Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2603 ประตูเนรเทศ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2603 ประตูเนรเทศ
ตอนที่ 2603 ประตูเนรเทศ
เฮ่อโหย่วฟางบาดเจ็บสาหัสด้วยการโจมตีเดียว!
ในตำหนัก ถ้อยคำเมื่อครู่ของหลินสวินยังคงดังก้อง
“บอกว่าเจ้านับเป็นตัวอะไร เจ้ายังไม่ยอมหรือ”
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันนี้ ทำให้เนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ยตกตะลึงไปเป็นอย่างแรก จากนั้นดวงตาพลันเปล่งประกาย ความประหลาดใจอันยากปกปิดผุดขึ้นในใจ
เงาร่างที่มาถึงกลางอากาศนั้น ไม่ใช่หลินสวินแล้วจะเป็นใคร
“เจ้าเป็นใคร”
หงอิ้งเหอก็ตกตะลึงตัวแข็งทื่อ แววตาฉงนไม่ว่างเว้น
การโจมตีเดียวก็เล่นงานให้เฮ่อโหย่วฟางเจ็บหนักได้ เรื่องนี้ทำให้หงอิ้งเหอยังรู้สึกได้ถึงแรงกดดันยิ่งใหญ่
เผียะ!
สิ่งที่ตอบกลับนางคือฝ่ามือที่ไม่มีความเกรงใจสายหนึ่ง เสียงดังกังวานยิ่ง ตบจนตัวหงอิ้งเหอกระเด็นออกไปกลางอากาศ กลิ้งลงไปบนพื้นอย่างจัง ใบหน้างามบวมแดงเลือดไหลไปหมด
ก่อนหน้านี้เนี่ยชิงหรงถูกนางตบหน้าฉาดหนึ่งเพราะเอ่ยปากขอความเมตตา
และตอนนี้ นางก็ถูกหลินสวินสนองคืนเพราะคำพูดคำเดียว
เนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ยต่างสะใจอย่างที่สุด ก่อนหน้านี้พวกนางถูกเฮ่อโหย่วฟางกับหงอิ้งเหอโจมตีและดูหมิ่นอย่างต่อเนื่อง ไฟโทสะอัดแน่นเต็มอกมานานแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็มีโอกาสได้ระบายออก
“ตัวมีฐานะเป็นคนตระกูลหง กลับบีบบังคับผู้หญิงดีๆ ให้เป็นโสเภณีอย่างกับแม่เล้า พวกเจ้าตระกูลหงเป็นหอคณิกาหรือ” ดวงตาหลินสวินเผยแววเย้ยหยัน
หงอิ้งเหอผมเผ้ากระเซอะกระเซิง ร้องเสียงแหลมว่า “เจ้าบังอาจนัก! ในเมื่อรู้ว่าข้าเป็นทูตท่องสวรรค์ที่มาจากตระกูลหงยังกล้าเหิมเกริมเช่นนี้อีก ไม่กลัวถูกล้างตระกูลหรือไร”
“ล้างตระกูลหรือ”
หลินสวินแสยะยิ้ม “ดูท่า พวกเจ้าตระกูลหงจะใช้อำนาจบาตรใหญ่จนเคยตัว กล้าขู่จะทำลายทั้งตระกูลคนอื่นได้ง่ายๆ ช่างกำเริบเสิบสานจริง เช่นนั้นข้าถามเจ้าหน่อย เจ้าไม่กลัวว่าตอนนี้จะถูกข้าฆ่าหรือ”
หงอิ้งเหออึ้งไป พลันเอ่ยเสียงดุดัน “เจ้ากล้าหรือ!”
เนี่ยชิงหรงเอ่ยเสียงเบาอย่างอดไม่ได้ “สหายยุทธ์ สตรีนางนี้เป็นทูตท่องสวรรค์ของตระกูลหง เป็นตัวแทนตระกูลหง ถ้าฆ่านางเกรงว่าจะชักนำเคราะห์สังหารของตระกูลหงมาได้”
หงอิ้งเหอยิ้มเหี้ยมขึ้นมา คล้ายยิ่งได้ใจไม่หวั่นกลัว เอ่ยว่า “มาสิ ฆ่าข้าเลย ให้ข้าดูหน่อยว่าเจ้ากล้าหรือไม่กันแน่!”
