหายยุทธ์รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง’ ชายชุดเทายิ้มพูด
‘ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้’
หลินสวินเข้าใจทันที สุดท้ายจ่ายผลึกต้นกำเนิดจักรวาลชั้นหนึ่งพันกว่าก้อน ซื้อรายชื่อนี้มาฉบับหนึ่ง
พลิกอ่านลวกๆ คราหนึ่งหลินสวินก็ค้นพบอย่างน่าประหลาด ว่าบนรายชื่อนี้ แค่ผู้แข็งแกร่งที่มาจากโลกยอดนิรันดร์ก็มีเจ็ดส่วนแล้ว!
มีมากถึงห้าพันกว่าคน!
แต่เมื่ออ่านอย่างละเอียดแล้วพบได้ไม่ยาก ว่าแม้คนจะมาก แต่ส่วนใหญ่ล้วนมาจากขุมอำนาจต่างกัน ออกเดินทางกันเป็นกลุ่มก้อน
น่าเสียดาย รายชื่อฉบับนี้แสดงข้อมูลเพียงแค่ชื่อและฐานะ เรียบง่ายมาก ไม่ได้มีค่าเท่าไหร่
แต่ในรายชื่อฉบับนี้กลับทำให้หลินสวินพบชื่อที่คุ้นเคยไม่น้อย
อย่างเฟิงจวินหลินที่เคยถูกตนชิง ‘โลกศาสตราจตุลักษณ์’ หรือเซี่ยงเสี่ยวหยวน เยวี่ยตู๋ชิวเป็นต้น
แต่ที่มากกว่าล้วนเป็นชื่อที่รู้จักแต่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์
แดนใหญ่พันศึกใหญ่เกินไป และหลายปีมานี้หลินสวินก็เดินทางเพียงลำพังมาโดยตลอด น้อยมากที่จะมีโอกาสไปทำความรู้จักบุคคลชั้นยอดที่ผ่านการต่อสู้มานับไม่ถ้วน และมาถึงเมืองจรดฟ้าแห่งนี้เหมือนเขาในท้ายที่สุด
อย่างชางฝูเซิงและคนสะพายดาบ อันดับสองและสามบนประกาศจับ เขาก็รู้เพียงชื่อ ไม่เคยเจอ
หลินสวินเก็บใบรายชื่อลงไป ไม่นานก็มาถึงบริเวณที่ศิลาศึกข้ามแดนตั้งอยู่
ทั้งแดนใหญ่พันศึกมีศิลาศึกข้ามแดนทั้งหมดเก้าแห่ง ตั้งกระจายอยู่ในด่านนภาอมตะที่แตกต่างกัน
ศิลาศึกข้ามแดนแห่งเมืองจรดฟ้าก็คือหลักสุดท้าย
ตลอดเวลาที่ผ่านมา ขอเพียงเป็นผู้แข็งแกร่งที่มาถึงเมืองนี้ หากต้องการมุ่งหน้าไปโลกยอดนิรันดร์ ต้องมาที่ศิลาศึกข้ามแดน ดำเนินการทดสอบครั้งสุดท้าย
บ้างทำเพื่อให้ได้ทิ้งชื่อไว้บนนั้นเป็นครั้งสุดท้าย
บ้างมีชื่อบนกระดานแล้ว คิดจะทดสอบอันดับท้ายสุดในแดนใหญ่พันศึกของตน
ศิลาศึกข้ามแดนที่ตั้งอยู่ปานเทียมฟ้า แผ่คลื่นพลังที่ลึกลับคลุมเครือออกมา
เมื่อหลินสวินมาถึง พื้นที่บริเวณนี้มีเงาร่างมากมายมารวมตัวกันนานแล้ว กลิ่นอายล้วนแข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่มีข้อยกเว้น
บางคนยิ่งเป็นพวกน่าสะพรึงอย่างระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ
แม้หลินสวินเคยเจอเหตุการณ์ใหญ่มามากมาย แต่เมื่อได้เห็นภาพเช่นนี้ก็อดทอดถอนใจไม่ได้
ระหว่างทางยากลำบากและอันตรายเพียงใด คนที่ตอนนี้สามารถมารวมตัวกันที่นี่ได้ เป็นบุคคลชั้นยอดบนเส้นทางจักรพรรดิอย่างไม่ต้องสงสัย!
วู้ม!
