Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2537 โผเข้าสู่อ้อมกอด
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2537 โผเข้าสู่อ้อมกอด
ตอนที่ 2537 โผเข้าสู่อ้อมกอด
เงาร่างของหลินสวินปรากฏตัวขึ้นบนแท่นมรรคแห่งหนึ่ง
สี่ทิศเวิ้งว้าง มีแต่พยับหมอกสีขาวดุจควันเต็มไปหมด
ไม่นานนักเสียงเซียนสายหนึ่งดังขึ้น ท่ามกลางความเลือนราง ในพยับหมอกนั่นเสมือนปรากฏม้วนตำรางามวิจิตรเจิดจรัส คลี่แผ่ออก บนนั้นผุดกลิ่นอายมรดกลึกลับคลุมเครือนับไม่ถ้วน
‘ตำรามรรคต้นกำเนิด!’
หลินสวินหัวใจสะท้าน ข่าวลือถึงกับเป็นจริงเช่นนั้นหรือ
ก่อนจะเข้าสู่โบราณสถานทวยเทพ เขาก็เคยได้ยินว่าในศึกฟ้าเลือกสรรของยุคก่อน ผู้ที่ได้รับชัยชนะเก้าครั้งติดต่อกันในศึกครองสังเวียนต่างได้รับรางวัลอย่างหนึ่ง
รางวัลที่ว่านี้ก็คือ ‘ตำรามรรคต้นกำเนิด’ จากตำหนักเซียนใจกลาง
ลือกันว่านี่คือโครงร่างมรดกของโลกมรรคเซียน รวบรวมมรดกวิชามรรคสามพันชนิดที่แข็งแกร่งสูงสุดตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันในโลกมรรคเซียน เรียกว่าเป็นต้นกำเนิดของวิชาทั้งหมดในโลกมรรคเซียน!
ในยุคก่อน ตำหนักเซียนใจกลางก็คือสถานสูงสุดที่ปกครองหมื่นดินแดน ตำรามรรคต้นกำเนิดที่พวกเขาประพันธ์ขึ้น ถูกมองเป็นคัมภีร์มรรคอันดับหนึ่งของโลกมรรคเซียน!
แต่สุดท้ายนี่ก็เป็นเพียงข่าวลือ หลินสวินไม่คิดด้วยซ้ำว่ายุคก่อนล่มสลายไปไม่รู้กี่กาลเวลาแล้ว แต่ตำรามรรคต้นกำเนิดนี่กลับยังคงมีอยู่ …
หลินสวินสูดหายใจลึก รวบรวมสมาธิสัมผัส
‘วิชาเก้าแหล่งขับเคลื่อนเซียน สามารถบุกเบิกบ่อเกิดเก้าเซียนใหญ่ มรรครองรับเก้าวัง แปรนัยหยินหยางขุ่นใส หากเคี่ยวกรำถึงขีดสูงสุด สามารถขมวดรวมแก่นเซียนเก้าชั้น ทำให้ผู้เคี่ยวกรำครอบครองมรรควิถีเก้าเท่า…’
‘หนังสือนภาใหญ่แปรดารา สามารถสั่งการพลังมวลหมู่ดารา หลอมดวงดาวเข้าสู่ตำราต้นกำเนิด มีชื่อเรียกอีกอย่างว่าตำราแห่งดวงดาว สามารถสยบจักรวาลหนึ่งได้…’
‘คัมภีร์มารเซียนกลียุค คล้ายเซียนไม่ใช่เซียน ดุจมารมิใช่มาร กลิ่นอายผสานเซียน ร่างกายหลอมมาร เมื่อโคจร สามารถครอบครองพลังแห่งกลียุค เท้าเหยียบฟ้าดิน ไร้ขื่อไร้แปร…’
‘มรรคจักรพรรดิทั่วหล้า…’
กลิ่นอายมรดกสูงสุดของมรรคเซียนหลากชนิดไหลทะลักเข้าสู่จิตใจหลินสวินราวกระแสน้ำนับพันนับหมื่น ส่องแสงพริบวาบไม่หยุด
ชั่วอึดใจนี้หลินสวินพลันกระจ่าง ตระหนักได้ว่าขอเพียงตนตัดสินใจใช้จิตรับรู้ยึดครองพลังมรดกหนึ่งในนั้น รางวัลนี้ก็จะสิ้นสุดลง
เพียงแต่…
นี่ช่างตัดสินใจยากเกินไปจริงๆ
