Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2757
ตอนที่ 2757
การต่อสู้ดำเนินต่อไป
สี่มารภูตผีพรายสางต่างบันดาลโทสะ ทุ่มพลังทั้งหมดที่มีเข้าต้านทาน และยืนหยัดต่อไปภายใต้การบุกโจมตีของหลินสวินได้ ทำให้การต่อสู้ครั้งนี้ยิ่งดุเดือดขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
หลินสวินไม่ตกใจกลับยินดี
เขาหมายทะลวงขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลาง จึงต้องการการต่อสู้เช่นนี้พอดี!
หาไม่หากคิดแค่จะฆ่าศัตรูอย่างเดียว ป่านนี้คงใช้อภินิหารหยุดเวลาส่งพวกเขาไปภพหน้าแล้ว สำหรับประตูเนรเทศและดาบกาลเวลา เขาล้วนไม่อยากใช้กับอีกฝ่าย
ฆ่าไก่เหตุใดต้องใช้มีดเชือดวัว
ไกลออกไปเฟยอวิ๋นมองจนจิตใจพลุ่งพล่าน นึกถึงหนึ่งหมื่นเจ็ดพันปีก่อนอย่างช่วยไม่ได้
ฟางเต้าผิงในตอนนั้นดุจดั่งเทพสังหารที่ไร้พ่ายบุกตะลุยกร้าวแกร่ง บุกเข้าแดนเร้นนภาตัวคนเดียว สังหารจนหัวคนกลิ้งเกลื่อน เลือดไหลนองเป็นแอ่ง ทุกแห่งหนมีแต่เสียงคำรามเดือดดาลที่ตกใจปนหวาดกลัวของระดับอมตะ!
และตอนนี้รองผู้ดูแลอย่างหลินสวินที่เพิ่งแจ้งมรรคอมตะ ถึงกับสามารถสู้ศึกกับสี่มารเพียงลำพัง และไม่ด้อยไปกว่าบารมีของฟางเต้าผิงในปีนั้น!
ตูม โครม!
ในการต่อสู้ที่ทำให้คนใจเต้นเนื้อกระตุก หลังจากเหล็กหมาดแหลมสีเลือดที่อยู่ในมือมารสางถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งกระแทกหลายครั้ง สุดท้ายก็ทนแรงปะทะไม่ไหว ระเบิดกระจุยในเวลานี้
ท่ามกลางเศษซากละอองแสงปลิวกระจาย มารสางเลือดออกเจ็ดทวาร ได้รับบาดเจ็บสาหัส
เมื่อหันมองอีกสามคนที่เหลือ ต่างก็บาดเจ็บสะบักสะบอม สถานการณ์ย่ำแย่
ส่วนหลินสวินกลับต่างกันลิบลับ จิตต่อสู้ดุจเพลิงโหม อานุภาพราวหุบเหวดุจนรก เคลื่อนขวางอาละวาดในการต่อสู้ โจมตีอย่างอหังการ ประกายคมทั้งตัวกดครอบถ้วนทั่ว!
“ไป!”
ทันใดนั้นมารภูตส่งเสียงตะโกนลั่น ตัดสินใจล่าถอย
พวกเขาที่เคยผ่านการเข่นฆ่านองเลือดมานับไม่ถ้วน มีหรือจะไม่รู้ว่าหากสู้ต่อไปสถานการณ์ของพวกเขามีแต่จะย่ำแย่ลง และยิ่งเข้าใกล้ความตายขึ้นเรื่อยๆ
หากยอมตาย ย่อมไม่ต้องดึงดัน!
พวกเขาเป็นมือสังหาร เดิมเมื่อโจมตีพลาดก็ต้องหนีให้ไกลพันลี้
หากไม่ใช่เพราะภารกิจลอบสังหารครั้งนี้สำคัญยิ่งยวด พวกเขาไม่มีทางฝืนสู้ต่อจนถึงตอนนี้เด็ดขาด
สวบ! สวบ! สวบ! สวบ!
ชั่วอึดใจสี่มารถอนตัวล่าถอย หากพูดถึงความสามารถในการแฝงตัว หลบหนี พวกเขามั่นใจยิ่งว่าจะหนีออกไปได้โดยสวัสดิภาพ
หัวใจสำคัญของการลอบสังหาร ไม่มีสิ่งอื่นใดนอกจากซุ่มโจมตีและหลบหนี!
