Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2708 เข้าร่วมยอดเขาที่เก้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2708 เข้าร่วมยอดเขาที่เก้า
ตอนที่ 2708 เข้าร่วมยอดเขาที่เก้า
หน้าเรือนมรรคกลาง
พอเห็นพวกฟางเต้าผิงปรากฏตัว สายตาทุกคู่ประเมินเล็กน้อยจากนั้นต่างพากันมองไปที่หลินสวิน บรรยากาศจึงแปรเปลี่ยนเป็นแปลกพิกลขึ้นมาด้วย
หลินสวินเองก็รับรู้ได้ว่าบรรยากาศผิดปกติ แต่ไม่ได้สนใจ
“ทุกท่าน สิบสี่คนนี้ก็คือผู้สืบทอดที่ผ่านการทดสอบครั้งนี้เข้าสู่ลัทธิแรกกำเนิดของพวกเรา คิดว่าพวกเจ้าก็รู้กันหมดแล้ว”
ฟางเต้าผิงเอ่ยเสียงเรียบ “ตอนนี้จะดำเนินการรับศิษย์ ในบรรดาเก้ายอดเขาใหญ่ ไม่ว่าต้องการเลือกผู้สืบทอดคนไหนก็ยื่นข้อเสนอได้ สิทธิ์ในการตัดสินขั้นสุดท้ายอยู่ที่ผู้สืบทอดเหล่านี้”
นี่เป็นกฎการรับศิษย์
“โจวจือจือ ถ้าเจ้ามายอดเขาที่หนึ่ง ข้ารับรองว่าจะต้องทำให้เจ้าเลื่อนขึ้นเป็นศิษย์แกนหลักภายในสิบปี เสาะหาทรัพยากรในการแจ้งมรรคอมตะมาให้เจ้า!”
ผู้นำยอดเขาที่หนึ่งเยวี่ยอู๋โฉวเอ่ยปากเชื้อเชิญโจวจือจือทันที
“ตู๋กูโยวหรัน ยอดเขาที่หกของพวกเรารอเจ้ามานานแล้ว”
“ฉีชิงซือ ตงหวงเซ่าเหวิน มู่จุนอู๋ พวกเจ้าสามคนมายอดเขาที่สี่ของข้าได้”
…เสียงแย่งชิงผู้สืบทอดดังขึ้นในที่นั้น ผู้นำเก้ายอดเขาใหญ่แต่ละลูกต่างพากันเอ่ยปากยื่นข้อเสนอของตัวเอง สถานการณ์คึกคักนัก
และมีหลายคนเชื้อเชิญหลินสวินเช่นเดียวกัน
อาทิเช่นผู้นำยอดเขาที่สองอวิ๋นเทียนหมิง ผู้นำยอดเขาที่สามหนานป๋อหง ผู้นำยอดเขาที่สี่มู่อวิ๋นเจิง
มองเผินๆ ทุกคนต่างหวังใจว่าจะรับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่สะดุดตายิ่งอย่างเขาเป็นศิษย์ แต่ในใจคิดเช่นไร คนนอกไม่อาจล่วงรู้ได้
หลินสวินมองดูเรื่องนี้ แต่นิ่งเงียบไม่พูดจา
เขารู้จากปากเซียวเหวินหยวนแล้วว่าภายในลัทธิแรกกำเนิดเกิดการแบ่งฝ่ายครั้งใหญ่เพราะการมาถึงของตน
และพูดไว้ว่าเกรงว่าในเก้ายอดเขาใหญ่จะมีผู้ที่ซุกซ่อนใจมุ่งร้ายอยู่ไม่น้อย
ดังนั้นหลินสวินจึงไม่ได้แสดงท่าทีต่อการเชื้อเชิญเหล่านี้ในทันที
ไม่นานนักหลังผ่านการเอ่ยข้อเสนอ โจวจือจือก็ตกลงเข้าฝึกปราณในยอดเขาที่หนึ่ง ทำให้เยวี่ยอู๋โฉวยิ้มหน้าบาน
จากนั้นตู๋กูโยวหรันก็ตอบรับเข้าฝึกปราณในยอดเขาที่หก
ผู้นำยอดเขาที่หกเป็นสตรีเพียงผู้เดียว มีนามว่าเหวินตงเหมียน อ่อนโยนเคร่งขรึม
