Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2630 กระบี่ศึก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2630 กระบี่ศึก
ตอนที่ 2630 กระบี่ศึก
ระหว่างทางที่ตามหาท่านลู่ล้วนพบเจอเรื่องการเข่นฆ่าเจ็ดแปดหนขึ้นไปแทบทุกวัน ทำให้หลินสวินเปลี่ยนจากตกใจในตอนแรกมาเป็นค่อยๆ เคยชิน กระทั่งต่อมาชักเริ่มเฉยชาหน่อยๆ แล้ว
และป้ายสัญลักษณ์หอการค้าเก้าใบก็ใช่ว่าจะใช้ได้ผลตลอด พวกนอกรีตที่ไม่กลัวตายบางส่วนก็เคยเข้ามาบุกโจมตียานสมบัติ พยายามปล้นชิงทรัพย์
และต่างลงเอยอย่างอนาถโดยไม่มีข้อยกเว้น
ไม่ต้องให้หลินสวินลงมือสักนิด ลำพังแค่พลังของผู้คุ้มกันบนยานล้วนไม่ใช่สิ่งที่พวกนอกรีตเหล่านี้จะสามารถต้านทานได้
อันที่จริงแม้จะอยู่ในโลกยอดนิรันดร์ ระดับจักรพรรดิก็เป็นตัวตนที่ทำได้เพียงแหงนมองในสายตาผู้ฝึกปราณทั่วหล้าเช่นกัน ส่วนระดับอมตะนั้นเรียกได้ว่าเปรียบดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์สูงสุด!
หมายความว่าทะเลประหัตมารนี้ ผู้ที่เหยียบย่างระดับจักรพรรดิก็ค่อนข้างหายากที่สุดเช่นกัน
สำหรับหลินสวิน ระหว่างพูดคุยเรื่อยเปื่อยก็สามารถสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิได้แล้ว เพราะระดับบรรพจารย์จักรพรรดิไม่แข็งแกร่งพอหรือ
ไม่ใช่
หากแต่พลังต่อสู้ในตอนนี้ของหลินสวินสามารถเรียกว่าไร้ศัตรูในระดับจักรพรรดิได้แล้ว!
อย่างน้อยในสายตาคนอื่นๆ หลินสวินในตอนนี้ก็เป็นพวกน่าสะพรึงที่สูงไม่อาจเอื้อมคนหนึ่ง
หนึ่งเดือนให้หลัง
ยานสมบัติย้อนกลับมาเกาะพันมงคลอีกครั้ง
ค้นหาตลอดทางจนบัดนี้ ภายใต้การนำขบวนของหวั่นโหรว ทำให้ได้ติดต่อกับขุมอำนาจน้อยใหญ่หลายสิบแห่งที่ปักหลักในทะเลประหัตมาร แต่ล้วนไม่เคยพบท่านลู่ในภาพเหมือนโดยไม่มีข้อยกเว้น
นี่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้ว ในใจสงสัยหาใดเปรียบ หากท่านลู่กบดานอยู่ในทะเลประหัตมารจริง เกรงว่าคงซ่อนแซ่ฝังชื่อ ถึงขั้นมีแนวโน้มสูงว่าอาจเปลี่ยนแปลงรูปลักษณ์ไปแล้ว
ด้วยระดับฝีมือของท่านลู่ หากปลอมตัวจริงเกรงว่าคงยากจะมีคนมองออก
ทั้งหมดนี้ทำให้หลินสวินตระหนักได้ว่าหากค้นหาอย่างไร้จุดหมายเช่นนี้ต่อไป ย่อมไม่ต่างอะไรกับการงมเข็มในมหาสมุทรอย่างแน่นอน
หลินสวินไม่ได้รู้สึกท้อแท้อะไรกับเรื่องนี้นัก กลับเป็นหวั่นโหรวที่ค่อนข้างรู้สึกผิด คราแรกสุดนางยังบอกว่าจะช่วยหลินสวินหาคนให้พบอย่างสุดความสามารถ
แต่หนึ่งเดือนผ่านไปแล้วกลับไม่มีเบาะแสแม้แต่น้อย นี่ทำให้นางรู้สึกท้อใจอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
เรือนหกหยิน