ฟุ่บ!
ปราณกระบี่สายหนึ่งกวาดผ่าน ฟันหัวหงอิ้งเหอร่วง เลือดสดๆ กระฉูดออกมาจากคอนาง ย้อมห้วงอากาศเป็นสีแดง นางตาเบิกกว้าง ตายโดยที่ยังไม่กล้าเชื่อว่าหลินสวินจะกล้าลงมือรุนแรงจริงๆ
เนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ยก็อึ้งไปเช่นกัน ฆ่าแบบนี้เลยหรือ
หลินสวินกล่าว “นางออกตัวบอกให้ข้าฆ่าเอง ข้ายังไม่เคยเห็นใครอยากตายขนาดนี้ ถ้าปฏิเสธไปจะไม่ทำให้นางผิดหวังหรือ”
เนี่ยชิงหรง “…”
เหลิ่งชิงเสวี่ย “…”
พวกนางต่างไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีแล้ว
ทูตท่องสวรรค์แห่งตระกูลหง บอกจะฆ่าก็ฆ่า ภาพนองเลือดปุบปับเช่นนี้ทำเอาพวกนางสะท้านไหวอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน
ด้านหลินสวินมองไปที่เฮ่อโหย่วฟางที่จมอยู่ในผนัง เอ่ยว่า “เจ้าล่ะ อยากออกตัวขอความตายเองเหมือนนางไหม”
เฮ่อโหย่วฟางเกร็งกระตุกไปทั้งตัว ในใจหวาดผวา ส่ายหัวไม่หยุด พูดเสียงเศร้าว่า “อย่า… อย่าฆ่าข้า… อย่าฆ่าข้า…”
ฟุ่บ!
ปราณกระบี่อีกสายพริบวาบ ทูตท่องสวรรค์จากตระกูลเฮ่ออย่างเฮ่อโหยวฟางก็ถูกสังหารเช่นกัน
เนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ยสบตากัน ในใจราวกับธารพลิกทะเลคว่ำไม่อาจสงบได้ ความตายของหงอิ้งเหอทำให้พวกนางตกตะลึง ความตายของเฮ่อโหย่วฟางก็ถึงขั้นทำให้พวกนางหวาดผวา!
“ถ้าเขาไม่ตายจะยุ่งยากยิ่งกว่า”
หลินสวินสีหน้าเรียบเฉย “ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องในวันนี้มีเพียงพวกเราสามคนที่รู้ ต่อให้ตระกูลหงกับตระกูลเฮ่อมากล่าวโทษ พวกเราก็โบ้ยให้จู้ฮุยทั้งหมดก็ได้”
จู้ฮุยหรือ
เนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ยต่างอึ้งไป
“เรื่องราวเป็นอย่างนี้ จู้ฮุยได้แผนภาพปริศนา จึงไปเสาะหาพลังระเบียบที่เทือกเขาหลิวร่วง เฮ่อโหย่วฟางกับหงอิ้งเหอไม่ยินยอมให้วาสนานี้ถูกจู้ฮุยฮุบไปคนเดียว จึงตัดสินใจไปเทือกเขาหลิวร่วงด้วยกัน…”
หลินสวินพูดพลางสะบัดแขนเสื้อ ศพและน้ำเลือดของหงอิ้งเหอกับเฮ่อโหย่วฟางต่างถูกลบไปหมด หายไปจนสิ้น
“จากนั้น ไม่ว่าจะเป็นจู้ฮุยหรือพวกเขาสองคนก็ล้วนไม่กลับมาอีก”
พูดถึงตรงนี้หลินสวินยิ้มมองเนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ย “พวกเจ้าว่าเหตุผลนี้เป็นอย่างไร”
เนี่ยชิงหรงร้องเอ่อ เอ่ยลังเลว่า “แม้เหตุผลนี้ดี แต่ถ้าคนตระกูลเฮ่อกับตระกูลหงไปสืบที่เทือกเขาหลิวร่วงด้วยกัน…”