พอเห็นตู๋กูโยวหรันตอบรับ นางเผยรอยยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้ ปู่น้อยของตู๋กูโยวหรันคือตู๋กูยง หนึ่งในรองหัวหน้าหอแรกมายา
หอแรกมายาดูแลเรื่องการถ่ายทอดวิชา ปกปักษ์คัมภีร์มรดกต่างๆ ของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด สถานะของหอคล้ายกับ ‘หอเก็บตำรา’
สำหรับยอดเขาที่หกแล้ว มีตู๋กูโยวหรันเข้าร่วมก็เป็นเรื่องดีเรื่องหนึ่ง
เซี่ยงเสี่ยวหยวนเข้ายอดเขาที่เจ็ด
พอเห็นภาพนี้ หลายคนยังเผยสีหน้าเหลือเชื่อออกมาพอสมควร
เฒ่าชราพวกนี้แต่ละคนร้ายกาจกันทั้งนั้น สืบพื้นเพของเซี่ยงเสี่ยวหยวนจนปรุมานานแล้ว รู้ว่านางมาจากตระกูลหลิ่วเซียง นอกจากนี้ก็ไม่ได้มีภูมิหลังเด่นดัง
มิหนำซ้ำในหมู่ผู้สืบทอดสิบสี่คนนี้ ผลงานของเซี่ยงเสี่ยวหยวนยังถือว่าอยู่ระดับกลางค่อนไปทางล่างเท่านั้น
หากเพียงเท่านี้ผู้คนก็คงไม่ประหลาดใจ
แต่ในการทดสอบรอบแรก ใครๆ ต่างรู้ดีว่าความสัมพันธ์ของเซี่ยงเสี่ยวหยวนกับหลินสวินไม่ธรรมดา คงเป็นสหายที่ดีต่อกันเป็นอย่างยิ่ง
การผูกสัมพันธ์กับหลินสวิน เรื่องนี้ก็ย่อมไม่ปกติ
กระทั่งคนใหญ่คนโตผู้วางตัวเป็นคนนอกอย่างผู้นำยอดเขาที่หนึ่งเยวี่ยอู๋โฉว ก็ไม่ได้พิจารณาจะรับเซี่ยงเสี่ยวหยวนเลยสักนิด
ทว่าใครจะคิดว่ายอดเขาที่เจ็ดกลับเชื้อเชิญนาง!
เรื่องนี้ช่างน่าขบคิดนัก
แม้แต่หลินสวินยังอึ้งไปเล็กน้อย จดจำชื่อของผู้นำยอดเขาที่เจ็ดเถียนอู๋ชั่วเอาไว้
ถัดมาผู้สืบทอดคนอื่นๆ บางส่วนก็ทยอยตัดสินใจ
อย่างตงหวงเซ่าเหวินกับมู่จุนอู๋ เข้ายอดเขาที่สี่ไปด้วยกัน
ฉีชิงซือเข้ายอดเขาที่สาม
จงหลีเฟยอวิ๋นเข้ายอดเขาที่สอง
ในที่สุดก็เหลือเพียงหลินสวิน
สายตาทุกคู่ต่างมองมาที่หลินสวิน สีหน้าแตกต่างกันไป รอคอยการตัดสินใจของเขา
“ถ้าเจ้าไม่รู้ว่าจะเลือกเช่นไร ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ก็ในตอนนี้เองฟางเต้าผิงพลันเอ่ยปาก
ประโยคเดียวทำให้สีหน้าคนใหญ่คนโตในที่นั้นหลายคนเปลี่ยนไปเล็กน้อย ฟางเต้าผิงเป็นรองหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ เขาเอ่ยปากตอนนี้หมายความว่าอย่างไร
“ขอบคุณผู้อาวุโสที่หวังดี ข้าน้อยตัดสินใจไว้ก่อนแล้ว คิดว่าจะไปยอดเขาที่เก้า” หลินสวินกล่าว
เมื่อพูดเช่นนี้ออกมา หลายคนต่างก็อึ้งไป
ขนาดผู้นำยอดเขาที่เก้า ฉินอู๋อวี้ยังอึ้งค้าง ตั้งแต่เริ่มจนจบเขาไม่ได้เชิญหลินสวินเลยสักครั้ง!
