Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2744 สนามรบพิพาทสวรรค์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2744 สนามรบพิพาทสวรรค์
ตอนที่ 2744 สนามรบพิพาทสวรรค์
หลินสวินข้ามด่านเคราะห์สำเร็จแล้ว!
ความจริงข้อนี้ก็เหมือนฝ่ามือไร้รูปฟาดเข้ากกหูพวกฝูเหวินหลีอย่างจัง แสบร้อนไปหมด
ก่อนหน้านี้พวกเขายังเศร้าสร้อยเสียใจ หมายเก็บเถ้ากระดูกจัดงานฝังศพอย่างดีให้หลินสวิน คำพูดคำจาล้วนเหมือนกำลังบอกว่าครั้งนี้หลินสวินต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย
ทว่าเวลานี้ถ้อยคำที่เคยพูดเหล่านี้ก็เหมือนฝ่ามือฟาดเข้าที่หน้าของตนฉับพลัน เสียงดังเจ็บแสบ สีหน้ายังดูได้ก็น่าแปลกแล้ว
สามารถกล่าวได้ว่า เรื่องที่หลินสวินข้ามด่านเคราะห์สำเร็จ เท่ากับทำให้แผนการทั้งหมด รวมถึงความพยายามทั้งหลายของพวกเขาก่อนหน้านี้เสียเปล่า
พ่ายแพ้ราบคาบ!
สำหรับศัตรูอย่างพวกเขา สิ่งที่ไม่สามารถยอมรับได้มากที่สุดก็คือผู้สืบทอดที่เจ้าแห่งคีรีดวงกมลเฝ้ารอมาหมื่นกาลอย่างหลินสวิน ทะลวงปราณก้าวสู่อมตะ
เพื่อสิ่งนี้พวกเขาพากเพียรวางแผน ทุ่มเทกายใจ ลงมือบ่อยครั้งในช่วงที่ผ่านมา โจมตีคนที่เกี่ยวข้องกับหลินสวินทั้งหมดในลัทธิแรกกำเนิด ทั้งยังลงมือกับผู้สืบทอดคีรีดวงกมลและตระกูลลั่วนอกลัทธิแรกกำเนิดอีกด้วย
ถึงขั้นที่ยังส่งกองกำลังมุ่งหน้าไปทางเดินโบราณฟ้าดารา หมายจับกุมญาติมิตรของหลินสวิน!
แผนการทั้งหมดนี้ล้วนทำเพื่อสั่นคลอนสภาวะจิตของหลินสวิน ทำให้เขาล้มเหลวในการข้ามด่านเคราะห์
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเรื่องเสียเปล่าทั้งหมด
ความพ่ายแพ้และไม่พอใจที่ยากจะพรรณนาก่อตัวอยู่ในใจบรรดาคนใหญ่คนโตเหล่านี้ ทำให้สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งมืดทะมึนและไม่น่าดูมากขึ้นเรื่อยๆ
คนมากมายในที่นั้นกำลังตื่นเต้นยินดี แซ่ซ้องให้กับหลินสวิน
นี่ทำให้พวกฝูเหวินหลีที่นิ่งเงียบไม่พูดไม่จาดูแปลกแยกอย่างเห็นได้ชัด แน่นอนว่าก็เรียกสายตาจากคนใหญ่คนโตอย่างพวกเสวียนเฟยหลิงด้วยเช่นกัน
มองเห็นสีหน้าเหยเกที่อึมครึมสุดๆ ของพวกฝูเหวินหลีแล้ว ล้วนอดหัวเราะอย่างรู้อยู่เต็มอกไม่ได้ รสชาติที่แผนการล้มเหลว อย่างไร… ก็ไม่ใช่รับได้ง่ายปานนั้น…
ใต้เวิ้งฟ้า
หลินสวินยืนอยู่ลำพัง เงาร่างของเขาสูงโปร่ง ทั่วร่างรายล้อมด้วยกลิ่นอายอมตะที่โปร่งใสแวววาวเป็นสายๆ แปลงเป็นวงแหวนเทพที่ประหนึ่งไม่เสื่อมคลาย เจิดจรัสศักดิ์สิทธิ์ โอบพิทักษ์ทั้งตัวเขาเอาไว้
อาภรณ์ทั้งชุดโบกสะบัดกลางสายลม ไร้มลทินดุจเซียนศักดิ์สิทธิ์
เขาในตอนนี้ไม่ใช่ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิอีกต่อไปแล้ว หากแต่เป็นระดับอมตะที่มีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าคนหนึ่ง!