ขณะที่หลินสวินมาถึง หน้าศิลาศึกข้ามแดนนั่นมีคนผู้หนึ่งกำลังทดสอบอยู่ ทั้งยังทำให้เกิดคลื่นแปลกประหลาดรุนแรง ละอองแสงอันงดงามสาดลงมาจากป้ายศิลา ปกคลุมคนผู้นั้นไว้ภายใน
“ปรากฏการณ์ที่น่าตกใจนัก!”
“คิดไม่ถึงว่าแปดพันปีมานี้ ชางฝูเซิงคนนี้ทำการทดสอบครั้งแรกก็สามารถสร้างความเคลื่อนไหวขนาดนี้ได้ นี่ก็ทิ้งชื่อไว้บนกระดานเร้นลับนั่นแล้ว”
“ดูจากปรากฏการณ์ประหลาดนี้ เขาคงจะอยู่ในสามร้อยอันดับแรก”
“น่ากลัวมาก!”
เสียงวิพากษ์วิจารณ์ระลอกหนึ่งดังขึ้นบริเวณนั้น หลายคนสีหน้าแตกต่างกันไป
ไม่นานคลื่นบนศิลาศึกข้ามแดนก็กลับสู่ความสงบ ชางฝูเซิงหมุนตัวไปจากตรงนั้น
และก็เป็นตอนนี้ที่หลินสวินได้เห็นรูปลักษณของอีกฝ่ายชัดเจน ในใจอดลอบพยักหน้าไม่ได้ คนผู้นี้ดูเหมือนเย่อหยิ่งยโสโอหัง แต่กลิ่นอายกลับแข็งแกร่งอย่างที่สุด โดดเด่นกว่าคนทั่วไป
“สหายน้อย หากเจ้ายินยอม ข้ายินดีเชิญเจ้ามาเป็นผู้อาวุโสต่างสกุลของตระกูลหนานของข้า และรับรองว่าจะให้ทรัพยากรฝึกปราณเพื่อแจ้งมรรคบรรลุมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิกับเจ้า”
เสียงแหบพร่าแก่ชราสายหนึ่งดังขึ้น นั่นเป็นเฒ่าชราผมเงินคนหนึ่ง ข้างกายมีคนมากมายรายล้อม ดูก็รู้ว่าฐานะไม่ธรรมดา
ในที่นั้นพลันฮือฮา
ตระกูลหนาน!
นั่นเป็นถึงขุมอำนาจใหญ่ของน่านฟ้าที่เจ็ด ไม่ใช่ตระกูลที่เผ่าจักรพรรดิอมตะทั่วไปจะเทียบได้สักนิด!
ชั่วขณะหนึ่งสายตาที่คนไม่น้อยมองไปยังเฒ่าชราผมเงินคนนั้นล้วนเปลี่ยนไป เผยความเคารพนับถือ และชางฝูเซิงในตอนนี้ก็กลายเป็นคนที่หลายคนในที่นี้อิจฉาอย่างไม่ต้องสงสัย
กลับเห็นชางฝูเซิงอึ้งงัน พูดอย่างประหลาดใจ “ผู้อาวุโสไม่กังวลว่าเคราะห์สังหารในฐานะคนร้ายของข้าจะทำให้พวกเจ้าลำบากหรือ”
เฒ่าชราผมเงินยิ้มพูด “ปัญหาเหล่านั้นของเจ้า สำหรับตระกูลหนานของข้าแล้วเป็นเพียงแค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”
ชางฝูเซิงเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยว่า “รอข้าสามารถรอดชีวิตกลับจากสมรภูมิทวยเทพได้ ค่อยมาคุยเรื่องนี้”
พูดจบเขาก็หมุนตัวจากไป
เฒ่าชราผมเงินลูบหนวดพร้อมรอยยิ้ม “ได้ ข้าจะรอข่าวดีของเจ้า”
“เอ๋!”
จู่ๆ ชางฝูเซิงก็ชะงักเท้า สายตามองไปยังหลินสวิน จากนั้นพลันเผยรอยยิ้มออกมา กล่าวว่า
“คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็มาแล้ว แม้ไม่เคยเจอแต่ได้ยินชื่อมานาน ข้ายิ่งคาดหวังกับการเข้าสู่โบราณสถานทวยเทพครั้งนี้ยิ่งขึ้นแล้ว”
ไม่เคยรู้จักกันแต่กลับเป็นฝ่ายพูดเช่นนี้ก่อน เห็นได้ชัดมากว่าในใจชางฝูเซิงมองหลินสวินเป็นคนสำคัญอย่างมากนานแล้ว
และตอนนี้ทุกคนบริเวณศิลาศึกข้ามแดนก็มองตามสายตาของเขาไปยังหลินสวิน ทำให้ในที่นั้นเกิดความฮือฮาทันที
“เป็นเขา!”
“คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะกล้าปรากฏตัวที่นี่ คราวนี้ก็นับว่าได้เห็นเขาตัวจริงแล้ว”
ทันใดนั้นบรรยากาศบริเวณนั้นก็เปลี่ยนไป ทำให้หลินสวินกลายเป็นจุดสนใจของทุกสายตา
แต่ขณะเดียวกัน หลินสวินก็สังเกตเห็นว่ามีสายตาไม่น้อยที่ไม่ปกปิดความชิงชังตกอยู่ที่ตัวเขา
ทว่าเมื่อหลินสวินมองไป กลับพบว่าเจ้าของสายตาชิงชังเหล่านั้นล้วนเป็นคนแปลกหน้า ไม่รู้จักสักนิด
เขาไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้
เรื่องความเกลียดชังยากจะเข้าใจอย่างแท้จริง เขาเองก็คร้านจะเปลืองแรงไปสืบหาว่าเหตุใดเจ้าของสายตาเหล่านี้ชิงชังเขาเพราะอะไร
สรุปคือ รับมือไปตามสถานการณ์ก็เป็นพอ
หลายปีมานี้ในบรรดาคู่ต่อสู้ที่เขาฆ่า ก็ไม่ขาดบุคคลเช่นนี้
“หึ! ช่างกล้ามากจริงๆ!”
เฒ่าชราผมเงินที่มาจากตระกูลหนานแค่นเสียงขึ้นจมูกอย่างเย็นเยียบ ไม่ปกปิดความชิงชังที่มีต่อหลินสวินสักนิด
เห็นเช่นนี้หลินสวินกลับไม่เข้าใจแล้ว เอ่ยว่า “เจ้าเฒ่า ข้าคิดดูแล้วก็ไม่เคยผูกแค้นอะไรกับคนตระกูลหนานของเจ้า เจ้ามีท่าทีเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร”
ในที่นั้นพลันเงียบกริบ บรรยากาศตึงเครียดขึ้นมาทันที
หลายคนต่างจุ๊ปาก คิดไม่ถึงว่ายามหลินสวินเผชิญหน้ากับเฒ่าชราผมเงิน จะถึงกับไม่เกรงใจเช่นนี้ นี่เหนือความคาดหมายของพวกเขานัก
ก็เห็นเฒ่าชราผมเงินสีหน้าอึมครึมโดยพลัน กล่าวว่า “เจ้าตัวจ้อย รอเจ้าตายเมื่อไหร่ บางทีก็อาจจะรู้คำตอบ!”
หลินสวินเลิกคิ้ว อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ “เฒ่าสวะก็ทำได้แค่คุยโว ไม่อยากสนใจเจ้าแล้ว”
ว่าพลางเดินตรงไปยังศิลาศึกข้ามแดน
ตอนนี้ไม่มีใครรอทดสอบ ทำให้เขาที่เพิ่งมามีโอกาส
ถูกหลินสวินด่าว่าเฒ่าสวะ เฒ่าชราผมเงินโกรธจนใบหน้ามืดทะมึน เหล่าผู้ติดตามข้างกายเขายิ่งเดือดดาลยกใหญ่ ต่างด่าทอหลินสวิน
แต่ถูกหลินสวินมองข้ามทั้งหมด
ในเมืองจรดฟ้าแห่งนี้ไม่สามารถลงมือได้จริงๆ อีกฝ่ายไม่กล้าทำอะไรเขา จึงทำได้เพียงเอาคำพูดมาข่มขู่เท่านั้น ไม่มีการคุกคามให้พูดถึงสักนิด
เห็นภาพนี้ทุกคนในที่นั้นต่างมองหน้ากันไปมา
หลินสวินคนนี้กำเริบเสิบสานเหมือนในข่าวลือจริงๆ แม้แต่คำขู่ของคนตระกูลหนานยังไม่เห็นอยู่ในสายตา!
——