นี่มันเกิดอะไรขึ้น
กลับพบว่าฟางเต้าผิงคล้ายไม่ได้ประหลาดใจ มองไปที่ผู้นำยอดเขาที่เก้าฉินอู๋อวี้แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ข้าคนแซ่ฟางอยากยินดีกับผู้นำยอดเขาฉินนัก ภายหน้ามีหลินสวินเข้าร่วมยอดเขาที่เก้า ต้องทำให้อันดับยอดเขาที่เก้าเพิ่มสูงขึ้นเป็นอย่างยิ่งแน่”
ทุกคนสีหน้าต่างกันไป
ฉินอู๋อวี้มุมปากเกร็งกระตุกไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยอย่างเบิกบานใจว่า “การถูกตาต้องใจสหายน้อยหลินสวิน เป็นเรื่องโชคดียิ่งของยอดเขาที่เก้าของข้า!”
เพียงแต่ใครก็ดูออกว่าเขาฝืนใจพูดประโยคนี้
แม้แต่หลินสวินยังดูออกว่าฉินอู๋อวี้ปากไม่ตรงกับใจอยู่บ้าง…
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้”
ฟางเต้าผิงตัดจบ “อีกสามวันข้าจะมอบป้ายคำสั่งสำนักของสิบสี่คนนี้ให้พวกเจ้าเก้ายอดเขาใหญ่ ต่อแต่นี้ไปผู้สืบทอดเหล่านี้ก็จะล่มหัวจมท้ายไปกับพวกเจ้า”
เหล่าคนใหญ่คนโตต่างพยักหน้ารับเบาๆ
จากนั้นต่างพาผู้สืบทอดที่เลือกจากไป
“พวกเราก็ไปเถอะ”
ฉินอู๋อวี้มองหลินสวินปราดหนึ่ง ถอนใจเบาๆ เมื่อสะบัดแขนเสื้อเมฆมงคลก้อนหนึ่งก็ผุดขึ้นมารับเขากับหลินสวินไว้ แล้วหายลับไปอย่างรวดเร็ว
ฟางต้าผิงมองส่งพวกเขาจากไป แล้วเดินเข้าไปในเรือนมรรคกลางตามลำพัง
ในเรือนเงาร่างสองร่างนั่งขัดสมาธิอยู่
คนหนึ่งรูปร่างผอมแห้งกระดูกโปน สวมชุดผ้าป่านทั้งตัว คือทังชิวรองหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์
อีกคนหนึ่งรูปร่างอวบอ้วนจนเหมือนทรงกลม นั่งอยู่ตรงนั้นก็เหมือนกับเนินเขาน้อยๆ ลูกหนึ่ง เป็นอวี๋สิ่งรองหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์
ทังชิวกับอวี๋สิ่งเป็นรองหัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์เหมือนกับฟางเต้าผิง
หลายปีนี้ที่โหยวเป่ยไห่หัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ปิดด่าน มีพวกเขาสามคนควบคุมดูแลหอแรกพิสุทธิ์มาตลอด
“เรื่องรับผู้สืบทอดจบลงอย่างราบรื่นแล้วหรือ”
พอเห็นฟางเต้าผิงเข้ามา อวี๋สิ่งก็ยิ้มพลางเอ่ยถาม เขารูปร่างอวบอ้วน ยิ้มตาหยี ดูเมตตานัก
ฟางเต้าผิงร้องอืม สายตามองที่ทังชิวแล้วกล่าวว่า “รองหัวหน้าหอทัง ยันต์หยกที่ลี่จงหย่วนพกในการทดสอบรอบที่สองเป็นสิ่งที่เจ้าจัดสรรให้หรือ”