คนใหญ่คนโตรุ่นอาวุโสที่ช่ำชองการลอบสังหารสี่คนนี้มีหรือจะไม่ถนัดเรื่องนี้
แต่จังหวะที่พวกเขากำลังหลบหนี
หลินสวินกลับใช้อภินิหารหยุดเวลา ฟ้าดินพลันเงียบสงัดราวกับหยุดนิ่ง
เงาร่างของสี่มารเหมือนปลาแข็งตัวอยู่ในชั้นน้ำแข็ง เกิดภาวะชะงักงันชั่วขณะหนึ่ง
และในเวลาอันสั้นนี้ กระบี่มรรคส่งเสียงครวญพุ่งออกจากในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง กวาดขวางจักรวาล
พรูด! พรูด! พรูด! พรูด!
เสียงทึบสี่ครั้งดังขึ้นแทบจะในเวลาเดียวกัน ก็เห็นเงาร่างของสี่มารล้วนถูกตัดเอวขาดภายใต้กระบี่นี้
ดุจน้ำตกเลือดไหลกระเซ็น ที่น่าสะพรึงยิ่งกว่าคืออานุภาพมรรคกระบี่ที่มีอยู่ในกระบี่นี้ยังบดขยี้สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณในตัวของพวกเขาเป็นเสี่ยงๆ ภายใต้การโจมตีรุนแรง ไม่มีโอกาสรอดชีวิตต่อไปได้อีก!
มองจากไกลๆ ศพแปดท่อนร่วงตกลงมาจากห้วงอากาศ ยังไม่ทันตกถึงพื้นก็กลายเป็นเถ้าธุลีลอยปลิวหายเกลี้ยง
กระบี่เดียวสังหารสี่มาร!
แววตาเฟยอวิ๋นอึ้งค้างไปชั่วขณะ จากนั้นทั้งภายในและภายนอกร่างกายล้วนถูกความหวาดกลัวที่ไม่อาจควบคุมกลบมิด
ในฐานะมือสังหารรุ่นอาวุโสที่ทรยศต่อแดนเร้นนภา มีหรือเขาจะไม่รู้ว่าหากคนอย่างสี่มารคิดจะหนี แม้แต่ขั้นดับเทพก็ยังขวางได้ยาก
แต่เวลานี้ทั้งสี่คนกลับไม่มีใครหนีรอดไปได้ ล้วนถูกสังหารอยู่ในนรกอาลยนี้!
นี่ทำให้หัวใจเฟยอวิ๋นยังสั่นสะท้าน
“ถือว่าใช้ได้ เพียงแต่ในโลกเขตแดนนี้ พวกเจ้าก็คือหนอนไหมพ่นใยหุ้มตัวเอง”
หลินสวินเก็บเตากระบี่พร้อมกล่าวเสียงเบา
โลกเขตแดนอย่างนรกอาลยน่าสะพรึงสุดขีด หากจัดการคนอื่นย่อมได้ผลอย่างประเมินค่าไม่ได้
แต่สำหรับหลินสวินที่มีระเบียบนิพพาน โลกนี้ก็ไม่ต่างจากภาพลวง
ตรงข้ามกลับเป็นสี่มารที่เลือกต่อสู้ในโลกเขตแดนนี้ ทำให้ยามที่พวกเขาหลบหนี เท่ากับมีกำแพงเพิ่มขึ้นมาหนึ่งชั้น
และด้วยเหตุนี้จึงถูกหลินสวินคว้าโอกาสสังหารพวกเขาได้ในคราวเดียว
หลินสวินไม่ได้ทอดถอนใจอะไร เริ่มเก็บกวาดทรัพย์หลังศึก
แต่ที่ทำให้เขาหมดคำพูดคือ สี่มารแดนเร้นนภาผู้สูงส่ง ดันพกแกนเทพอมตะติดตัวมาน้อยนิด สมบัติอื่นๆ ก็ไม่มีสักชิ้น!
