Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2592 เจ้าสำนักเรียนเชิญ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2592 เจ้าสำนักเรียนเชิญ
ตอนที่ 2592 เจ้าสำนักเรียนเชิญ
เนิ่นนานกว่าเนี่ยชิงหรงจะทอดสายตามองเหลิ่งชิงเสวี่ย เอ่ยว่า “ชิงเสวี่ย เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าพบเจออะไรระหว่างทางกลับมา”
เหลิ่งชิงเสวี่ยอึ้งไป
จากนั้นเนี่ยชิงหรงก็เล่าเรื่องที่ถูกพวกหยวนวั่นฉงจากสำนักศึกษาเยือกแข็งขวางทางให้ฟัง
ใบหน้างามของเหลิ่งชิงเสวี่ยเปลี่ยนไปเล็กน้อย กล่าวว่า “เกี่ยวข้องกับสำนักศึกษาเยือกแข็งอีกแล้ว!”
เนี่ยชิงหรงกล่าว “เส้นทางที่ข้าเดินทางกลับมีเพียงคนระดับสูงในสำนักศึกษาสองลักษณ์ของพวกเราเท่านั้นที่รู้ แต่ระหว่างทางกลับเจอการขัดขวางเช่นนี้ นี่ก็ผิดวิสัยเกินไปแล้ว”
“ท่านกำลังสงสัยว่าเจ้าสำนักเป็นคนปล่อยข่าวให้สำนักศึกษาเยือกแข็งรู้ก่อนล่วงหน้าหรือ” เนตรดาราของเหลิ่งชิงเสวี่ยทอลำแสงเย็น
เวลานี้เนี่ยชิงหรงใจเย็นลงมาแล้ว กล่าวว่า “ตอนนี้ยังสรุปชัดไม่ได้ แต่ถ้ายืนยันได้ว่าที่ใต้เท้าเหนียนอวิ๋นจิ่งถูกกำราบ เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับเทียบจดหมายฉบับนั้นจากสำนักศึกษาเยือกแข็ง เช่นนั้นข้าก็มีเหตุผลให้สงสัยว่าเรื่องที่เส้นทางการเดินทางของข้ารั่วไหล เป็นไปได้สูงว่าอาจเกี่ยวข้องกับเจ้าสำนัก”
“นี่… เขาคิดจะทำอะไรกันแน่”
ดวงหน้างดงามดุจภาพวาดของเหลิ่งชิงเสวี่ยวูบไหวไปมา เนิ่นนานกว่าจะเอ่ยพูด “พี่สาว เบื้องหลังสำนักศึกษาสองลักษณ์ยังมีตระกูลเฮ่อและตระกูลหงหนุนอยู่ ตอนนี้เกิดเรื่องร้ายแรงเช่นนี้ขึ้น ต้องติดต่อสองขุมอำนาจใหญ่สักหน่อยหรือไม่”
“น้ำอยู่ไกลดับไฟใกล้ไม่ได้”
เนี่ยชิงหรงถอนใจเบาๆ “ทุกๆ สามปี ‘ทูตท่องสวรรค์’ จากสองขุมอำนาจใหญ่นี้จึงจะปรากฏตัวหนึ่งหน แม้พวกเราจะอยากติดต่อไปก่อน แต่ในเวลาอันสั้นก็ไม่มีทางที่ทูตท่องสวรรค์จะปรากฏตัวได้โดยเด็ดขาด”
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราควรถือจังหวะนี้หนีไปจากสำนักศึกษาสองลักษณ์โดยด่วน ไปเก็บตัวกันก่อน รอให้ทูตท่องสวรรค์มาค่อยรายงานเรื่องตามจริงทีหลังหรือ” เหลิ่งชิงเสวี่ยถาม
เนี่ยชิงหรงส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ได้ ใต้เท้าเหนียนอวิ๋นจิ่งเป็นตายยังไม่รู้ พวกเราจะอยู่เฉยไม่สนใจได้อย่างไร”
“เช่นนั้นพี่สาวท่านว่าควรทำอย่างไร” เหลิ่งชิงเสวี่ยไร้กลยุทธ์รับมือไปชั่วขณะ
ในใจเนี่ยชิงหรงผุดความเวทนาขึ้น
ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ เหลิ่งชิงเสวี่ยเป็นบุคคลที่พิเศษอย่างยิ่ง นางรากฐานยอดเยี่ยม จิตใจดุจสายน้ำ ดูเหมือนเป็นบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งที่พลังแข็งแกร่ง แต่หลายปีมานี้หมุกมุ่นอยู่กับการเคี่ยวกรำมาโดยตลอด ไม่ฝักใฝ่เรื่องทางโลก
ในใจเนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ยเปรียบดั่งคันฉ่องผ่องแผ้วเหนือโลกีย์ ให้นางมาจัดการเรื่องอันตรายคาดการณ์ไม่ได้พวกนั้น เห็นชัดว่าน่าลำบากใจเกินไป
“ใต้เท้า แขกกิตติมศักดิ์สองท่านนั้นรับรองอย่างเหมาะสมแล้วขอรับ”
ไกลออกไปเงาร่างเด็กรับใช้ชิงอวิ๋นปรากฏขึ้น เอ่ยกล่าวเสียงกังวาน
เนี่ยชิงหรงพยักหน้า “เจ้าออกไปก่อนเถอะ”
จนกระทั่งเงาร่างของชิงอวิ๋นหายลับไป เหลิ่งชิงเสวี่ยก็อดใคร่รู้ไม่ได้ “พี่สาว ครั้งนี้ท่านยังพาสหายกลับมาด้วยกันหรือ”
เนี่ยชิงหรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ชิงเสวี่ย เจ้าไม่ใช่ถามข้าว่าตอนนี้ควรทำอย่างไรหรือ ข้าตัดสินใจแล้ว ครั้งนี้จะให้โหยวเชียนเหิงชดใช้ความชั่วร้ายของตัวเอง!”
ดวงตางามทอประกายเด็ดขาด
โหยวเชียนเหิง!
ก็คือเจ้าสำนักคนปัจจุบันของสำนักศึกษาสองลักษณ์
“พี่สาว ท่านว่าควรทำอย่างไร”
เนตรดาราของเหลิ่งชิงเสวี่ยวาววับ ไม่ได้หวาดกลัวและกังวล
“เมื่อครู่เจ้าไม่ได้ถามข้าเรื่องแขกกิตติมศักดิ์สองคนนั้นหรือ หากสหายยุทธ์หนึ่งในนั้นลงมือช่วยเหลือพวกเรา ต่อให้ฆ่าโหยวเชียนเหิงก็ง่ายเหมือนพลิกฝ่ามือ”
พอเนี่ยชิงหรงนึกถึงภาพต่างๆ ที่หลินสวินโจมตีสังหารพวกหยวนวั่นฉง ในอกพลันร้อนวูบวาบ สั่นสะท้านไม่หาย
“พี่สาว ข้าจะไปพบแขกคนนั้นที่ท่านพูดถึงหน่อย ดูว่าเขาจะเก่งกาจเหมือนอย่างที่ท่านพูดหรือไม่” เหลิ่งชิงเสวี่ยกล่าว แววตาทอแววใคร่รู้
“อย่า”
เนี่ยชิงหรงรีบห้ามทันควัน “ชิงเสวี่ย นั่นเป็นถึงพวกน่าสะพรึงผิดผู้ผิดคน เรื่องนี้ให้ข้าจัดการดีกว่า”
นางห่วงว่านิสัยของเหลิ่งชิงเสวี่ย หากไม่ระวังไปแตะต่อมโทสะหลินสวินเข้า นั่นย่อมไม่คุ้ม
แต่เนี่ยชิงหรงยิ่งทำแบบนี้เหลิ่งชิงเสวี่ยก็ยิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ กล่าวว่า “ข้าแค่ดูไกลๆ ได้หรือไม่”
เนี่ยชิงหรงลังเลครู่หนึ่ง แต่ยังคงตอบตกลง “จำไว้ แค่มองอยู่ไกลๆ อย่าทำอะไรที่เป็นการหยั่งเชิงเด็ดขาด”
เหลิ่งชิงเสวี่ยรับปากรวดเร็ว
…
บริเวณไหล่เขา ในลานเรือนที่มีสะพานเล็กสายน้ำไหลแห่งหนึ่ง ต้นไม้เก่าแก่ขยายกรากลึก ดอกไม้ประหลาดหญ้ามงคลชูช่อประชันความงาม กระเรียนเซียนสีขาวหิมะพันธุ์ดีฝูงหนึ่งร่ายระบำร่อนลงบนทะเลสาบเขียวมรกตดุจอัญมณี เปล่งเสียงร้องขานเจื้อยแจ้วไม่ขาดสาย
หลินสวินนั่งตามสบายบนหินเขียวริมทะเลสาบ ตั้งน้ำเต้าสุราไว้ข้างตัว มือจับเบ็ดก้านไม้ไผ่สีเขียวมรกตคันหนึ่ง ท่วงท่าสบายอารมณ์ ลมทะเลสาบเย็นสบายพัดโชยมาเป็นระลอกๆ เจือไอวิญญาณเข้มข้นทำให้คนสดชื่นผ่อนคลาย
ส่วนเสี่ยวซีกำลังเที่ยวเล่นไปรอบๆ เพิ่งมาถึงสำนักศึกษาสองลักษณ์เป็นครั้งแรก สำหรับนางแล้วทุกอย่างล้วนแปลกใหม่ แม้ภายในใจจะตุ๊มๆ ต่อมๆ แต่กลับบังเกิดความเฝ้ารอมากมาย
ซ่า!