ไม่ใช่เพราะพลังสูงสุดของยุคก่อนเหล่านั้นไม่แข็งแกร่งมากพอ ตรงกันข้าม แต่ละอย่างล้วนมีผลอัศจรรย์เฉพาะตัวยิ่งยวด ทำให้หลินสวินไม่รู้ว่าควรเลือกอะไรดี
เขานิ่งเงียบครู่หนึ่ง สายตาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นใสกระจ่างเยือกเย็นขึ้นมา ‘มรรควิถีในปัจจุบันของข้าไม่ขาดแคลนมรดกอะไร ต่อให้ไม่มีรางวัลครั้งนี้ ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อมรรควิถีของข้า…’
‘เช่นนั้น สิ่งที่ข้าต้องการมากที่สุดตอนนี้คืออะไร’
สภาวะจิตของหลินสวินเปลี่ยนเป็นเยือกเย็นดุจหิมะ ไม่ได้รับผลกระทบจากมรดกล่อใจต่างๆ อีก เริ่มพิจารณามรรคาของตนเอง
เนิ่นนานเขาถึงตัดสินใจ
ก็เหมือนการทะลวงมารในใจ ทำให้จิตใจหลุดพ้นกรงขัง เมื่อจิตรับรู้ส่องแสงพริบวาบ ก็ตกลงบนม้วนตำราที่แปลงเป็น ‘ตำรามรรคต้นกำเนิด’
สภาวะจิตของเขาไร้กิเลสไร้ต้องการ ตัดสินใจปล่อยไปตามบุญวาสนา…
ทว่าก็เป็นเวลานี้ เสียงอื้ออึงพิสดารดังขึ้น ตำราหยกขาวกระจ่างดุจหิมะพริบวาบมาอยู่อยู่ตรงหน้าหลินสวิน
จากนั้นระเบียบมรรคเซียนที่เร้นลับสุดหยั่งทั้งปวงแผ่สยาย ละอองแสงงดงามไหลเวียน
นี่เหมือนสิ่งล่อลวงอย่างที่สุด ไม่ต้องให้หลินสวินไปเลือกสรร และไม่ต้องให้ตำราหยกศุภโชคเป็นฝ่ายออกโจมตีเอง แต่ตำรามรรคต้นกำเนิดที่นั่นกลับสั่นระริกราวกับสัมผัสได้ถึงเสียงเพรียกหา
ครู่ต่อมาพลังมรดกนับไม่ถ้วนในตำรามรรคต้นกำเนิดแปลงเป็นแสงสายแล้วสายเล่า เป็นฝ่ายทะยานออกจากม้วนตำรานั่นเข้าสู่อ้อมกอดของตำราหยกศุภโชคเอง…
หลินสวินอึ้งไปในทันที สีหน้าเผยแววไม่อยากเชื่อ
พักใหญ่กว่าเขาจะเริ่มเข้าใจรางๆ ตำราหยกศุภโชคถูกเรียกว่าเป็นตำราที่รวบรวมพลังระเบียบสูงสุดของโลกมรรคเซียน มีกฎเกณฑ์สี่พันเก้าร้อยแคว้นทั่วโลกมรรคเซียน…
ส่วนตำรามรรคต้นกำเนิด ถูกเรียกว่าตำรามรรคสูงสุดอันดับหนึ่งแห่งโลกมรรคเซียน รวบรวมมรดกมรรคเซียนทั้งปวง
แต่วิชามรรคมรดก หากไร้ ‘มหามรรค’ เป็นบ่อเกิด สุดท้ายก็เป็นเพียงเคล็ดวิชาไร้รากฐาน เหมือนจอกแหนลอยเหนือน้ำ อาจถูกหยั่งรู้และครอบครองได้ แต่หาใช่ ‘บ่อเกิดดั้งเดิม’
ก็เหมือนอย่างหลินสวิน หากเลือกเคี่ยวกรำมรดกหนึ่งอย่างภายในนั้น ก็ทำได้เพียงหยั่งรู้นัยเร้นลับในนั้น ผสานมันกับมหามรรคที่ตนครอบครองและนำมาใช้สอย แต่กฎเกณฑ์มรรคเซียนที่เข้าคู่กับมรดกนี้กลับไม่สามารถครอบครองได้
แต่การมีอยู่ของตำราหยกศุภโชค สามารถแก้ไขปัญหา ‘แก่นภายใน’ ของตำรามรรคต้นกำเนิดทั้งหมดได้อย่างไม่ต้องสงสัย เนื่องจากสิ่งที่บรรจุในตำราหยกคือพลังระเบียบมหามรรคสมบูรณ์แบบที่เป็นส่วนหนึ่งของมรรคเซียน
มรดกชนิดในก็ตามในตำรามรรคต้นกำเนิด ล้วนสามารถได้รับนัยเร้นลับมหามรรคที่เหมาะสมกันจากตำราหยกศุภโชค!
