Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2642 หลี่ฝูเหยา
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2642 หลี่ฝูเหยา
ตอนที่ 2642 หลี่ฝูเหยา?
มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่ง สามารถทำให้สิบยักษ์ใหญ่แห่งน่านฟ้าที่แปดแย่งกันเชิญชวน!
ตระกูลลั่วสายรองใช้ทรัพยากรทั้งหมด บ่มเพาะมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างลั่วเฟิงก็นับว่าคุ้มค่า
ถึงอย่างไรเผ่าจักรพรรดิอมตะทั่วไป ต่อให้อยากทุ่มทรัพยากรให้กำเนิดมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งก็ยังต้องเสี่ยงโชค
น่าเสียดาย ในสายตาของหลินสวินทุกอย่างนี้ล้วนไม่สำคัญอะไร
ว่ากันตามจริง พลังที่ต่ำกว่าระดับอมตะไม่อยู่ในสายตาหลินสวินแต่แรกแล้ว!
แต่มีเรื่องหนึ่งที่ลู่ป๋อหยาพูดแล้วดึงดูดความสนใจของหลินสวิน
อย่างแรกคือตำราเทพไร้ขอบเขต หรือก็คือหนึ่งในสมบัติหกอย่างที่เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์เหลือไว้
นี่คือสมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง มีทั้งหมดเก้าม้วน แต่ละม้วนล้วนวาดแผนภาพลับที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์สลักวิญญาณไว้
จากคำพูดของท่านลู่ สมบัติอย่างตำราเทพไร้ขอบเขตนี้ ความจริงแล้วเป็นยอดสมบัติที่เขาได้รับสืบทอดมาจากยุคก่อน!
“ท่านลู่ ท่านแม่บอกว่าท่านสืบทอดวิชามาจากสำนักมรรคยันต์ที่เร้นโลกแห่งหนึ่งในยุคก่อนหรือ” หลินสวินอดถามไม่ได้
ลู่ป๋อหยาพยักหน้า สีหน้าดูหวนถึงความหลัง กล่าวว่า “ไม่ผิด นับตั้งแต่วันที่ข้ากราบอาจารย์เข้าสำนักก็ถูกอาจารย์กล่าวเตือน ว่าชีวิตนี้ห้ามพูดถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสำนัก ไม่อย่างนั้นมีโอกาสสูงที่จะชักนำหายนะใหญ่ซึ่งไม่อาจจินตนาการมาให้ข้าได้”
ลู่ป๋อหยาพูดถึงตรงนี้แล้วเผยรอยยิ้มประหลาดและจนปัญญา “ต่อมาข้าถึงรู้ว่าอาจารย์หลอกข้า เขาห่วงว่าข้าจะอ้างชื่อสำนักไปทำเรื่องชั่วช้าจึงกล่าวเตือนเช่นนี้”
“แต่ข้าไม่เคยตำหนิท่านอาจารย์ ภายใต้การถ่ายทอดวิชาของเขา จึงทำให้เด็กบ้านป่าธรรมดาๆ คนหนึ่งอย่างข้า ครอบครองมรดกมรรคยันต์ที่เป็นหนึ่งไม่มีสองบนโลก”
ในน้ำเสียงเจือความซาบซึ้งและเทิดทูนที่มาจากใจ
“ท่านลู่ สามารถเล่าเรื่องอาจารย์ของท่านให้ข้าฟังโดยละเอียดได้หรือไม่” หลินสวินอดใคร่รู้ยิ่งกว่าเดิมไม่ได้ ด้วยความเชี่ยวชาญด้านลายมรรคของเขาก็สืบทอดมาจากลู่ป๋อหยา
หลายปีมานี้เพราะอาศัยมรดกลายมรรคนี้ ถึงช่วยเขาสลายวิกฤติและอันตรายมาไม่รู้เท่าไหร่
ทั้งทำให้หลินสวินรู้ซึ้งว่ามรดกลายมรรคนี้ไม่ธรรมดาระดับใด ด้วยในชีวิตการฝึกปราณหลายปีนี้ เขายังไม่เคยเจอมรดกลายมรรคชนิดไหนบนโลกที่ทัดเทียมมรดกซึ่งเขาครอบครองได้
เป็นอย่างที่ท่านลู่กล่าว มรดกนี้เป็นหนึ่งไม่มีสอง ด้วยมันไม่ใช่มรดกของยุคนี้!