หวั่นโหรวมุ่งหน้ามาอีกครั้ง แต่สิ่งที่ได้รับจากผู้ดูแลเรือนหกหยินก็เป็นข่าวร้ายเช่นกัน
“เจ้าช่วยเหลือมากพอแล้ว อย่าโทษตัวเองเลย”
หลินสวินที่ยืนรอในโถงใหญ่ของเรือนหกหยิน เห็นหวั่นโหรวเดินขมวดคิ้วเข้ามาจึงรีบเดินไปปลอบใจทันที
“คุณชาย นอกจากภาพเหมือนม้วนนี้แล้วท่านยังมีเบาะแสอย่างอื่นอีกหรือไม่” หวั่นโหรวเอ่ยถาม
หลินสวินยิ้มกล่าว “แม่นางหวั่นโหรว เรื่องตามหาคนให้ข้าจัดการเองดีกว่า”
หวั่นโหรวอึ้งไป ก่อนกล่าวว่า “คุณชายตั้งใจจะเคลื่อนไหวคนเดียวหรือ”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ “หนึ่งเดือนมานี้ข้าเข้าใจสถานการณ์ในทะเลประหัตมารคร่าวๆ บ้างแล้ว สามารถรับมือกับทุกอย่างได้ด้วยตัวคนเดียว”
เห็นชัดว่าหวั่นโหรวไม่ค่อยเต็มใจนัก กล่าวว่า “เช่นนั้น… ต่อไปยังจะได้พบคุณชายอีกหรือไม่”
“นี่ก็บอกแน่นอนไม่ได้” หลินสวินยกยิ้ม
ภายในใจหวั่นโหรวผุดความรู้สึกหมองเศร้า กล่าวว่า “โลกนี้กว้างใหญ่เกินไป แม้จะเป็นผู้ฝึกปราณรุ่นเดียวกัน แต่หากจากลา ชาตินี้ชีวิตนี้ก็อาจไม่ได้พบหน้ากันอีกเลย…”
หลินสวินก็รู้สึกเช่นเดียวกันกับเรื่องนี้
คิดถึงปีนั้นเขาออกจากหมู่บ้านเฟยอวิ๋นเล็กๆ เดินทางผ่านจักรวรรดิจื่อเย่า ดินแดนรกร้างโบราณ ทางเดินโบราณฟ้าดารา แดนใหญ่พันศึก…
ตลอดเส้นทางนี้ก็ผูกมิตรรู้จักเพื่อนดีๆ มากหน้าหลายตา
แต่ตอนนี้ทุกคนล้วนอยู่กันคนละฟากฟ้า ต่างคนต่างเสาะแสวงมรรคาของตน เมื่อได้พบกันอีกคราวหน้า… ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นเดือนไหนปีไหน
หวั่นโหรวช้อนตาสุกใสขึ้น สูดหายใจลึกคราหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “ไม่พูดเรื่องหมดอารมณ์พวกนั้นแล้ว ระหว่างที่บอกลานี้ก็ขอให้คุณชายหาคนพบในเร็ววัน และขอให้คุณชายรักษาตัวดีๆ วันหน้าหากมีวาสนาย่อมได้พบกันอีก”
หลินสวินพยักหน้า “พวกเจ้าก็ดูแลตัวเองดีๆ ด้วย หากเจอเรื่องรับมือยากอะไร สามารถทำลายป้ายสัญลักษณ์นี้ได้ ขอเพียงข้ายังอยู่ในทะเลประหัตมาร ย่อมต้องไปพบในทันทีแน่นอน”
กล่าวพลางเขายื่นยันต์หยกที่ประทับพลังเจตจำนงเสี้ยวหนึ่งของเขาให้หวั่นโหรว
ไม่ต้องพูดถึงอย่างอื่น ลำพังแค่สมบัติล้ำค่าหายากอย่างกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนชิ้นนั้น ก็ทำให้หลินสวินต้องตอบแทนน้ำใจแล้ว
ยันต์หยกชิ้นเดียวเท่านั้น คิดเสียว่าเป็นน้ำใจเล็กๆ น้อยๆ จากเขา
หวั่นโหรวรับยันต์หยกไว้อย่างระมัดระวัง คราวนี้จึงยิ้มกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าทั้งหวังให้มีตอนที่ได้ใช้ยันต์หยกนี้ แต่ก็ไม่อยากพบเจอเรื่องรับมือยากอะไรอีก ช่างทำให้คนสับสนจริงๆ”