จนขนาดนี้เชียวหรือ
“ทุกครั้งที่มือสังหารแดนเร้นนภาออกปฏิบัติภารกิจ ล้วนจะทิ้งสมบัติล้ำค่าไว้ที่รัง จะได้เคลื่อนไหวคล่องตัว” เฟยอวิ๋นเดินเข้ามาอธิบายเสียงเบา
หลินสวินถึงได้เข้าใจ
แต่เขากลับไม่ได้เก็บ ‘นรกอาลย’ ที่สร้างขึ้นจากสมบัติลับระเบียบสี่ชิ้น
สมบัติลับระเบียบสี่ชิ้นนี้ได้แก่ ระฆังมรรค หินตีระฆัง จานกระบวน และคทาสมปรารถนา สมบัติลับแต่ละชิ้นล้วนประทับด้วยพลังระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้า ใช้สิ่งเหล่านี้สร้างต้นกำเนิดพลังนรกอาลย
น่าเสียดาย พลังระเบียบเหล่านี้หาใช่ของต้นกำเนิด หากไม่ได้หยั่งถึงและครอบครองนัยเร้นลับของพลังระเบียบเหล่านี้ก็ไม่สามารถควบคุมมันได้
สรุปง่ายๆ คือ สมบัติเป็นสมบัติดี แต่สำหรับคนอื่นก็เหมือนซี่โครงไก่ จะกินก็ไม่มีรสชาติ จะทิ้งก็เสียดาย
ในใจหลินสวินเกิดความคิดขึ้นมา ยื่นสมบัติระเบียบสี่ชิ้นนี้ให้เฟยอวิ๋นแล้วกล่าวว่า “ครั้งนี้รบกวนสหายยุทธ์ ทั้งยังทำให้สหายยุทธ์พลอยเดือดร้อนไปด้วย สมบัติเหล่านี้คิดเสียว่าเป็นน้ำใจจากข้าคนแซ่หลิน”
เฟยอวิ๋นปฏิเสธเป็นพัลวัน
“หากท่านไม่เอา บนโลกนี้นอกจากมือสังหารแดนเร้นนภาพวกนั้น ใครจะยังสามารถใช้สมบัติพวกนี้ได้อีกเล่า” หลินสวินยัดให้อีกฝ่ายโดยไม่รอให้คัดค้าน
ในใจเฟยอวิ๋นพลิกม้วน กล่าวอย่างตื้นตัน “ขอบคุณยิ่งนัก”
หลังจากทรยศและหลบหนีจากแดนเร้นนภา เขาซ่อนตัวอยู่ในเมืองธารดารามาโดยตลอด ราวกับเอาตัวรอดไปวันๆ กลัวแต่จะถูกแดนเร้นนภาตามมาหาถึงที่
ตอนนี้เขาใช้วิชาลับส่งสารเพื่อช่วยหลินสวิน เท่ากับเปิดเผยที่อยู่ของตัวเอง แม้ว่าตอนนี้สี่มารล้วนถูกสังหารไปแล้ว แต่แดนเร้นนภาย่อมมีวิธีตามมาถึงที่นี่ได้
หรือกล่าวได้ว่าหลังจากนี้เป็นต้นไป เขาจะไม่สามารถอาศัยอยู่ที่เมืองธารดาราได้อีก มีแต่ต้องหลบหนีไปอยู่ที่อื่น
แต่ขอเพียงมีนรกอาลยนี้ ก็ทำให้เขาครอบครองไพ่ตายรักษาชีพอย่างหนึ่งได้อย่างไม่ต้องสงสัย ภายหน้าแม้จะเดินทางไกลไปต่างถิ่น ยามที่ประสบอันตรายก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว
“สหายยุทธ์ไม่ต้องเกรงใจ ภายหน้าหากข้าจะไปจัดการแดนเร้นนภาอีก ไม่แน่ว่ายังต้องไปรบกวนเจ้าอีก” หลินสวินประสานหมัดกล่าว
เฟยอวิ๋นเอ่ยอย่างแปลกใจ “ไม่ใช่แก้แค้นไปแล้วหรือ”
หลินสวินส่ายหน้า “แดนเร้นนภาในภายหน้า ต้องถูกลบชื่อออกจากโลก”
ครั้งนี้เขาสังหารสี่มาร ต้องสร้างเรียกความเดือดดาลให้แดนเร้นนภาแน่ บางทีพวกเขาอาจกริ่งเกรงฐานะผู้สืบทอดลัทธิแรกกำเนิดของตน ไม่กล้ามุ่งหน้ามาจัดการตนที่ลัทธิแรกกำเนิด
แต่ต่อไปขอเพียงตนออกมาข้างนอก ขุมกำลังของแดนเร้นนภาจะต้องปรากฏตัวแน่