สรุปแล้ว ตำราหยกศุภโชคก็คือบ่อเกิดมหามรรคของตำรามรรคต้นกำเนิด!
เมื่อคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจว่าเหตุใดเมื่อตำราหยกศุภโชคปรากฏ ตำรามรรคต้นกำเนิดก็ ‘โผเข้าสู่อ้อมกอด’ ทันทีอย่างง่ายดาย
‘นี่ไม่ได้หมายความว่า รางวัลครองสังเวียนในครั้งนี้ทำให้ข้าได้รับตำรามรรคต้นกำเนิดทั้งฉบับมาหรือ…’ สายตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นพิกลขึ้นมา
นี่เรียกว่าไม่ได้ตั้งใจปลูกหลิวแต่ได้ร่มเงาชัดๆ
ไม่นานนักตำราหยกศุภโชคแปลงเป็นแสงสีขาวสายหนึ่งพุ่งเข้าในร่างหลินสวิน
ยังดี นี่เป็นช่วงสุดท้ายของการปิดฉากศึกครองสังเวียน ผู้ฝึกปราณที่ผ่านด่านในเจ็ดวันล้วนได้รับรางวัล และเข้าสู่ด่านที่สอง ‘ล่าสัตว์’ ไปนานแล้ว
หาไม่ หากมีคนครองสังเวียนสำเร็จอีก เกรงว่าคงไม่ได้รับรางวัลจากตำรามรรคต้นกำเนิดอีกต่อไปแล้ว…
สวบ!
ไม่นานรุ้งเทพสายหนึ่งร่วงจากฟ้า ตกลงมาบนตัวหลินสวินที่ยืนนิ่งอยู่บนแท่นมรรค จากนั้นเงาร่างของเขาก็เลือนหายไปจากแท่นมรรคนั่น
…
นอกโบราณสถานทวยเทพ
เงาร่างน่ากลัวมากมายที่มีพลังปราณเหนือกว่าระดับบรรพจารย์นานแล้ว เฝ้ารออยู่ที่นี่เจ็ดวันแล้ว
เมื่อศึกครองสังเวียนปิดฉาก ร่างผู้ฝึกปราณที่ถูกคัดออกจำนวนมากถูกบังคับพาตัวออกมาตามรอยแยกที่เชื่อมสู่โลกภายนอกสายหนึ่ง
“คนถูกคัดออกเยอะขนาดนี้เชียวหรือ”
มีคนประหลาดใจ
ผู้ฝึกปราณที่เข้าสู่โบราณสถานทวยเทพครั้งนี้มีมากราวสามหมื่นคน
แต่ตอนนี้ ถึงกับถูกคัดออกมากกว่าครึ่ง!
“เหลือน้อยกว่าหนึ่งในสิบ ดูท่าข่าวลือจะเป็นจริง ศึกครองสังเวียนที่เป็นของยุคก่อนน่ากลัวยิ่งจริงๆ…”
มีคนพึมพำ เจือแววทอดถอนใจ
“นี่แค่คนที่ถูกคัดออกจากด่านแรกเท่านั้น เกรงว่าพวกที่ตายในศึกครองสังเวียนก็คงไม่ใช่น้อย เมื่อเทียบกันแล้ว ด่านที่สอง ‘ล่าสัตว์’ คงดุเดือดเลือดสาดกว่ากันแน่ๆ…”
มีคนขมวดคิ้ว
โบราณสถานทวยเทพมีความเกี่ยวข้องกับศึกฟ้าเลือกสรรที่ตำหนักเซียนใจกลางยุคก่อนจัดขึ้นทุกๆ แสนปี และในข่าวลือ ศึกฟ้าเลือกสรรเป็นศึกคัดเลือดที่อำมหิตที่สุดของยุคก่อน!