หลินสวินหลุดขำเงียบๆ
วันนั้นหลินสวินและหวั่นโหรวบอกลากัน และแยกย้ายจากกัน
…
และนับแต่วันนี้เป็นต้นไป หลินสวินก็เหมือนคนเดินทางที่ระหกระเหินไปทั่วคนหนึ่ง สัญจรในทะเลประหัตมาร ทุกครั้งที่ไปถึงสถานที่ที่คนพลุกพล่าน เป็นต้องเข้าไปสำรวจค้นหาในนั้น
เวลาสองเดือนก็ผ่านไปรวดเร็วเช่นนี้
ในวันนี้หลินสวินที่เดินทางรอนแรมเหยียบบนเส้นทางมุ่งหน้าสู่เกาะที่ชื่อว่า ‘กาฬทักษิณ’
เขาไม่ได้เร่งเดินทาง สองเดือนมานี้เขาถือโอกาสตอนที่เดินทาง สัมผัสและหยั่งรู้นัยเร้นลับอมตะบนกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุนนั่นไปด้วย จนตอนนี้ก็มีผลเก็บเกี่ยวไม่น้อยแล้ว
อมตะ เป็นคำอธิบายขั้นพลังที่อยู่เหนือระดับจักรพรรดิ
ไม่ว่าใครก็ตามที่เหยียบย่างระดับนี้ล้วนจะมีอายุขัยเทียมฟ้า
‘ฟ้า’ ในที่นี้ หมายถึงพลังมหามรรคที่กระจายอยู่ทุกแห่งหนทั่วโลก!
หรือกล่าวคือ ต่อให้โลกยอดนิรันดร์แตกดับสูญสลาย ขอเพียงบนโลกนี้ยังมีพลังมหามรรคอยู่ ผู้ที่เหยียบย่างระดับนี้ก็สามารถเป็นอมตะตลอดกาลได้
นี่มีความแตกต่างในเชิงแก่นแท้กับ ‘มรรคาอมตะ’ ของระดับราชันอมตะเคราะห์
ระดับอมตะ แบ่งออกเป็นสามขั้นใหญ่ ได้แก่ ขั้นอายุขัยเทียมฟ้า ขั้นดับเทพ และขั้นหลุดพ้น
หากสามารถทะลวงผ่าน เหยียบย่างบนมรรคาอมตะได้ ก็จะเรียกว่าขั้นอายุขัยเทียมฟ้า หมายความว่ามีอายุขัยเทียมฟ้า
บรรลุถึงขั้นพลังนี้ก็สามารถไปหยั่งรู้พลังระเบียบ จากนั้นก็หลอมกฎเกณฑ์มหามรรคในตัวเป็นกฎเกณฑ์อมตะได้
ยิ่งระดับพลังระเบียบสูงเท่าไหร่ อานุภาพกฎเกณฑ์อมตะที่หลอมออกมาได้ก็ยิ่งแข็งแกร่งเท่านั้น
สิ่งที่ควรค่าให้กล่าวถึงคือ การแบ่งระดับของกฎเกณฑ์อมตะก็จัดตามระดับขั้นของพลังระเบียบ เป็นความเชื่อมโยงที่ส่งเสริมเติมเต็มซึ่งกันและกัน
อย่างเช่นกฎเกณฑ์อมตะที่หยั่งรู้ได้จากระเบียบระดับปฐพีขั้นสาม ก็คือระดับปฐพีขั้นสาม ใช้สิ่งนี้ในการแบ่งเกณฑ์
ผู้แข็งแกร่งในขั้นอายุขัยเทียมฟ้าเช่นเดียวกัน คนที่ครอบครองกฎเกณฑ์อมตะระดับปฐพี ก็จะไม่สามารถเทียบกับผู้แข็งแกร่งที่ถือครองกฎเกณฑ์อมตะระดับสวรรค์ได้
ลั่วอวิ๋นซานที่ถูกหลินสวินฆ่าตายก่อนหน้านี้ สิ่งที่ครอบครองก็คือพลังระเบียบระดับปฐพีขั้นแปด ในขั้นอายุขัยเทียมฟ้าเรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งยิ่งคนหนึ่งแล้ว
ถึงอย่างไรในน่านฟ้าที่หกนี้ แม้จะมีเผ่าจักรพรรดิอมตะยี่สิบสี่ตระกูล แต่ระเบียบอมตะที่เผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านี้ถือครองล้วนอยู่ในเกณฑ์ระดับปฐพีทั้งสิ้น เป็นผลให้กฎเกณฑ์อมตะที่บุคคลระดับอมตะเหล่านั้นควบรวมขึ้น ล้วนอยู่ภายในขอบเขตระดับปฐพีขั้นเก้าเช่นกัน