“บอกเจ้าก็ไม่เป็นปัญหา อาจารย์ของข้าแซ่หลี่ ชื่อฝูเหยา…”
นัยน์ตาลู่ป๋อหยาฉายแววเลื่อนลอย ราวกับดำดิ่งอยู่ในความทรงจำเมื่อนานมาแล้ว
‘หลี่ฝูเหยา…’ หลินสวินแอบกล่าวในใจ ชื่อนี้ไม่ธรรมดายิ่งนัก
“อาจารย์เรียกตัวเองว่าผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งเสมอ ความจริงฝีมือมรรคกระบี่ของอาจารย์ก็น่าหวาดกลัวไร้จำกัดจริงๆ… ถึงอย่างไรช่วงหลายปีที่ข้าฝึกปราณนั้น ก็ยังไม่เคยเห็นใครต้านกระบี่ของอาจารย์ได้ ต่อให้ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นบุคคลชั้นยอดผู้เก่งกาจ… ก็ไม่ไหว!”
“แต่อาจารย์มักพูดว่าแม้มรรคกระบี่ของเขาจะแข็งแกร่ง แต่กลับสู้ศิษย์น้องเล็กของเขาไม่ได้…”
ลู่ป๋อหยาพูดถึงตรงนี้แล้วอดทอดถอนใจไม่ได้ “น่าเสียดาย อาจารย์กลับไม่เคยบอกว่าศิษย์น้องเล็กคนนี้ของเขาเป็นใคร”
หลินสวินอดแปลกใจไม่ได้ “ในเมื่อเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก เหตุใดกลับไม่ยอมพูดถึงชื่อเขา”
“ข้าก็ไม่รู้”
ลู่ป๋อหยายิ้มขื่น จากนั้นเขาเผยสีหน้าปวดร้าวพลางกล่าว “ก่อนยุคสมัยดับสิ้น อาจารย์เคยกำชับข้าว่ายามเคราะห์แห่งการดับสิ้นของยุคสมัยมาเยือน เขาต้องไปช่วยสำนักกรำศึก ภายหน้าข้าทำอะไรต้องระวัง”
“ทั้งเจาะจงกล่าวเป็นพิเศษว่าตำราเทพไร้ขอบเขตคือมรดกสมบัติลับชั้นสูงของสำนักเรา อาศัยของสิ่งนี้น่าจะพอช่วยให้ข้ารอดจากการดับสิ้นของยุคสมัยได้…”
“แต่แม้ว่าข้าจะรอดมาได้ ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าปีนั้นอาจารย์ไปกรำศึกที่ไหน ทั้งรอดมาได้หรือไม่…”
สีหน้าลู่ป๋อหยากลัดกลุ้มยิ่งกว่าเดิมแล้ว “ที่น่าขันคือ ถึงตอนนี้ข้าก็ยังไม่รู้ว่าสำนักที่อาจารย์อยู่มีความเป็นมาอย่างไร…”
หลินสวินอึ้งไปครู่ใหญ่ค่อยกล่าวว่า “พูดเช่นนี้ สำนักที่ผู้อาวุโสหลี่ฝูเหยาท่านนี้อยู่ก็ลึกลับจริงๆ”
ลู่ป๋อหยาหัวเราะลั่น ส่ายหัวสลัดความคิดฟุ้งซ่านพลางกล่าว “สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องเก่าในอดีต ทั้งยังเป็นเรื่องของยุคก่อน มาพูดเรื่องพวกนี้ตอนนี้ก็ไม่มีความหมายเท่าไหร่แล้ว ข้าแค่อยากบอกเจ้าว่าการไปตระกูลลั่วครั้งนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องชิงตำราเทพไร้ขอบเขตกลับมา!”