น้ำทะเลสาบลอยกระเซ็น ปลาตะเพียนดำตัวใหญ่ที่เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวาติดเบ็ดแล้ว ถูกหลินสวินใช้คันเบ็ดไม้ไผ่ดึงขึ้นมา มันดิ้นขลุกขลักไม่หยุดอยู่กลางอากาศ
“จุ๊ๆ ใกล้จะตื่นรู้แล้ว เอาเถอะ จะไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง”
หลินสวินสะบัดข้อมือคราหนึ่ง ปลาตะเพียนดำตัวใหญ่ตัวนี้ได้รับอิสระอีกครั้ง กระโดดลงไปในทะเลสาบ
“สหายยุทธ์อารมณ์สุนทรีย์นัก”
เงาร่างงามล้ำเลิศของเนี่ยชิงหรงเดินมาแต่ไกล ริมฝีปากชุ่มฉ่ำแย้มรอยยิ้มชวนลุ่มหลง
หลินสวินไม่ได้ลุกขึ้น เอ่ยสบายๆ “เส้นทางฝึกปราณ ตึงบ้างหย่อนบ้าง ผ่อนคลายในบางโอกาสก็ดีไม่น้อยเหมือนกัน”
“เหล้าหนึ่งกา เบ็ดหนึ่งคัน โลกนี้ผู้ใดเล่าจะสุขเท่าข้า”
เนี่ยชิงหรงน้ำเสียงนุ่มนวล เสียงหัวเราะเสนาะหู ยืนอยู่ข้างๆ นางรูปร่างสูงระหง ขาเรียวยาวเหยียดตรง มีน้ำมีนวล ลมทะเลสาบโชยมา ทำให้เสื้อผ้าของนางพลิ้วไหว แนบตัวจนเผยให้เห็นทรวดทรงน่าอวดทุกสัดส่วน
หลินสวินยกยิ้ม ยกน้ำเต้าสุราขึ้นดื่มแล้วเอ่ยว่า “เจ้าตัดสินใจแล้วหรือ”
เนี่ยชิงหรงพยักหน้า เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นกับเหนียนอวิ๋นจิ่งให้ฟังทั้งหมด สุดท้ายจึงกล่าวว่า “สหายยุทธ์ ข้าเข้าตาจนแล้วจริงๆ ได้แต่บากหน้ามาขอความช่วยเหลือจากเจ้าเท่านั้นแล้ว”
หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง ดวงตากระจ่างใส ทอดมองจุดที่ปักคันเบ็ดตกปลา แล้วเอ่ยว่า “เจ้าไม่จำเป็นต้องกดดันมากมายนัก เกิดเรื่องอะไรขึ้น โยนทุกอย่างมาให้ได้ทั้งหมด เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักศึกษาสองลักษณ์ก็ไม่อาจได้รับผลกระทบอะไร ต่อให้ตระกูลจู้ส่งคนเข้ามา ก็ไม่มีทางมาคิดบัญชีกับเจ้า”
จู่ๆ ในใจเนี่ยชิงหรงก็เกิดกระแสอุ่นวาบแปลกประหลาดขึ้นมา ก่อนกล่าวขึ้น “สหายยุทธ์ เจ้ายอมตกลงช่วยเหลือ ข้าก็ซาบซึ้งล้นเหลือแล้ว จะปล่อยให้เจ้าแบกรับผลที่ตามมาอีกได้อย่างไร”
หลินสวินยิ้มกล่าว “ข้าทำเช่นนี้ ก็เพื่อให้เสี่ยวซีฝึกปราณในสำนักศึกษาสองลักษณ์อย่างสงบใจยิ่งขึ้น เจ้าแค่ทำตามที่ข้าพูดก็พอ ข้ามีเพียงคำขอเดียว อย่าเปิดเผยตัวตนของข้า ข้าอยากเห็นนักว่าหลังจากโค่นโหยวเชียนเหิงนี่แล้ว ตระกูลจู้จะส่งคนในตระกูลบางส่วนมาแก้แค้นหรือไม่…”
เนี่ยชิงหรงตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่างทันที ก่อนกล่าวว่า “สหายยุทธ์ นี่เจ้าจะสู้รบกับตระกูลจู้หรือ”
หลินสวินคิดครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ถือว่าใช่กระมัง”
ถึงอย่างไรอยู่ว่างๆ ก็น่าเบื่อ เขาในตอนนี้ ไม่สามารถมุ่งหน้าไปน่านฟ้าที่หกได้ทันที แต่ถ้าหากล่อศัตรูเหล่านั้นมายังน่านฟ้าที่หนึ่งได้ นั่นก็ต่างออกไปแล้ว
อย่างน้อยในน่านฟ้าที่หนึ่ง เขายังพอแบ่งรับแบ่งสู้ได้ แม้จะถูกระดับอมตะหมายหัว อย่างมากก็แค่ปัดตูดเผ่นหนีไปตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง
“นางเป็นใคร” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น
เขาสัมผัสได้นานแล้วว่าบริเวณที่ห่างออกไปไกลโพ้น มีเงาร่างอรชรสีขาวหิมะสายหนึ่งยืนอยู่ คิ้วตาดุจภาพวาด งดงามล้ำเลิศอย่างยิ่ง
เนี่ยชิงหรงอึ้งผงะไป คราวนี้จึงเข้าใจขึ้นมา เอ่ยเสียงเบาว่า “เหลิ่งชิงเสวี่ย เป็นรองเจ้าสำนักเหมือนกับข้า นางก็อยากรู้เช่นกัน จึงตามมาดูหน่วยก้านของสหายยุทธ์สักหน่อย”
หลินสวินส่ายหน้าเงียบๆ จดจ่อกับการตกปลาต่อ
เห็นเช่นนี้ เนี่ยชิงหรงจึงกล่าวลาอย่างรู้กาลเทศะ หมุนตัวออกไป ก่อนจะไปก็พาเหลิ่งชิงเสวี่ยที่ยืนนิ่งอยู่ตลอดเวลาในบริเวณไกลโพ้นไปด้วยเช่นกัน
“พี่สาว เขาก็คือพวกน่าสะพรึงที่ท่านพูดถึงคนนั้นหรือ” ระหว่างทาง เหลิ่งชิงเสวี่ยอดกล่าวไม่ได้ “แต่เท่าที่ข้าดู ไม่เห็นมีอะไรพิเศษเลย”
“นี่แหละที่เรียกว่าซ่อนเร้นไม่เปิดเผย หากมองปราดเดียวก็ถูกเจ้ามองออก นั่นยังจะเรียกว่ายอดฝีมือได้อีกหรือ” เนี่ยชิงหรงกล่าวด้วยรอยยิ้มบางๆ
เหลิ่งชิงเสวี่ยทำท่าครุ่นคิด “ก็ถูก แต่ว่านะพี่สาว ท่านคิดว่าเจาสามารถเอาชนะโหยวเชียนเหิงได้จริงหรือ ควรรู้ว่าในสำนักศึกษาสองลักษณ์ของพวกเรา ก็ปกคลุมด้วยพลังระเบียบเช่นกัน แม้จะเป็นเพียงระดับปฐพีขั้นสาม แต่ที่ผ่านมาก็ควบคุมโดยเจ้าสำนักคนเดียว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คิดอยากเอาชนะเขา แทบเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้”
เนี่ยชิงหรงกล่าว “เจ้าน่ะ ช่างเคี่ยวกรำจนสมองไม่ปลอดโปร่งแล้วจริงๆ ถึงจะลงมือ ก็ไม่มีทางอยู่ที่สำนักศึกษาสองลักษณ์ โหยวเชียนเหิงยึดครองพลังระเบียบ ได้เปรียบทางภูมิศาสตร์โดยสมบูรณ์ พวกเราต้องคิดหาวิธี ล่อเขาออกจากสำนักศึกษาสองลักษณ์ ถึงตอนนั้น ไม่มีพลังระเบียบช่วยเหลือ เขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของสหายยุทธ์คนนั้นอย่างแน่นอน”