“อะไรนะ!?”
ทันใดนั้นเงาร่างสูงตระหง่านที่อาบอยู่กลางแสงมรรคหมื่นชั้นส่งเสียงเดือดดาลขึ้นมา
เขาเป็นชายที่มาดสุขุม เครายาวไหวพลิ้ว ท่วงท่าราวกับเทพ กฎเกณฑ์อมตะเป็นริ้วๆ รายล้อมทั่วร่าง อานุภาพเทียมฟ้า
หนานเฟยตู้!
ระดับอมตะคนหนึ่งจากตระกูลหนาน
เวลานี้คนตระกูลหนานทั้งกลุ่มต่างก้มหน้า เงียบปานจักจั่นหน้าหนาว สีหน้าเต็มไปด้วยความอัดอั้นและขมขื่น
ก่อนหน้านี้พวกเขาเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในศึกครองสังเวียนออกมา ไม่กล้าปิดบังแต่อย่างใด
และหนานเฟยตู้เมื่อได้ยินข่าวร้ายนี้ก็ราวกับถูกสายฟ้าฟาดกลางวันแสกๆ
การตายของหนานหย่งเชียง หนานเทียนเจิง หนานเทียนป้าทำให้เขาเศร้าใจ และความจริงที่ว่าทุกคนในตระกูลหนานถูกคัดออกทั้งหมดก็ทำให้เขาเดือดดาลโดยสมบูรณ์
หลินสวินคนเดียวถึงกับทำลายภารกิจแสวงหา ‘นัยเร้นลับสูงสุด’ ของพวกเขาตระกูลหนานทั้งตระกูล!
สิ่งที่น่าอดสูที่สุดคือ ในศึกครองสังเวียน ตระกูลหนานของพวกเขาทำเสียหน้าเสื่อมเกียรติ ข่าวนี้ย่อมปิดไม่มิดอย่างแน่นอน
ดังคาด ในพื้นที่ใกล้เคียงมีเสียงวิพากษ์วิจาร์ระลอกหนึ่งดังนั้น ล้วนเกี่ยวกับเรื่องที่คนตระกูลหนานของพวกเขาถูกหลินสวินคนเดียวเขี่ยออกทั้งหมด
นี่ทำให้ใบหน้าของหนานเฟยตู้เริ่มปั้นไม่อยู่ เขียวคล้ำจนไม่น่าดู
“พี่เฟยตู้ ไม่ต้องอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้หรอก ต่อให้หลินสวินนี่บ้าคลั่งแค่ไหน แต่ครั้งนี้ต้องตายอย่างไร้ข้อกังขา!”
ไกลออกไปหญิงสวมชุดสีทอง ฝ่ามือมีกระบี่บินสีขาวหิมะลอยอยู่คนหนึ่งเอ่ยพูด
นางรูปร่างสูงเพรียวยิ่งยวด มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ผมสีดำเข้มมวยม้วน เผยให้เห็นใบหน้างามเลิศล้ำ พลังกฎเกณฑ์อมตะสีทองเป็นสายๆ ขับเน้นให้นางดุจดั่งเทพกระบี่หญิงในตำนาน ทั้งยังเป็นเทพกระบี่หญิงผู้งดงามเพริศแพร้วอีกด้วย
กู้หลิงเจิน ระดับอมตะจากตระกูลกู้ ในน่านฟ้าที่เจ็ดก็เป็นคนน่าสะพรึงที่ชื่อเสียงเลื่องระบือยิ่งยวดผู้หนึ่ง
“เฮอะ!”
หนานเฟยตู้สีหน้ามืดทะมึน พูดได้หน้าตาเฉย เพราะคนที่เสียหน้าไม่ใช่ตระกูลกู้ของพวกเขาน่ะสิ!