น้ำเสียงเจือความหนักแน่น “ปีนั้นหลังจากตาทวดของเจ้าช่วยข้า ข้าก็ตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะเลือกผู้สืบทอดคนหนึ่งมาจากทายาทของเขาให้ได้ หนึ่งคือเพื่อตอบแทนบุญคุณ สองคือไม่ถึงขั้นทำให้มรดกวิชาของสำนักข้าสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้”
“ตอนแรกคนที่ข้าเลือกคือตาของเจ้า แม้ว่าเขาจะไม่เคยปลุกพลังพรสวรรค์ แต่การฝึกศาสตร์สลักวิญญาณกลับไม่มีปัญหา”
“แต่ข้าคิดไม่ถึงว่ายามเขาใกล้รับตำแหน่งผู้นำตระกูล กลับเกิดการเปลี่ยนแปลงชวนตะลึง กระทั่งดาบเงาแสงและหินเทพพรสวรรค์ที่เขาครอบครอง รวมถึงตำราเทพไร้ขอบเขตก็ถูกลั่วฉงชิงไป”
“ยังดีที่เจ้าหนูอย่างเจ้ามีการหยั่งรู้ไม่เลว ติดตามฝึกศาสตร์สลักวิญญาณข้างกายข้ามาตั้งแต่เด็ก รอภายหน้าเมื่อชิงตำราเทพไร้ขอบเขตกลับมา ย่อมทำให้มรดกวิชาของสำนักข้าคงอยู่ไปชั่วกาล”
ลู่ป๋อหยาพูดถึงตรงนี้ สีหน้าก็เต็มไปด้วยความชื่นใจ
ตอนเด็กเขาเป็นแค่เด็กบ้านป่าธรรมดาไม่พิเศษคนหนึ่ง คุณสมบัติดาษดื่น ภายใต้วาสนาจึงถูกอาจารย์ของเขารับมาเป็นศิษย์
กล่าวเปรียบเทียบกันแล้ว พรสวรรค์ของหลินสวินแข็งแกร่งกว่าเขามากนัก!
จากมุมมองของลู่ป๋อหยา ขอเพียงสืบทอดตำราเทพไร้ขอบเขตได้ ภายหน้าความเชี่ยวชาญบนศาสตร์สลักวิญญาณของหลินสวินต้องเหนือกว่าเขาแน่
หลินสวินสูดหายใจลึก ตอบรับอย่างเคร่งครัด “ท่านลู่โปรดวางใจ ข้าจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่!”
จากนั้นหลินสวินกล่าวอย่างลังเล “ท่านลู่ ในใจข้ายังมีข้อสงสัยหนึ่งอยากขอคำชี้แนะ”
“เจ้าว่ามา”
“ปีนั้นยามท่านตาของข้าชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลกับลั่วฉง ต่อให้ด้านอื่นของท่านตาข้าสู้ลั่วฉงไม่ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นทายาทสายตรงของท่านตาทวด ทั้งเบื้องหลังยังมีผู้อาวุโสของตระกูลลั่วสายหลักอยู่มากมาย แต่ทำไมกลับถูกลั่วฉงชิงอำนาจไป”
หลินสวินไม่เข้าใจนัก
ลั่วชิงสวินเคยบอกว่าก่อนสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล บิดาของนางลั่วเซียวหายสาบสูญไปอย่างน่าประหลาดและไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ลั่วฉงฉวยโอกาสไป
แต่ตอนนั้นผู้อาวุโสของตระกูลลั่วสายหลักจะไม่สังเกตเห็นเลยหรือ ว่านี่มีโอกาสสูงว่าจะเป็นแผนการอย่างหนึ่ง
หรือพูดได้ว่า ทำไมถึงไม่รอให้ค้นหาความจริงที่ลั่วเซียวหายไปแล้วค่อยเลือกผู้นำตระกูล
เรื่องนี้ต้องมีเลศนัยแน่!