อายุขัยเทียมฟ้า ยืนยงคงนิรันดร์!
เขากำลังสงบจิตสัมผัสพลังขับเคลื่อนแห่งตน
การข้ามด่านเคราะห์ครั้งนี้นำความเปลี่ยนแปลงที่ไม่เคยมีมาก่อนมาให้เขา มรรควิถี กฎเกณฑ์ พลังใหม่เอี่ยมนั้นเต็มเปี่ยมทั่วกายทั้งบนล่าง ทำให้ในใจเขาเกิดความพึงพอใจอย่างหนึ่งขึ้นมาเองโดยธรรมชาติ
“ศิษย์น้องหลินสวิน ศิษย์พี่ขอแสดงความยินดีที่เจ้าแจ้งมรรคสำเร็จ ก้าวสู่ระดับอมตะได้สำเร็จ แต่เจ้ายังจำคำพูดเมื่อคืนวานได้หรือไม่”
ทันใดนั้นฉีหลิงเจิ้นเอ่ยปากเสียงเข้ม เสียงดังทั่วลาน
พวกคนใหญ่คนโตอย่างเสวียนเฟยหลิงที่แต่เดิมรอยยิ้มเปื้อนหน้า นัยน์ตาหดรัดทันที ลอบสบถว่าแย่แล้ว
ส่วนพวกฝูเหวินหลีที่กำลังหัวเสียและเดือดดาลก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมา พลันฉุกคิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมา ดุจดั่งเมฆคลายตะวันโผล่ก็ไม่ปาน
นัดสู้!
หลินสวินในตอนนี้เพิ่งทะลวงด่านเคราะห์แจ้งมรรค ก้าวสู่ระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าซึ่งเป็นระดับพลังใหม่เอี่ยม ทำให้เขาไม่อาจกระตุ้นอานุภาพของระดับอมตะออกมาได้อย่างแท้จริงในเวลาอันสั้น
เวลาเช่นนี้ให้ ‘คนเก่า’ ที่อยู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้ามานานปีอย่างฉีหลิงเจิ้นออกโจมตี ย่อมสามารถสังหารเขาได้ง่ายๆ!
ที่น่าอัศจรรย์ที่สุดคือ คู่ต่อสู้ในการนัดสู้ของหลินสวินไม่ได้มีแค่ฉีหลิงเจิ้นคนเดียว ยังมีจงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้น ฟู่เจาเซิงด้วย!
ทั้งสี่คนเป็นยักษ์ใหญ่ในหมู่ศิษย์ที่แจ้งมรรคอมตะมานานปี จะกำจัด ‘คนใหม่’ ที่เพิ่งทะลวงปราณเลื่อนระดับคนหนึ่งไม่ได้เชียวหรือ
คิดถึงตรงนี้หมอกอึมครึมในใจพวกฝูเหวินหลีก็หายเกลี้ยง เหิมฮึกคึกคะนอง ดวงตาเป็นประกาย
“ย่อมจำได้อยู่แล้ว”
ใต้เวิ้งฟ้าหลินสวินยืนไพล่หลัง สายตามองสำรวจพวกฉีหลิงเจิ้นสี่คนแล้วกล่าวว่า “ต่อให้ศิษย์พี่ทุกท่านจะลืมไปแล้ว ข้าก็ไม่ลืมแน่”
“หลินสวิน เจ้าเพิ่งแจ้งมรรคทะลวงระดับ เหตุใดต้องรีบร้อนแลกเปลี่ยนเรียนรู้กับผู้อื่นเช่นนี้ด้วย”
ไกลออกไปเสวียนเฟยหลิงขมวดคิ้วเอ่ยเตือน เตือนสติเขาว่าวันหน้ายังอีกยาวไกล
พวกฟางเต้าผิง ตู๋กูยงก็หันสายตามองหลินสวินเช่นกัน ความหมายชัดเจนยิ่ง คือไม่อยากให้เขาใจเร็วด่วนได้ อยากให้อดทนไปก่อนชั่วคราว
“ทุกท่าน หากข้าจำไม่ผิด เมื่อวานเป็นหลินสวินเองที่เอ่ยปากนัดต่อสู้ หาใช่พวกศิษย์อย่างฉีหลิงเจิ้นจงใจหาเรื่องหลินสวินในเวลานี้”
ฝูเหวินหลีเอ่ยปาก หน้ายิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม “เรื่องนี้เมื่อวานพวกฉีหลิงเจิ้นยังมาขออนุญาตข้ากับรองหัวหน้าหอฉีเซียวอวิ๋น เดิมข้าสองคนไม่อยากเห็นความโหดร้ายระหว่างศิษย์สำนักเดียวกัน แต่จากที่พวกฉีหลิงเจิ้นว่ามา หลินสวินคนนี้ดื้อดึงต้องการทำเช่นนี้ ด้วยจนปัญญา ข้าสองคนก็ได้แต่พยักหน้าอนุญาต”
ฉีเซียวอวิ๋นที่อยู่ข้างกันเอ่ยเสียงขรึม “ที่พี่ฝูกล่าวมานั้นถูกต้อง”
“นี่เป็นศึกตัดสินที่ไม่ตายไม่เลิกรา!”