ฉะนั้นกฎเกณฑ์อมตะระดับปฐพีขั้นแปด ย่อมเรียกได้ว่าโดดเด่นในระดับปฐพีแล้ว
ขณะที่หยั่งรู้นัยเร้นลับอมตะบนกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุน ความรู้สึกที่เด่นชัดมากที่สุดของหลินสวินก็คือความยากเข็ญ นัยเร้นลับระดับนั้นสูงล้ำเกินไป แม้จะใช้ความสามารถในการหยั่งรู้และความเข้าใจต่อมหามรรคของเขา ก็ยังรู้สึกว่ากินแรงสุดขีดอยู่บ่อยครั้ง
นอกจากนี้นัยเร้นลับที่สามารถหยั่งถึงได้ก็มีจำกัดยิ่งยวด
นี่เป็นเรื่องปกติ ท้ายที่สุดเขาในตอนนี้ก็มีปราณเพียงระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ ส่วนนัยเร้นลับที่ประทับบนกระดูกบริสุทธิ์บรรพจารย์คุน ต้องเป็นระดับอมตะเท่านั้นจึงจะสามารถหยั่งรู้ได้
แต่แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ทำให้หลินสวินได้รับประโยชน์ล้นหลาม ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระดับอมตะไม่คลุมเครือและมีด้านเดียวเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไป
“หยุดนะ!”
ทันใดนั้นไกลออกไปมีเสียงตะโกนสายหนึ่งดังขึ้น
หลินสวินที่กำลังใคร่ครวญไปพลางเดินทางไปด้วยเงยหน้าขึ้นมอง ก็เห็นอากาศเหนือผิวทะเลที่อยู่ไกลออกไปมีเงาร่างผู้ฝึกปราณกลุ่มหนึ่งรวมตัวกัน
ผู้นำคือชายบึกบึนกลิ่นอายดุกร้าวคนหนึ่ง สวมชุดคลุมโลหิตทั้งชุด มือถือหอกสามง่ามสาดลำแสงเย็นเยียบเล่มหนึ่ง
ผู้ฝึกปราณข้างกายเขาเหล่านั้น แต่ละคนต่างก็มีกลิ่นอายดุดัน ไม่ปกปิดไอสังหารบนตัวสักนิด
เพียงแต่สิ่งที่ทำให้หลินสวินรู้สึกขำคือ ผู้ฝึกปราณทั้งกลุ่มนี้ คนที่แข็งแกร่งที่สุดเพิ่งมีปราณเพียงระดับกึ่งจักรพรรดิ ผู้ฝึกปราณคนอื่นๆ เหล่านั้นอยู่ระดับราชันอริยะ มหาราชัน…
ถึงขั้นที่เด็กหนุ่มชุดดำผอมโกรกหนึ่งในนั้น เพิ่งมีมรรควิถีระดับราชันอมตะเคราะห์เท่านั้น
พวกไก่กาเช่นนั้นถึงกับจะมาขวางทางดักปล้น ทำเอาหลินสวินไม่รู้ว่าควรหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อันที่จริงจะโทษคนพวกนี้ที่มีตาแต่ไร้แววก็ไม่ได้ หลินสวินเคลื่อนไหวตลอดทาง เพื่อไม่ให้ดึงดูดความสนใจเกินไปจึงเก็บงำมรรควิถีในตัวมิดชิดถึงขีดสุด
อย่าว่าแต่คนพวกนี้เลย ต่อให้เป็นระดับจักรพรรดิบางส่วนก็ยังมองมรรควิถีของเขาไม่ออกสักนิด
เดิมทีหลินสวินไม่คิดจะสนใจ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปที่ตัวเด็กหนุ่มชุดดำผอมโกรกคนนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ เขากลับอึ้งงัน จิตใจที่สงบนิ่งดุจทะเลสาบเวลานี้กลับเกิดระลอกคลื่นขนาดใหญ่ขึ้น!