สีหน้าลู่ป๋อหยาเผยแววเย้ยหยัน กล่าวว่า “แม่ของเจ้าไม่ได้บอกความจริงในเรื่องนี้กับเจ้า เกรงว่าคงห่วงว่าเจ้าจะดูแคลนผู้อาวุโสของตระกูลลั่วสายหลักพวกนั้น ในเมื่อเจ้าถามมา ข้าก็จะบอกเจ้าเอง”
“ปีนั้นแม่กับลุงของเจ้ายังเด็ก ลั่วฉงที่รุ่นเดียวกับตาของเจ้า แม้ว่าปีนั้นจะมีมรรควิถีระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ แต่กลับไม่เคยแต่งงานมีบุตร”
“ก่อนสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูล หรือก็คือตอนที่ตาของเจ้าหายไปไม่นาน ข้างกายลั่วฉงพลันมีผู้หญิงคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา”
หลินสวินฟังถึงตรงนี้แล้วหรี่ตาเล็กน้อย “ผู้หญิงคนนี้มีปัญหาหรือ”
“ไม่ผิด ผู้หญิงคนนี้มีที่มาลึกลับ ฝีมือยิ่งเก่งกาจหาใดเปรียบ เคยเรียกระดับอมตะหลายคนจากน่านฟ้าที่เจ็ดมาตระกูลลั่ว บอกว่ามาเยี่ยมเยียนเป็นแขก ความจริงแล้วคือเสริมอานุภาพให้ลั่วฉง!”
“หลังจากผู้หญิงคนนี้เผยรากฐานพลังและอิทธิพลเช่นนี้ออกมาก็ปล่อยข่าวทันที ว่านางจะเป็นคู่บำเพ็ญของลั่วฉง ทั้งรับปากว่าขอแค่ลั่วฉงขึ้นเป็นผู้นำตระกูลลั่ว ก็จะช่วยตระกูลลั่วให้เด่นผงาดเต็มกำลัง อย่างน้อยก็ไม่ถึงขั้นถูกเผ่าจักรพรรดิอมตะอื่นบนน่านฟ้าที่เจ็ดกีดกันอีก”
“เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลลั่วสายหลักจึงรับปากหรือ” หลินสวินก็ขมวดคิ้วเช่นกัน
ลู่ป๋อหยาถอนหายใจกล่าว “ตระกูลลั่วในตอนนั้นล้มจนไม่อาจลุกขึ้นได้แล้ว สถานการณ์ย่ำแย่ ถูกขุมอำนาจใหญ่นับไม่ถ้วนบนน่านฟ้าที่เจ็ดกีดกัน หากไม่เปลี่ยนแปลงอีกก็มีโอกาสสูงว่าไม่อาจยืนอยู่บนน่านฟ้าที่เจ็ดได้”
“ทั้งตอนนั้นตาของเจ้ายังสาบสูญไร้ร่องรอย เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลลั่วสายหลัก… ก็เลยรับปากเรื่องนี้…”
น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นต่ำลึกทีละน้อย
หลินสวินฟังถึงตรงนี้แล้วรู้สึกไม่ชอบใจ เหล่าผู้อาวุโสของตระกูลลั่วสายหลักไม่เลอะเลือนเกินไปหน่อยหรือ ถึงกับฝากความหวังเรื่องฐานะของตระกูลลั่วไว้กับผู้หญิงที่มีความเป็นมาไม่ชัดเจนคนหนึ่ง ทำไมช่างน่าขันเยี่ยงนี้
“ตอนนั้นสถานการณ์ของตระกูลลั่วไม่อาจมองในแง่ดีได้จริงๆ ส่วนวิธีที่ผู้หญิงคนนั้นกับลั่วฉงเผยออกมาก็ร้ายกาจมาก รับรองเรื่องมากมายเป็นมั่นเหมาะ ทำให้ทั้งตระกูลพากันฮึกเหิม คิดว่ามองเห็นความหวังที่จะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง”