เสวียนเฟยหลิงกล่าวเสียงเย็นเยียบ “พวกเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ออกจะเลอะเลือนเกินไปแล้ว เรื่องนี้ข้าไม่เห็นด้วย!”
หากต้องการตัดสินเป็นตายในสนามรบพิพาทสวรรค์ จำเป็นต้องได้รับความเห็นชอบเป็นเอกฉันท์จากรองหัวหน้าหอสามคนของหอแรกนภา หรือกล่าวได้ว่าขอเพียงมีหนึ่งคนไม่เห็นด้วย การนัดสู้เช่นนี้ก็ไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
ถึงอย่างไรล้วนเป็นผู้สืบทอดของลัทธิแรกกำเนิด การต่อสู้ถึงขั้นตัดสินเป็นตายร้ายแรงเกินไป ภายใต้สถานการณ์ปกติย่อมไม่มีใครอยากเห็นเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น
สีหน้าคนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลีล้วนอึมครึม
“ศิษย์น้อง เมื่อคืนวานเจ้ารับปากกับข้าเอง ว่าจะทำให้รองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงตอบรับการนัดสู้ครั้งนี้ แต่ตอนนี้…”
ฉีหลิงเจิ้นถอนใจยาว ในถ้อยคำแฝงนัยเปี่ยมล้น
เสวียนเฟยหลิงถลึงตา ตั้งท่าจะเอ่ยปาก หลินสวินกลับเอ่ยตัดหน้าขึ้นมาก่อนว่า “ผู้อาวุโส ช่วยสนับสนุนการต่อสู้ครั้งนี้ของข้ากับเหล่าศิษย์พี่ด้วย!”
ถ้อยคำราบเรียบดังก้องทั่วลาน เรียกเสียงฮือฮานับไม่ถ้วน
ในการคาดเดาของผู้คน หลินสวินเพิ่งจะทะลวงระดับ ไม่จำเป็นต้องต่อสู้ในศึกตัดสินที่ไม่ตายไม่เลิกราเช่นนี้อีกสักนิด ด้วยรากฐานและพลังที่เขาสำแดงตอนแจ้งมรรค รวมถึงมรรคาอมตะที่เหยียบย่าง วันหน้าต้องโดดเด่นเฉิดฉายอย่างแน่นอน
แต่ใครจะคาดคิด หลินสวินกลับดึงดันจะต่อสู้ในเวลานี้!
“เจ้า…”
เสวียนเฟยหลิงยังโมโหอยู่บ้าง เจ้าหนูนี่เหตุใดจึงเหลวไหลเช่นนี้!
“พี่หลิน นี่ไม่ใช่เวลาล้อเล่นมั่วซั่วนะ อย่าทำเช่นนี้ ต่อให้ไม่ต่องสู้ ทั้งบนล่างของลัทธิแรกกำเนิดนี้ใครยังจะกล้าหัวเราะเยาะเจ้าอีก” เสวียนจิ่วอิ้นก็พยายามโน้มน้าว
จินเทียนเสวียนเยวี่ยกลับไม่ได้ห้ามปราดอย่างผิดปกติ
ก่อนหน้านี้นานมาแล้ว นางเคยติดตามปรนนิบัติข้างกายหลินสวิน เคยเห็นหลินสวินพลิกสถานการณ์อย่างไรท่ามกลางความเสียเปรียบมาหลายต่อหลายครั้ง
ในใจของนางมีความเชื่อมั่นอย่างไม่ลืมหูลืมตาต่อหลินสวินนานแล้ว
ก็เหมือนการแจ้งมรรคทะลวงระดับครั้งนี้ ใครกล้าเชื่อบ้างว่าหลินสวินจะสามารถรอดชีวิตกลางมหาเคราะห์น่าสะพรึงขนาดนั้นมาได้
ตอนนี้หลินสวินกล้ายืนยันเช่นนี้ ทำให้จินเทียนเสวียนเยวี่ยเองก็กล้าฟันธงว่าคุณชายของตนต้องมีความมั่นใจแน่!