สำหรับขุมอำนาจมือสังหารที่โผล่มาอย่างไร้ร่องรอยจากไปอย่างไร้เงานี้ หลินสวินรู้สึกชิงชังอยู่ลึกๆ
แน่นอน เขารู้ดียิ่งว่าหากคิดอยากกำจัดแดนเร้นนภาอย่างแท้จริง ไม่หลงเหลือภัยในภายหน้า ก็ต้องโค่นยักษ์ใหญ่อมตะตระกูลจิงแห่งน่านฟ้าที่แปดให้ได้
หาไม่ต่อให้ทำลายแดนเร้นนภาย่อยยับ อาศัยการสนับสนุนของขุมอำนาจตระกูลจิง แดนเร้นนภาย่อมสามารถฟื้นคืนขึ้นมาได้อย่างแน่นอน
“ลบชื่อออกจากโลก…”
ในใจเฟยอวิ๋นสะเทือนไหว จากนั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ภายหน้าหากต้องการ ให้นำยันต์หยกชิ้นนั้นไปหาข้าที่เมืองกุญชรหยกได้”
“เมืองกุญชรหยกหรือ”
“ถูก กระต่ายเจ้าเล่ห์มีสามโพรง นั่นเป็นหนึ่งในทางหนีทีไล่ที่ข้าเหลือไว้ให้ตัวเอง”
หลินสวินยิ้มพลางพยักหน้า
ไม่นานนักก็กล่าวลาแล้วจากไป
สองวันให้หลัง
หลินสวินปรากฏตัวอยู่ในเมืองจันทร์เหมันต์
บนท้องถนนอันคุ้นเคยสายหนึ่ง ประตูใหญ่เรือนปรกเมฆปิดสนิท ร้านค้าที่อยู่ถัดออกไปก็เต็มไปด้วยฝุ่นเขรอะ เห็นชัดว่าปิดกิจการไปนานแล้ว
หลินสวินเดินตรงเข้าเรือนปรกเมฆ ค้นหาในลานเรือนอยู่ครู่หนึ่ง ก็อดเศร้าสลดน้อยๆ ไม่ได้
หนึ่งปีกว่าก่อนหน้านี้ เขาและศิษย์พี่จวินหวนกบดานอยู่ที่นี่ด้วยกัน ชีวิตราบเรียบเงียบสงบ ผ่อนคลายสบายใจ
แต่เห็นชัดยิ่งว่าหลังจากตนเข้าลัทธิแรกกำเนิด ศิษย์พี่จวินหวนก็ไม่ได้มาที่เรือนปรกเมฆอีก
หลินสวินส่ายหน้าเบาๆ เดินมาหยุดในห้องห้องหนึ่ง แล้วนั่งขัดสมาธิ
การต่อสู้กับสี่มารภูตผีพรายสางที่นอกเมืองธารดาราสองวันก่อน ทำให้มรรควิถีในตัวเขาได้รับการปลดปล่อยและขัดเกลา และมีรากฐานพลังในการทะลวงระดับเข้าสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลางได้แล้ว
หลินสวินหยิยขวดหยกมันแพะออกมา แล้วเทโอสถอมตะสุริยันจันทราเป็นเม็ดๆ ลงปาก จากนั้นก็ตั้งมั่นสภาวะจิต จิตแท้ทะยานสูงแปดทิศ มรรควิถีในตัวโคจรออกมา
ไม่ได้ผิดคาด
เพียงสามวันให้หลัง รอบตัวหลินสวินก็เกิดเสียงมหามรรคดังอึงอล มรรควิถีในตัวเข้าสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลางอย่างราบรื่น ทุกสิ่งเข้าที่เข้าทาง
เมื่อสัมผัสถึงพลังใหม่เอี่ยมที่เปี่ยมล้นทั่วตัวทั้งบนล่าง หลินสวินก็รู้สึกพอใจขึ้นมาทันที
เทียบกับขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นต้น พลังมรรควิถีที่เขามีทั้งหมดแข็งแกร่งพุ่งกระฉูดขึ้นเท่าตัวเศษ!
การเปลี่ยนแปลงที่เห็นชัดที่สุดก็คือ ตอนอยู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นต้น เขาสามารถหลอมโอสถอมตะสุริยันจันทราได้อย่างมากที่สุดสามเม็ดต่อวัน
แต่ตอนนี้สามารถหลอมได้เจ็ดเม็ด!
ซึ่งเทียบเท่ากับพลังของแกนเทพอมตะเจ็ดพันชั่ง!