แต่เขาก็รู้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไปแล้วไม่สามารถแก้ไขได้ ทำได้เพียงรอต่อไป รอถึงคราวที่ทุกอย่างนี้ปิดฉากลงจึงจะมีโอกาสสังหารหลินสวิน
แน่นอน เงื่อนไขแรกคือหลินสวินต้องไม่ตายในศึกฟ้าเลือกสรร
“ด่านที่สองล่าสัตว์จะดำเนินการใน ‘แดนเซียนว่างเปล่า’ ผู้แข็งแกร่งเหล่านั้นที่ครองสังเวียนสำเร็จล้วนจะล่าสัตว์ในนั้น ทุกคนล้วนเป็นผู้ล่า และทุกคนต่างเป็นเหยื่อ”
ชายชราชุดเทาที่ขี่หลังแรดเขียวคนหนึ่งขยับเข้ามาใกล้ “ระยะเวลาล่าสัตว์คือสามวัน มีเพียงผู้รอดชีวิตเท่านั้นจึงจะมีโอกาสเข้าสู่ด่านที่สาม ‘ชิงบัลลังก์’ ในการห้ำหั่นเช่นนี้ หลินสวินนี่อาจไม่รอดออกมา”
ชายชราดูมีสง่าราศี ถือบรรทัดหยกสีม่วงอ่อนเล่มหนึ่ง ท่วงท่าเยือกเย็น แรดเขียวที่เขานั่งอยู่ส่ายหน้าเบาๆ แลดูเชื่องว่าง่าย
ลี่ซางจวิน!
ระดับอมตะคนหนึ่งจากตระกูลลี่
“เจ้าหมอนี่เพิ่งมีปราณระดับมกุฎจักรพรรดิขั้นแปด ก็สามารถอาศัยพลังต่อสู้ของตัวเองสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิได้แล้ว แค่ล่าสัตว์ด่านเดียวมีหรือจะคุกคามชีวิตเขาได้”
หนานเฟยตู้สีหน้าอึมครึมยิ่งยวด “ทุกท่านไม่ต้องปลอบข้าหรอก เจ้าตัวจ้อยนี่พลังต่อสู้เย้ยฟ้า น่ากลัวมากอย่างไร้ข้อกังขา ข้ากลับอยากเตือนทุกท่าน ว่าพวกท่านต้องเตรียมตัวให้พร้อม ตระกูลหนานของข้าหมดสภาพแล้ว คนเหล่านั้นในตระกูลของพวกท่าน… ไม่แน่ว่าอาจประสบอันตรายอะไร…”
พูดยังไม่ทันจบประโยคกลับทำให้กู้หลิงเจินที่เลอโฉมงดงามและลี่ซางจวินที่มีสง่าราศีต่างอดขมวดคิ้วไม่ได้ เจ้าเฒ่านี่ ตระกูลตัวเองเสียหายยับเยิน แต่กลับมาพูดจาแสลงหูเช่นนี้กับพวกเขา
“ทุกท่านอย่าให้คนอื่นหัวเราะเยาะเอาได้ อย่าลืมว่าจุดประสงค์ในการเคลื่อนไหวของพวกเราครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเพื่อวาสนาในที่แห่งนี้เท่านั้น ตามความเห็นข้า ไม่ว่าเกิดเหตุเหนือคาดมากเท่าไหร่ ขอเพียงหลินสวินนั่นถูกพวกเราจับตัวได้ ความเสียหายและราคาที่จ่ายไปทั้งหมดล้วนคุ้มค่า”
จู่ๆ เงาร่างผอมบางราวเด็กหนุ่ม ผมสีดอกเลาทั่วศีรษะก็เดินออกมา เท้าเหยียบบนฝักกระบี่เปื้อนเลือด กลิ่นอายดุกร้าวน่ากลัว
อวิ๋นจิ่วเวย!
ระดับอมตะจากตระกูลอวิ๋น
บุคคลน่าสะพรึงที่ไม่ว่ามรรควิถีหรืออำนาจบารมี ล้วนอยู่เหนือกว่าพวกหนานเฟยตู้ กู้หลิงเจิน ลี่ซางจวิน!
——