เพียงแต่อย่างไรนางก็ตัวคนเดียว คนใหญ่คนโตอย่างพวกตู๋กูยง ฟางเต้าผิง ฉินอู๋อวี้ต่างยากจะเข้าใจว่าเหตุใดหลินสวินจึงต้องการทำเช่นนี้
“หากข้าไม่เห็นด้วยเล่า”
กลับเห็นเสวียนเฟยหลิงกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม
หลินสวินนิ่งเงียบครู่หนึ่ง กำลังจะเอ่ยปาก
กลางห้วงอากาศพลันมีม้วนหยกสีขาวหิมะม้วนหนึ่งพุ่งออกมา และมาหยุดอยู่ตรงหน้าเสวียนเฟยหลิง ฝ่ายหลังอึ้งไป ก่อนจะหยิบม้วนหยกมาคลี่ออก
เสวียนเฟยหลิงพลันเลิกคิ้ว สีหน้าเปลี่ยนไปพักหนึ่ง
ทุกคนต่างจ้องมองเหตุการณ์นี้ ล้วนแปลกใจสงสัยอย่างเลี่ยงไม่ได้
และในใจเหล่าคนใหญ่คนโตในที่นี้ต่างหนาวเยือกขึ้นมาระลอกหนึ่ง ด้วยจำกลิ่นอายบนม้วนหยกขาวหิมะนั่นได้ เป็นของที่มาจากหัวหน้าหอแรกนภา!
นี่ใต้เท้าหัวหน้าหอคิดจะทำอะไร
สายตาทุกคู่ล้วนมองไปทางเสวียนเฟยหลิง
ครู่ใหญ่กว่าเสวียนเฟยหลิงจะเก็บม้วนหยก สูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้ายืนยันขนาดนี้ ข้าก็จะไม่ปฏิเสธอีก”
ทั่วลานสั่นสะเทือน
ม้วนหยกม้วนเดียวถึงกับเปลี่ยนท่าทีของรองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงได้!
ส่วนในใจเหล่าคนใหญ่คนโตพวกนั้นก็ไหวหวั่นไประลอกหนึ่ง ตระหนักได้ว่าคนที่ทำให้เสวียนเฟยหลิงเปลี่ยนท่าทีคือหัวหน้าหอแรกนภา!
เพียงแต่ไม่มีใครรู้ ว่าเขาทำเช่นนี้เพราะกำลังช่วยหลินสวินหรือกำลังช่วยพวกฝูเหวินหลีอยู่กันแน่
แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกฝูเหวินหลีในยามนี้ล้วนอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ ในใจชื่นมื่นตั้งตาคอย ราวกับมองเห็นภาพที่หลินสวินถูกสังหารตายคาที่แล้ว
ด้านหลินสวินก็โล่งใจ พูดตามตรง หากเสวียนเฟยหลิงยืนยันไม่เห็นด้วยกับการนัดสู้ครั้งนี้ เขาเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
ยังดีที่ตอนสุดท้ายยังสมปรารถนา
เขาหันสายตามองพวกฉีหลิงเจิ้นที่อยู่ไกลๆ กล่าวว่า “เรื่องไม่อาจล่าช้า ศิษย์พี่ทั้งหลายเตรียมตัวพร้อมแล้วใช่หรือไม่”
ฉีหลิงเจิ้นกล่าวยิ้มๆ “ไยต้องเตรียมตัว ไปสนามรบพิพาทสวรรค์เดี๋ยวนี้ก็ได้!”
จงหลีหรัน กู้เซ่าอิ้น ฟู่เจาเซิงต่างอดหัวเราะขึ้นมาได้
การนัดสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นได้จริงๆ ทำให้พวกเขาดีใจจนออกนอกหน้า ถึงขั้นที่ยังไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง ถึงอย่างไรใครไม่รู้บ้างว่าหลินสวินเพิ่งจะทะลวงระดับ
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ใช่ว่าเขารนหาที่ตายอยู่หรือ
“ไป ไปสนามรบพิพาทสวรรค์!”