“เจ้าหมอนี่เชื่อฟังดีแฮะ ดูท่าไม่ใช่พวกร้ายกาจอะไร”
“ไป รีดเค้นไขมันบนตัวเจ้าหมอนี่ว่าพอหรือไม่ หวังว่าจะไม่ทำให้พวกเราผิดหวัง”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินชะงักเท้า ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นต่างคล้ายจะลอบถอนหายใจโล่งอก จากนั้นพลันเผยยิ้มแสยะออกมา แล้วพุ่งมาทางนี้ราวผึ้งแตกรัง
“สหาย เห็นแก่ที่เจ้ารู้กาลเทศะ จะให้โอกาสเจ้าสักครั้ง มอบสมบัติในตัวออกมาแต่โดยดี พวกข้าย่อมให้ทางรอดแก่เจ้าแน่นอน หากรอให้พวกเราลงมือ… เหอๆ ถึงตอนนั้นเกรงว่าเจ้าคงไม่รอดชีวิตออกไปแล้ว”
ชายบึกบึนชุดสีโลหิตที่เป็นผู้นำกล่าวยิ้มเย็น
“เร็วหน่อย!”
ผู้ฝึกปราณเหล่านั้นเร่งเร้าเสียงกร้าว
สิ่งที่เหนือความคาดหมายของพวกเขาคือ ‘แพะอ้วน’ ที่ถูกพวกเขามองว่าเชื่อฟังคำสั่งกลับไม่สนใจพวกเขาสักนิด หากแต่ทอดสายตาจ้องเด็กหนุ่มชุดดำในหมู่พวกเขาเขม็ง
“เจ้ามองอะไรนักหนา!”
ถูกสายตาหลินสวินจับจ้อง เด็กหนุ่มชุดดำเก้กังไปทั้งตัว ก่อนโพล่งเสียงตวาด
“เอากระบี่ศึกในมือเจ้ามาให้ข้าดูหน่อย”
ขณะหลินสวินเอ่ยก็ยื่นมือคว้าออกไปแล้ว เสียงชิ้งดังคราหนึ่ง กระบี่ศึกที่กำแน่นในมือของเด็กหนุ่มชุดดำหลุดออกจากมือ หล่นลงกลางฝ่ามือหลินสวิน
เขาก้มหน้าสำรวจดู ในใจยิ่งตื่นเต้นขึ้นมา
และเวลานี้เด็กหนุ่มชุดดำหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ ร้อนรนขึ้นมาแล้ว ตะโกนเสียงดัง “ทุกคนรีบลงมือเร็วสิ เจ้าหมอนั่นแย่งสมบัติข้าแล้ว!”
“ฆ่า!”
ชายชุดสีโลหิตที่เป็นผู้นำตะโกนกร้าว โบกมือคราเดียวทุกคนก็กระโจนขึ้นไปทันที
ตูม!
ในเสียงปะทะ คนเหล่านี้ยังไม่ทันพุ่งเข้าไปก็ถูกพลังน่าสะพรึงสายหนึ่งกำราบไว้ ทั้งตัวเหมือนแมลงที่ถูกตบอยู่ตรงนั้น ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้สักนิด
พวกเขาล้วนหวาดผวาแล้ว ตระหนักได้ว่าสถานการณ์ผิดปกติ
ในที่นี้มีเพียงเด็กหนุ่มชุดดำยืนอยู่ แต่ก็ถูกภาพนี้ทำให้ตกใจเช่นกัน สมองขาวโพลน ยืนตะลึงงันอยู่ตรงนั้น
บรรยากาศเงียบงันชวนพิศวง หลินสวินเอาแต่ก้มหน้าสำรวจกระบี่ศึกเล่มนั้น สีหน้าก็เปลี่ยนสลับไปมาไม่หยุดเช่นกัน
เนิ่นนานกว่าเขาจะเงยหน้าขึ้นท่ามกลางสายตาหวาดกลัวและตกใจสงสัยของทุกคน ก่อนมองทางเด็กหนุ่มชุดดำ
“กระบี่นี้เจ้าได้มาจากไหน”
เสียงอ่อนโยน เจือพลังแทรกซึมใจคน
ความหวาดกลัวภายในใจเด็กหนุ่มชุดดำถูกพลังของเสียงนี้ช่วยบรรเทา เปลี่ยนเป็นสงบลงมา เพียงแต่หว่างคิ้วยังคงเจือแววตกใจสงสัยและกริ่งเกรงอยู่ เอ่ยเสียงสั่น “หากท่านรับปากว่าจะไม่ฆ่าข้า… ข้าก็จะบอกท่าน”
…………………..