“ย่อมหาเบาะแสใดๆ ไม่เจอ”
หลินสวินพูดอย่างมั่นใจ “มิหนำซ้ำ พวกเขาไม่มีทางสงสัยพวกเจ้า ถึงอย่างไรด้วยพลังของพวกเจ้าก็ไม่อาจฆ่าระดับอมตะอย่างจู้ฮุยได้”
เนี่ยชิงหรงสงบใจลงเล็กน้อย จากนั้นพลันตระหนักอะไรบางอย่าง เอ่ยอย่างตกตะลึงว่า “สหายยุทธ์ จู้ฮุยตายไปแล้วจริงๆ หรือ”
เหลิ่งชิงเสวี่ยก็มองไปเช่นกัน
หลินสวินพยักหน้า “ยามเจ้าเฒ่านี่สยบพลังระเบียบก็โชคร้ายประสบเคราะห์ไปแล้ว”
“ตกใจหมดเลย ข้ายังนึกว่า…” เนี่ยชิงหรงตบหน้าอกเบาๆ
การเคลื่อนไหวน้อยๆ อย่างการตบหน้าอกไปตามจิตใต้สำนึกนี้กลับทำให้หลินสวินเบนสายตา กระแอมไอพูดว่า “นึกว่าถูกข้าฆ่าหรือ”
เนี่ยชิงหรงเอ่ยเขินๆ ว่า “ข้าเข้าใจผิดไป”
หลินสวินลอบเอ่ยในใจ ‘เจ้าเข้าใจถูกจริงๆ’
“ข้ารู้แล้ว เจ้า… คือหลินสวิน!”
เหลิ่งชิงเสวี่ยพลันอุทานออกมา เนตรกระจ่างที่มองหลินสวินเจือแววสั่นสะท้านอย่างไม่อาจปิดบัง “ก็มีแต่คนอย่างเจ้าถึงไม่กลัวการล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิอมตะพวกนั้น!”
หลินสวินเอ่ยอย่างทึ่งๆ “คนที่ไม่กลัวการล่วงเกินเผ่าจักรพรรดิอมตะบนโลกนี้ไม่ได้มีแต่ข้าคนเดียว”
เหลิ่งชิงเสวี่ยส่ายหัว “เจ้าเคยบอกว่าเจ้ามีความแค้นกับตระกูลจู้ จึงช่วยพี่สาวฆ่าโหยวเชียนเหิง และเจ้ายังเคยบอกว่ามีความแค้นกับตระกูลเหวิน ตอนนี้รุ่ยไท่ฟูเจ้าสำนักของสำนักศึกษาเยือกแข็งที่รับใช้ตระกูลเหวินผู้นั้นก็ถูกเจ้ากำราบโดยสมบูรณ์ไปแล้ว… และผู้คนบนโลกรู้ดีว่าหลินสวินที่ถูกขุมอำนาจใหญ่โลกยอดนิรันดร์มากมายประกาศจับนั้น ก็คือหนามยอกอกของตระกูลจู้กับตระกูลเหวิน”
พอฟังจบหลินสวินก็ยิ้มทันที “สหายยุทธ์เนี่ย แม่นางชิงเสวี่ยผู้นี้ไม่ได้เรียบง่ายอย่างที่เจ้าว่านะ”
เดิมทีเนี่ยชิงหรงยังคิดจะช่วยหลินสวินโกหกปกปิดตัวตน ตอนนี้พอเห็นว่าหลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ก็ถอนใจโล่งอกทันที ใบหน้าขาวสะอาดผุดผาดเผยรอยยิ้มน่าหลงใหล เอ่ยว่า “นิสัยใจคอเรียบง่ายแต่ไม่ได้หมายความว่าจะโง่”
เหลิ่งชิงเสวี่ยตื่นเต้นจนดวงตาทั้งสองเปล่งประกาย “ที่แท้เจ้าก็คือหลินสวินจริงๆ ด้วย! ตอนแรกที่ข้าได้ยินผลงานการศึกของเจ้าก็ชื่นชมนัก ไม่กล้าคาดคิดสักนิดว่าบนโลกนี้จะยังมีใครกล้าสู้กับเผ่าจักรพรรดิอมตะด้วย นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว”