ทังชิวที่ผอมแห้งกระดูกโปนลืมตาขึ้น เอ่ยด้วยใบหน้าราบเรียบว่า “มีปัญหาหรือ”
“มีปัญหาหรือไม่ ในใจรองหัวหน้าหอทังคงรู้ดีที่สุด”
ฟางเต้าผิงที่ตลอดมาไม่แก่งแย่งกับใคร นิ่งเฉยดุจเมฆา ยามนี้กลับดูแข็งกร้าวนัก “หรือควรพูดว่ารองหัวหน้าหอทังควรยินดีที่คราวนี้หลินสวินไม่ได้ถูกคัดออก มิเช่นนั้นหากให้หอแรกนภาที่ดูแลเรื่องกฎระเบียบตรวจสอบ เกรงว่าจะเกิดเรื่อง”
ทังชิวนิ่วหน้า เอ่ยด้วยแววตาเย็นเยียบว่า “ข้ากระทำการตามกฎ ไม่เคยทำเรื่องไม่ดีอะไรที่ไม่อาจแพร่งพรายได้ ไยต้องกลัวหอแรกนภามาตรวจสอบด้วย”
“เอาน่าๆ พวกเจ้าก็อย่าทะเลาะกันเลย การทดสอบจบลงไปแล้วจะไปจุกจิกกับเรื่องพวกนี้เพื่ออะไร” อวี๋สิ่งที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพลางไกล่เกลี่ย
ฟางเต้าผิงเอ่ยเสียงเรียบ “ไม่ซักไซ้เรื่องนี้ก็ได้ แต่เพราะการต่อสู้นี้ลี่จงหย่วนจึงเกิดรอยแผลในสภาวะจิต คนผู้นี้เป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิสิบอันดับแรกในหมู่เก้ายอดเขาใหญ่ มีคุณสมบัติแจ้งมรรคอมตะตั้งแต่สองสามร้อยปีก่อน ตอนนี้กลับประสบเคราะห์ในการทดสอบเช่นนี้ เกรงว่าบางคน… จะหนีคำตำหนิได้ยาก”
ทังชิวเอ่ยสีหน้าราบเรียบ “เช่นนั้นหรือ ผู้รับผิดชอบการทดสอบคราวนี้คือรองหัวหน้าหอฟาง ตอนนี้เกิดเรื่องเช่นนี้ เกรงว่าเจ้าก็ไม่อาจลอยตัวเหนือปัญหาได้กระมัง”
ก็ในตอนนี้เองเสียงกังวานใสเสียงหนึ่งดังขึ้นนอกเรือนมรรคกลาง
“ใต้เท้าทั้งสาม เขาแรกพิสุทธิ์มีข่าวมา หัวหน้าหอโหยวเชิญให้ท่านทั้งสามไปพบ”
หัวหน้าหอโหยว!
ย่อมเป็นโหยวเป่ยไห่ หัวหน้าหอแรกพิสุทธิ์ผู้ปิดด่านมานานปีผู้นั้น!
บัดนี้ฟางเต้าผิง ทังชิวและอวี๋สิ่งต่างตกตะลึง หรือเรื่องการทดสอบคราวนี้จะสร้างแรงสะเทือนให้หัวหน้าหอที่อยู่ระหว่างปิดด่านด้วย
ทั้งสามไม่ชักช้า รีบเร่งไปหาทันที
……
ยอดเขาที่เก้ามีอีกชื่อว่ายอดเขาแท่นบัว
ตั้งอยู่บริเวณตะวันตกเฉียงเหนือของแดนแรกเริ่ม ตัวภูเขาเหมือนแท่นบัวที่ตั้งตระหง่านค้ำฟ้าแท่นหนึ่ง รวมสิ้นทุกความงดงามในธรรมชาติ
เมฆมงคลรองรับฉินอู๋อวี้กับหลินสวิน บินตรงไปที่ยอดเขาที่เก้า
ฉินอู๋อวี้นิ่งเงียบตลอดทาง รูปลักษณ์ของเขาดูธรรมดาเล็กน้อย รอยย่นที่หว่างคิ้วรวมเป็นตัวอักษร ‘川’ สีผิวดำคล้ำ แต่งกายด้วยชุดคลุมยาว ดูไม่สะสุดตานัก
แต่ก็เป็นคนเช่นนี้ที่เป็นระดับอมตะขั้นดับเทพอย่างแท้จริง!