แม้จะเป็นมารปีศาจทั่วสุม พวกตัวใหญ่ทั้งกลุ่มของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิด ในขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นกลางนี้ล้วนไม่มีใครสามารถหลอมแกนเทพอมตะเจ็ดพันชั่งต่อวันได้เหมือนหลินสวิน
“พลังใหม่เอี่ยม ต้องการการหลอมใหม่เอี่ยม เพียงแต่ยิ่งพลังปราณสูงขึ้น คิดอยากหาคู่ต่อสู้ที่สามารถสู้สูสีกันได้บางส่วน กลับยากอยู่บ้าง…”
หลินสวินใคร่ครวญ
หากอยู่ในระดับอื่นล้วนสามารถไปตามเมืองใหญ่ต่างๆ ได้ ไปเข้าร่วมการต่อสู้ถกมรรคเหล่านั้น ไม่เพียงสามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้เคี่ยวกรำพลังต่อสู้ เมื่อชนะยังจะได้รับรางวัลอีกด้วย
แต่อยู่ในระดับอมตะ เท่ากับยืนอยู่บนปลายยอดในโลกแล้ว หากอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ดล้วนเรียกได้ว่าเป็นยักษ์ใหญ่เทียมฟ้า และการประลองถกมรรคตามเมืองต่างๆ เหล่านั้นก็ไม่มีของระดับนี้สักนิด
ลองคิดดูว่าคนระดับอมตะต่อสู้กันล้วนสามารถทำลายล้างฟ้าดิน พังถล่มภูผาธาราได้ เมืองไหนจะสามารถแบกรับการต่อสู้เช่นนี้ไหว
จู่ๆ ในลานเรือนก็มีเสียงแปลกๆ ดังลอยมาระลอกหนึ่ง ขัดความคิดหลินสวิน ในใจเขาเย็นวาบ แล้วหยัดตัวขึ้นเงียบๆ
ในลานเรือนมีบ่อน้ำโบราณบ่อหนึ่ง ก้นบ่อน้ำโบราณปิดผนึกด้วยพลังต้นกำเนิดของระเบียบใกล้เพียงเอื้อม
ยันต์ใกล้ดุจไร้ช่องว่างที่อยู่ในมือผู้สืบทอดคีรีดวงกมลอย่างพวกจวินหวนก็ใช้พลังระเบียบใกล้เพียงเอื้อมควบรวมขึ้น
อาศัยยันต์ใกล้ดุจไร้ช่องว่าง ไม่ว่าอยู่สถานที่ใดในเขตแดนใจกลางแห่งนี้ล้วนสามารถเคลื่อนย้ายมาที่ก้นบ่อน้ำโบราณบ่อนี้ได้
และเวลานี้ เงาร่างที่เปื้อนเลือดทั้งตัวสายหนึ่งก็ตะกายขึ้นมาจากบ่อน้ำโบราณบ่อนั้น
“ลาหัวโล้นเฒ่าลัทธิฌานพวกนั้นร้ายกาจ ร้ายกาจถึงใจจริงๆ เกือบเอาชีวิตข้าเสียแล้ว ครั้งนี้โชคดีที่มียันต์ใกล้ดุจไร้ช่องว่างที่ศิษย์พี่หญิงสามมอบให้ หาไม่ภายหน้าเกรงว่าต้องให้เหล่าศิษย์พี่ศิษย์น้องทุกคนช่วยแก้แค้นแทนข้าแล้ว”
เงาร่างนี้เนื้อตัวถลอกปอกเปิก ผมเผ้ายุ่งเหยิง ตามตัวมีรอยแผลเหวอะหวะ เผยให้เห็นเนื้อกระดูกไม่น้อย ดูแล้วสยองติดตา
แต่เขากลับพูดจาตามสบาย เยาะเย้ยตัวเอง ไม่ว่าอาการบาดเจ็บจะหนักแค่ไหนก็ไม่สามารถปกปิดมาดเปิดกว้างและอิสระเสรีเช่นนั้นได้
หลังจากเขาเดินออกจากบ่อน้ำโบราณ ก็มีเงาร่างอีกสายหนึ่งเดินออกมาจากข้างใน เป็นชายหนุ่มที่เหมือนชาวนาคนหนึ่ง ผิวหนังดำเกรียม หน้าตาเรียบๆ ซื่อๆ
ทั่วร่างเขาก็มีบาดแผลไม่น้อยเช่นกัน แต่เขากลับไม่สนใจสักนิด ล้วงขวดหยกใบหนึ่งออกมาจากอกแล้วยื่นให้คนผู้นั้น กล่าวเสียงอู้อี้ว่า “ยาที่ข้าหลอมขึ้น รักษาแผลก่อน เสวี่ยหยาเจ้าและศิษย์น้องสิบสองมีนิสัยเสียเหมือนกันอย่างหนึ่ง พูดมากเกินไปเหมือนกัน”
คนผู้นั้นรับขวดหยกไว้ หัวเราะอย่างชื่นบาน “ข้าเปรียบศิษย์พี่เซิ่นเหยียนไม่ได้หรอก ปากของเขาต่างหากที่เรียกว่าฝีปากดี พูดเป็นต่อยหอย แม้แต่อาจารย์ยังทนไม่ได้”
“หืม?”
ทันใดนั้น บุรุษที่เหมือนชาวนาตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง ทอดมองไปยังห้องห้องหนึ่งกลางลานเรือน
และขณะเดียวกันนี้ หลินสวินก็เปิดประตูห้องเดินออกมา
——