เนี่ยชิงหรงยังทอดถอนใจอย่างอดไม่ได้ “เป็นเช่นนี้จริงๆ เผ่าจักรพรรดิอมตะพวกนั้นอาจจะเกลียดสหายยุทธ์เข้ากระดูก แต่ในสายตาคนอย่างพวกเรากลับชื่นชมเจ้าถึงที่สุด”
หลินสวินเงียบไป พูดเพียงว่า “เรื่องนี้อย่าบอกเสี่ยวซี”
นี่เป็นการปกป้องอย่างหนึ่ง
เขาไม่อยากให้เด็กสาวบริสุทธิ์ที่มีอนาคตที่ดีผู้นี้มาเดือดร้อนไปด้วยเพราะตน
เนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ยต่างรับปาก
หลินสวินเริ่มจดจ่อกับการฝึกปราณตั้งแต่วันนี้
อีกนิดเดียวอาการบาดเจ็บของเขาก็จะฟื้นตัวโดยสมบูรณ์ ทั้งยังเป็นไปได้สูงยิ่งที่อภินิหารพรสวรรค์ขั้นสามจะตื่นขึ้นในช่วงใกล้ๆ นี้ ทำให้เขาให้ความสำคัญยิ่งยวด ไม่กล้าชะล่าใจ
ส่วนความตายของจู้ฮุย เฮ่อโหย่วฟางและหงอิ้งเหอ ก็ไม่ได้ก่อคลื่นลมให้สำนักศึกษาสองลักษณ์แต่อย่างใด เพราะไม่มีใครรู้ว่าทูตท่องสวรรค์ทั้งสามสิ้นชีพไปแล้ว
แต่ไม่ว่าจะเป็นหลินสวิน หรือเนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ย ต่างรู้ดีว่าการหายตัวไปของพวกจู้ฮุยต้องดึงดูดความสนใจของเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งสามตระกูลแน่ ถึงขั้นที่ใช้เวลาไม่นานก็จะส่งคนมาสืบหา
ถึงอย่างไรสามคนนี้ก็เป็นทูตท่องสวรรค์ ในนั้นยังมีระดับอมตะอยู่คนหนึ่งด้วย จู่ๆ หายตัวไปจากน่านฟ้าที่หนึ่งแห่งนี้อย่างประหลาด คิดจะไม่ดึงดูดความสนใจคงยาก
แต่เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญแล้ว
หลินสวินช่วยเนี่ยชิงหรงคิดเหตุผลเรียบร้อยแล้ว ต่อให้เจอเบาะแสอะไรเข้าจริงๆ ถึงตอนนั้นให้เขามาลงมือคลี่คลายก็พอ
กาลเวลาเคลื่อนคล้อย
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้ที่ริมฝั่งทะเลสาบสีเขียวมรกต หลินสวินซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว อานุภาพไร้รูปกระจายออกมาจากร่างเขาช้าๆ
เขายืดตัวขึ้น แววตากระจ่างสงบนิ่งสะท้อนหมื่นลักษณ์ทั่วหล้า
เขาจับจ้องไปไกลๆ อย่างเงียบเชียบอยู่นาน ที่ทรวงอกของเขา พลังลึกลับมหัศจรรย์เหมือนถูกปลุกให้ตื่น เกิดคลื่นร้อนผ่าวหาใดเทียบ ท่ามกลางความคลุมเครือ มีแสงกาลเวลาสีขาวโพลนรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง ยิ่งเข้มข้นและโชติช่วง คล้ายจะระเบิดพลุ่งพล่าน…
พลังลึกลับมหัศจรรย์เช่นนี้เพิ่มสูงถึงขีดสุด จากนั้นหลินสวินพลันยื่นมือขวาออกไป นิ้วชี้กรีดเบาๆ ในห้วงอากาศ
ฮูม!