กระทั่งมองเห็นยอดเขาที่เก้าอยู่ลิบๆ ฉินอู๋อวี้ลังเลครู่หนึ่งก่อนหยุดเท้า เอ่ยว่า “หลินสวิน ในเมื่อเจ้าเป็นผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าแล้ว มีบางอย่างที่ต้องให้เจ้ารู้ไว้ก่อน”
หลินสวินกุมมือเอ่ย “ขอผู้นำยอดเขาสอนสั่ง”
ฉินอู๋อวี้เอ่ย “เจ้าไม่ใช่ผู้สืบทอดทั่วไป บางอย่างข้าก็ไม่ขอปิดบังเจ้า ความจริงแล้วข้าก็เหมือนกับผู้นำยอดเขาที่หนึ่งเยวี่ยอู๋โฉว ไม่อยากถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้อง ในใจข้าจึงรู้สึกขัดต่อการมาของเจ้าเหมือนกัน”
หลินสวินนิ่งเงียบไปเล็กน้อย เอ่ยว่า “พูดเช่นนี้ เป็นศิษย์ทำให้ผู้นำยอดเขาลำบากแล้ว”
ฉินอู๋อวี้ถอนใจเบาๆ “ไม่ถึงกับทำให้ลำบาก แค่รู้สึกรับมือยากอยู่บ้าง”
ทันใดนั้นเขาก็ส่ายหัวเอ่ย “ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไร้ประโยชน์ และเจ้าก็เป็นผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าไปแล้ว ข้าย่อมมองเจ้าเป็นคนของตัวเอง”
“ขอเพียงเจ้าไม่ละเมิดกฎระเบียบของสำนัก ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าย่อมออกหน้าแทนเจ้า แต่ถ้าเจ้าทำเรื่องผิดกฎเกณฑ์ ข้าก็ปกป้องเจ้าไม่ได้”
คำพูดเดียวเปิดเผยตรงไปตรงมา พูดอย่างกระจ้างแจ้ง
นี่กลับทำให้หลินสวินรู้สึกดี เอ่ยอย่างจริงจังว่า “ศิษย์ย่อมจดจำคำสอน ขอผู้นำยอดเขาวางใจก็พอ”
ฉินอู๋อวี้พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไรอีก พาหลินสวินมุ่งหน้ามาถึงยอดเขาที่เก้า
เขานี้งามวิลาศ ประหนึ่งแดนสมบัติเคหาสน์เซียน
เกลียวเมฆถาโถมม้วนตลบ แสงเทพมากมายพร่างพรม กลิ่นอายแรกกำเนิดเข้มข้นหนาแน่น อาบชโลมยอดเขาที่เก้าที่เป็นดั่งแท่นบัวทั้งลูกไว้ บรรยากาศโชติช่วงเจิดจรัสไปหมด
มองจากไกลๆ หลินสวินยังสะท้านใจอย่างอดไม่ได้
เขาเคยเข้าไปในแดนมงคลไผ่เขียวที่ตระกูลจวงอยู่ ทั้งยังเคยสะท้านไหวกับความงามของโลกแดนลับเช่นนั้น แต่พอเทียบกับยอดเขาที่เก้าก็เทียบไม่ได้โดยสิ้นเชิง
นี่ก็คือยอดเขาที่เก้า!
และสถานที่อันล้ำเลิศเช่นนี้ ในลัทธิแรกกำเนิดแห่งนี้ยังมีอยู่มาก!
แค่จากจุดนี้ก็ดูออกว่าในฐานะหนึ่งในสี่หอบรรพจารย์ รากฐานของลัทธิแรกกำเนิดแข็งแกร่งและเหนือธรรมดาปานไหน
ก็ไม่แปลกที่ทำให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดเหล่านั้นยังยำเกรงอยู่บ้าง!
ยามเงาร่างของฉินอู๋อวี้กับหลินสวินปรากฏ บนยอดเขาที่เก้าก็มีเงาร่างมากมายรออยู่ก่อนแล้ว
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนของยอดเขาที่เก้า มีทั้งศิษย์สืบทอดแท้จริง ศิษย์แกนหลัก รวมถึงเหล่าผู้อาวุโส
เห็นได้ชัดว่าพวกเขารอมานานแล้ว
“หลินสวิน?!”
“ทำไมถึงเป็นเขา”
เมื่อเห็นผู้สืบทอดที่ผู้นำยอดเขาฉินอู๋อวี้พากลับมา พวกเขาต่างก็ประหลาดใจ ตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ
——