พวกฝูเหวินหลีต่างอดใจรอไม่ไหว กังวลว่าจะเกิดตัวแปรอะไรขึ้นมาอีก รีบเคลื่อนไหวในทันที
ทุกคนในที่นี้มีหรือจะพลาดศึกตัดสินเป็นตายครั้งนี้ได้
ต่างมุ่งหน้าไปยังสนามรบพิพาทสวรรค์ประหนึ่งกระแสน้ำหลาก
“มั่นใจจริงๆ หรือ”
ตู๋กูยงทอดสายตามองทางหลินสวิน อดเอ่ยถามไม่ได้
หลินสวินยิ้มพลางพยักหน้า
พวกตู๋กูยง ฟางเต้าผิง เสวียนเฟยหลิงสบตากันปราดหนึ่ง ในใจล้วนทอดถอนใจ รู้ว่าเกลี้ยกล่อมไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงเริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน
“คุณชาย ข้าเชื่อท่าน”
จินเทียนเสวียนเยวี่ยเดินมา อาภรณ์ขาวโบกพลิ้ว ใบหน้างดงามเกลี้ยงเกลาเต็มไปด้วยแววจริงจัง ต่อหน้าหลินสวิน นางกลับดูว่าง่ายถึงขีดสุด
“ยังคงเป็นเสวียนเยวี่ยที่เข้าใจข้าที่สุด”
หลินสวินอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
ห่างออกไปไกล ตู๋กูโยวหรันในชุดกระโปรงยาวสีเขียวเห็นภาพนี้อยู่ในสายตา ในใจรู้สึกอึดอัดอย่างอธิบายไม่ถูกอยู่บ้าง ขมปลาบอยู่เนืองๆ
…
สนามรบพิพาทสวรรค์
ตั้งอยู่ใกล้เขาแรกนภา มีรหอแรกนภาดูแลมาโดยตลอด
สนามรบนี้กว้างใหญ่ยิ่งยวด รูปร่างคล้ายแผ่นดินที่ลอยเด่นกลางห้วงอากาศ ทั่วทั้งสนามดำสนิท เจือประกายแสงแปลกอัศจรรย์ที่เหมือนโลหะ ทั้งสนามหลอมขึ้นจากเจตวัตถุอมตะนับพันชนิด ปิดครอบด้วยกระบวนผนึกเก่าแก่โบราณ ต่อให้เป็นการต่อสู้ระดับอมตะก็ไม่อาจทำลายสนามรบนี้ได้
เวลานี้คนใหญ่คนโตและผู้สืบทอดทั่วทั้งลัทธิแรกกำเนิดล้วนหลั่งไหลมาเยือน เงาร่างเบียดเสียดแน่นขนัด รายล้อมสี่ทิศของสนามรบพิพาทสวรรค์
ยามหลินสวินมาถึงก็กลายเป็นจุดสนใจของสายตาทุกคนในที่นี้ทันที
ใครๆ ต่างรู้ดี ทันทีที่เหยียบบนสนามรบพิพาทสวรรค์ นั่นก็ไม่อาจนึกเสียใจภายหลังและถอยออกมาได้อีกเด็ดขาด มีเพียงรอดหรือตายเท่านั้น!
สายตาของหลินสวินมองไปที่สนามรบพิพาทสวรรค์ เงาร่างแข็งแกร่งกำยำของฉีหลิงเจิ้นยืนอยู่บนนั้นตั้งแต่แรกแล้ว
“ศิษย์น้อง เชิญ!”
ฉีหลิงเจิ้นกล่าวเสียงกร้าว
เขาสวมชุดคลุมยาวสีเหลืองสว่าง ใบหน้าหล่อเหลา ทั่วร่างรายล้อมด้วยกลิ่นอายกฎเกณฑ์อมตะ ดุจดั่งเทพศักดิ์สิทธิ์มาเยือนโลก บุคลิกน่าสะท้านอย่างที่สุด
เขาฝึกปราณมาจนถึงตอนนี้แค่สามพันปีเท่านั้น ในระดับอมตะเรียกได้ว่าเป็นยอดคนรุ่นหนุ่มสาว
แน่นอนว่าตระการตายิ่งเช่นเดียวกัน
ทว่าหลินสวินกลับไม่ได้เคลื่อนไหวทันที หากแต่ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เหตุใดมีแค่เจ้าคนเดียว คนที่ข้านัดสู้ด้วยคือพวกเจ้าสี่คน”
ทั่วลานล้วนอึ้งค้าง เกือบตะลึงมึนงง
นี่หมายความว่าอย่างไร
เขาคิดจะสู้หนึ่งต่อสี่อย่างนั้นหรือ!?
——