รอยแยกมิติสายหนึ่งปรากฏขึ้นเงียบๆ บนท้องฟ้าเหนือทะเลสาบสีเขียวมรกต ประตูมิติที่รางเลือนบานหนึ่งก่อร่างขึ้นท่ามกลางแสงเงาตัดสลับ ละอองแสงนับไม่ถ้วนปลิวว่อน นัยเร้นลับแห่งกาลเวลาและห้วงอากาศปะทะกัน เกิดเป็นกลิ่นอายกลืนกินอันน่าครั่นคร้ามหาใดเทียบ
ทันใดนั้นทะเลสาบสีเขียวมรกตอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นหดเล็กลงไม่รู้กี่เท่า แปรเปลี่ยนเป็นสิ่งที่คล้ายคลึงกับหยดน้ำหยดหนึ่ง เมื่อเสียงสวบดังขึ้นก็ถูกกลืนเข้าไปในประตูมิตินั้นแล้วหายลับไป
เมื่อมองดูอย่างละเอียด ภายในประตูมิติคือความมืดมิดไร้สิ้นสุด ราวกับโลกหุบเหวแห่งหนึ่ง ทั้งยังเหมือนเส้นทางนรกที่ถูกเปิดขึ้น แค่มองปราดเดียวก็รู้สึกเหมือนถูกกลืนวิญญาณ โลกอันพิสดารและเงียบสงัดเช่นนั้นน่ากลัวเกินไปแล้ว!
มิหนำซ้ำเมื่อประตูบานนี้ไหวเคลื่อน คล้ายกับจะดึงเอาฟ้าดินที่อยู่ใกล้เคียง รวมถึงสรรพสิ่งสรรพชีวิตที่ดำรงอยู่ในนั้นเข้าไปด้วย
ก็ในตอนนี้เอง หลินสวินส่งเสียงอู้อี้ออกมาโดยพลัน
จากนั้นประตูมิติอันลี้ลับที่อยู่ไกลออกไปบานนั้นก็สลายหายลับไปด้วย
หลินสวินหายใจถี่กระชั้น มรรควิถีทั้งตัวใช้ไปจนสิ้น ความรู้สึกอ่อนล้าว่างเปล่าอย่างบอกไม่ถูกผุดขึ้นไปทั้งร่าง ทำเอาทั้งตัวเหงื่อกาฬโทรมกาย
เพียงแต่หว่างคิ้วของเขากลับปกปิดความตื่นเต้น ปรีดา และสั่นสะท้านได้ยาก
ประตูมิติที่ปรากฏขึ้นมาก่อนหน้านี้ ก็คืออภินิหารพรสวรรค์ขั้นสามที่เพิ่งตื่นขึ้นของเขา…
ประตูเนรเทศ!
อภินิหารต้องห้ามที่หลอมรวมขึ้นจากนัยเร้นลับกาลเวลาและห้วงอากาศ เมื่อสำแดงออกมา ถึงขั้นสามารถกลืนกินโลกมากมาย เนรเทศไปยังโลกต่างมิติแห่งหนึ่งที่มีนามว่า ‘หุบเหวไร้สิ้นสุด’!
หากศัตรูถูกม้วนเข้าไปในประตูเนรเทศ วิญญาณและร่างกายจะถูกผนึกอยู่ในหุบเหวไร้สิ้นสุด ไม่อาจหลุดพ้นได้อีกจนกระทั่งวายชนม์
เทียบกับ ‘ดาบกาลเวลา’ ซึ่งเป็นอภินิหารพรสวรรค์ขั้นที่สามของเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ ‘ประตูเนรเทศ’ พิสดารและเป็นดั่งสิ่งต้องห้ามยิ่งกว่าอย่างไม่ต้องสงสัย อภินิหารเช่นนี้เกี่ยวโยงถึงยอดนัยเร้นลับกาลเวลาและห้วงอากาศ สามารถเปิดมิติโลกต่างมิติอย่าง ‘หุบเหวไร้สิ้นสุด’ ได้!
สิ่งนี้น่าเหลือเชื่ออย่างไร้ข้อกังขา เหนือความคาดหมายและจินตนาการของหลินสวินก่อนหน้านี้ไปโดยสิ้นเชิง!
——