เหลิ่งชิงเสวี่ยคว้าแขนเรียวของเนี่ยชิงหรง หน้าผากนูนซบบนไหล่หอมของนาง พลางกล่าวหัวเราะเบาๆ “อย่างไรก็มีพี่สาวอยู่ ข้าก็ไม่ต้องคิดเรื่องกวนใจมากมายขนาดนั้นแล้ว”
เวลานี้เนี่ยชิงหรงอารมณ์เบิกบาน มือหนึ่งรั้งเอวคอดเรียวบางของนางเหลิ่งชิงเสวี่ย มือหนึ่งจู่ๆ ก็คว้าหมับบนหน้าอกของเหลิ่งชิงเสวี่ย
เหลิ่งชิงเสวี่ยตกใจสะดุ้งโหยง รีบถอยหลบไวว่อง บนดวงหน้าขาวเนียนงดงามบริสุทธิ์หมดจดเรื่อแดงดุจประกายเพลิง กล่าวตะกุกตะกักว่า “พี่สาว นี่ท่านทำอะไรน่ะ”
เนี่ยชิงหรงยิ้มจนดวงตาเรียวชี้โค้งหยี แล้วเอ่ยว่า “ข้าแค่อยากรู้วาเหตุใดทรวดทรงของชิงเสวี่ยถึงแบนราบขนาดนี้ ที่แท้เป็นเพราะใช้เอี๊ยมซับในรัดหน้าอกนี่เอง”
ว่าพลาง นางใช้นิ้วมือเล็กละเอียดเรียวยาวขีดวาดเป็นเส้นโค้งนูนเอิบขึ้นกลางอากาศ ขบริมฝีปากแดงชุ่มชื้นก่อนกล่าวหัวเราะคิกคัก “คิดไม่ถึงว่าจะใหญ่กว่าที่ข้าคิดไว้มากขนาดนั้น ใกล้ตามข้าทันแล้ว น้องสาวเจ้าซ่อนรูปมิดชิดจริงๆ เชียว”
ได้ยินคำพูดกระเซ้าเย้าแหย่ พวงแก้มเนียนขาวกระจ่างใสของเหลิ่งชิงเสวี่ยล้วนเรื่อแดงดุจเพลิงโหม ทั้งตัวเหมือนประสบแรงโจมตี มือไม้อยู่ไม่สุข ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
เนี่ยชิงหรงอดหัวเราะชอบใจไม่ได้ เหลิ่งชิงเสวี่ยดุจเซียนผู้ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องทางโลก สงบสมถะเรื่อยมา อาการขวยเขินกระมิดกระเมี้ยนเช่นนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง
แน่นอนว่าน่าสนใจมากเช่นเดียวกัน
นางไม่รู้สักนิดว่า แม้จะออกจากจุดที่หลินสวินปักหลักอยู่ แต่ภาพนี้ยังถูกจิตรับรู้ไพศาลจนน่าสะพรึงของหลินสวินตรวจจับได้อย่างไร้สุ้มเสียง เขาที่กำลังตกปลาอยู่ นิ้วมือแข็งค้างเล็กน้อย มุมปากกระตุกแรงๆ คราหนึ่ง
เนี่ยชิงหรงคนนี้…เป็นถึงบรรพจารย์จักรพรรดิผู้สูงส่งแล้ว เหตุใดถึงยัง…ชอบเล่นแผลงๆ เช่นนี้อีก
ขณะเดียวกัน หลินสวินก็อดตกใจไม่ได้ เงาร่างที่ดูเหมือนผอมบางของเหลิ่งชิงเสวี่ย หรือว่าจะซ่อนรูปมิดชิดเหมือนอย่างที่เนี่ยชิงหรงว่าจริงๆ
จากนั้น หลินสวินก็ส่ายหน้า หลุดขำทื่อๆ
และเป็นเวลานี้ เงาร่างหล่อเหลาเปล่งประกาย บุคลิกงามสง่าสายหนึ่งก็พุ่งมาจากห้วงอากาศบริเวณไกลๆ ปรากฏต่อหน้าเนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ยอย่างผ่าเผย ก่อนยิ้มบางๆ
“ทั้งสองท่าน เจ้าสำนักเรียนเชิญ!”
………………….