ลู่ป๋อหยาสีหน้าซับซ้อน “ตอนนั้นแม่กับลุงของเจ้ายังเด็ก ไม่มีความสามารถไปขวางทุกอย่างนี้ ส่วนข้ากำลังตรวจสอบเรื่องการหายไปของตาเจ้าที่โลกภายนอก เมื่อข้ารีบกลับมาตระกูลลั่ว ลั่วฉงก็ยึดอำนาจของผู้นำตระกูลไปอย่างสมเหตุสมผลนานแล้ว”
หลินสวินพลันทอดถอนใจภายในใจ วิธีการของพวกผู้อาวุโสตระกูลลั่วสายหลัก ต่างอะไรกับเจรจาขอหนังกับเสือ
“แต่ตอนนั้นต่อให้ข้าอยู่ก็เกรงว่าคงขวางทุกอย่างนี้ไม่ได้ ด้วยข้าเคยรับปากตาทวดของเจ้าว่าจะไม่แทรกแซงเรื่องภายในตระกูลลั่ว”
ลู่ป๋อหยายิ้มเยาะตนเองแล้วกล่าว “บางทีนี่อาจเป็นสิ่งที่เรียกว่าติดกับดักตัวเอง เพราะแม้แต่ข้าก็คิดไม่ถึงว่าตาทวดของเจ้าจะประสบเคราะห์กะทันหัน ทั้งคิดไม่ถึงว่าตระกูลลั่วจะเปลี่ยนเป็นอลหม่านและไม่ได้ความเช่นนั้น…”
หลินสวินกล่าวปลอบใจ “ท่านลู่ อย่างน้อยปีนั้นท่านก็ช่วยท่านแม่กับท่านลุงของข้าหนีออกมาจากตระกูลลั่ว เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
เขาห่วงว่าท่านลู่จะโทษตัวเองอีกจึงกล่าวเปลี่ยนเรื่องทันที “แต่หลังจากลั่วฉงขึ้นเป็นผู้นำตระกูล เหมือนว่าไม่ได้เปลี่ยนจุดจบที่ตระกูลลั่วถูกขับไล่ออกจากน่านฟ้าที่เจ็ดอยู่ดี หรือว่าผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนใจ”
ลู่ป๋อหยาเผยรอยยิ้มหยัน “เมื่อหลายปีก่อนยามข้ากลับมาโลกยอดนิรันดร์ได้ไม่นาน ข้าถึงสืบข่าวได้ว่า ปีนั้นพอลั่วฉงสืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลไม่นาน ภายใต้การบงการของผู้หญิงคนนั้นก็ล้มเลิกทุกสิ่งที่รับปากไว้ก่อนหน้านี้ทันที ทั้งออกคำสั่งให้กำราบเหล่าผู้อาวุโสตระกูลลั่วสายหลักทั้งหมด คนตระกูลลั่วสายหลักคนอื่นก็ประสบเคราะห์ไปด้วย แต่ละคนสถานการณ์ย่ำแย่ ราวกับนักโทษต้องขัง”
“ภายหลังข้าถึงรู้ว่าเป้าหมายที่ผู้หญิงคนนั้นยอมเป็นคู่บำเพ็ญกับลั่วฉง สนับสนุนเขาเป็นผู้นำตระกูล ก็เพราะต้องการห้องโถงมรรคาสวรรค์ กระบี่ศุภโชค และโลงนิรันดร์ที่ตาทวดของเจ้าเหลือไว้!”
“แต่เจ้าก็รู้ว่าสมบัติสามชิ้นนี้ล้วนถูกข้ากับแม่และลุงของเจ้านำมาด้วย ทำให้ความปรารถนาของผู้หญิงคนนั้นนับว่าสูญเปล่า มีหรือจะไปช่วยตระกูลลั่วให้ยืนหยัดในน่านฟ้าที่เจ็ดด้วยใจจริงอีก”
เมื่อหลินสวินฟังจบก็เข้าใจกระจ่าง อดยิ้มหยันพลางกล่าวไม่ได้ “เกรงว่าคนตระกูลลั่วพวกนั้นก็คิดไม่ถึง ว่าผู้หญิงที่ร่วมเรียงเคียงหมอนกับผู้นำตระกูลของพวกเขาที่แท้แล้วซ่อนแผนชั่วร้ายไว้แต่แรกกระมัง นี่ก็คือสิ่งที่เรียกว่าเจรจาขอหนังกับเสือ กรรมตามสนอง!”
น้ำเสียงเจือแววถากถางโดยไม่อำพรางแม้แต่น้อย
…………………