Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2763 งานใหญ่ใกล้มาเยือน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2763 งานใหญ่ใกล้มาเยือน
ตอนที่ 2763 งานใหญ่ใกล้มาเยือน
เฉาเป่ยโต้วอัดอั้นจนเกือบกระอักเลือดช้ำในออกมา เหมือนถูกคนซัดด้วยกระบองหนักหน่วง
เขาเพิ่งกล่าวว่าจินจงเยวี่ยไม่มีคุณสมบัติมากพอจะบงการแดนเร้นนภาได้ หลินสวินก็ฉวยโอกาสบอกว่าเบื้องหลังจินจงเยวี่ยมีผู้บงการอื่นอีก ความรู้สึกที่มอบให้ก็เหมือนหลินสวินกำลังโยนอิฐล่อหยก[1] ไม่มีผิด…
เขามองฝูเหวินหลีปราดหนึ่งอย่างอดไม่ได้ ฝ่ายหลังหน้านิ่วคิ้วขมวด แม้ว่าสีหน้าจะสงบนิ่ง แต่ภายใต้ความสงบนั้นกลับแฝงพลังที่ทำให้คนใจสะท้าน
บรรยากาศในโถงใหญ่เงียบงันยิ่ง
อันที่จริงในใจคนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนรู้ดีว่าจินจงเยวี่ยเป็นเพียงหมากตัวเล็กๆ แต่นึกไม่ถึงว่าหลินสวินหมายจะใช้ตัวหมากเล็กๆ ในสายตาพวกเขามาลากพวกตัวใหญ่ที่อยู่เบื้องหลัง!
“เรื่องนี้หอแรกนภาของพวกเราย่อมจะตรวจสอบให้ชัดเจนเอง”
บรรยากาศเงียบกริบถูกเสียงของฝูเหวินหลีทำลายลง ประโยคเดียวทำให้คนเดาไม่ออกว่าในใจเขาคิดอย่างไร
เสวียนเฟยหลิงก็พยักหน้ากล่าวเช่นกัน “เช่นนั้นเรื่องนี้ก็ให้รองหัวหน้าหอฝูเป็นผู้รับผิดชอบ ต้องให้คำชี้แจงที่น่าพอใจแก่สำนักและหลินสวิน”
หลินสวินเพิ่งหมายจะพูดอะไร ข้างหูก็มีเสียงสื่อจิตของเสวียนเฟยหลิงดังขึ้น ‘หยุดแต่เพียงเท่านี้ก็พอ หากหาเรื่องต่อไปกลับจะกระตุ้นให้คนบางส่วนเจ็บแค้นเจ้ายิ่งกว่าเดิม’
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ
เขาก็รู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อผลลัพธ์นี้เกิดขึ้นก็ยังอดจนปัญญาน้อยๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้
…
ในวันนั้นเรื่องที่เกิดในโถงใหญ่อาญาหอแรกนภาก็แพร่กระจายไปทั่วลัทธิแรกกำเนิดทั้งบนล่าง เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์นับไม่ถ้วน
“ความขัดแย้งระหว่างหลินสวินและศัตรูคู่แค้นเหล่านั้นนับวันยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แล้ว…”
คนมากมายล้วนตระหนักได้ว่ามือสังหารแดนเร้นนภาเป็นเพียงเรื่องเล็ก ว่ากันถึงที่สุดยังคงเป็นเพราะหลินสวินผงาดเร็วเกินไป ทำให้คนใหญ่คนโตที่มองเขาเป็นศัตรูเหล่านั้นรู้สึกถึงภัยคุกคามแล้ว
เรื่องเหล่านี้ไม่มีใครโง่งมจนพูดออกมา
แม้แต่คนใหญ่คนโตเหล่านั้นก็เป็นเช่นนี้ รู้อยู่เต็มอกแต่กลับไม่อาจเผยแพร่
“แม้แต่สี่มารยังฆ่าหลินสวินไม่ตาย รากฐานพลังของเขาน่ากลัวเพียงใดกันแน่”
“เพราะเป็นเช่นนี้จึงทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นรู้สึกเกรงกลัว”
“ต่อไปข้อพิพาทและความขัดแย้งเช่นนี้เกรงว่าจะเกิดขึ้นบ่อยๆ ขึ้นอยู่กับว่าหลินสวินจะสามารถแคล้วคลาดปลอดภัยอย่างครั้งนี้ได้ตลอดหรือไม่”
“จินจงเยวี่ยคนนี้ดวงซวยชะมัด ครั้งนี้เกรงว่าต้องกลายเป็นเครื่องสังเวยแล้ว”
ขณะที่ทั่วบนล่างลัทธิแรกกำเนิดต่างวิพากษ์วิจารณ์คลื่นลมครั้งนี้ หลินสวินก็กลับถ้ำสถิตแดนมงคลของตน
เวลาผ่านไปเพียงหนึ่งวันสั้นๆ
เถาเหลิ่งก็มุ่งหน้ามาเยือนพร้อมนำข่าวดีมาด้วย
“จินจงเยวี่ยจบสิ้นแล้ว”
เมื่อเห็นหลินสวิน เถาเหลิ่งกล่าวเสียงต่ำ “วันนี้รองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีมีคำสั่งลงมา โดยให้ผู้อาวุโสเฉาเป่ยโต้วประกาศด้วยตัวเองว่าเมื่อคืนวานจินจงเยวี่ยรู้ตัวว่าความผิดร้ายแรงจึงฆ่าตัวตายไถ่บาป”
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ในใจเริ่มหนาวเยือกน้อยๆ
“ฆ่าตัวตายไถ่บาปดีนี่!”
นัยน์ตาเขาลุ่มลึก “วิธีการของเฒ่าชราเหล่านี้ช่างโหดเหี้ยมจริงๆ!”
เถาเหลิ่งกล่าวถอนใจยาว “นี่เป็นค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายเมื่อทำเรื่องผิด หาไม่เจ้าจะพอใจหรือ คนใหญ่คนโตในสำนักเหล่านั้นจะพอใจหรือ”
หลินสวินถอนใจเบาๆ กล่าวว่า “ข้าเพียงแต่ไม่คิดว่าผู้แข็งแกร่งขั้นอายุขัยเทียมฟ้าสัมบูรณ์อย่างจินจงเยวี่ย คิดอยากฆ่าก็ฆ่าได้ง่ายๆ”
เถาเหลิ่งเอ่ยแก้อย่างจริงจัง “ฆ่าตัวตายไถ่บาป”
หลินสวินหัวเราะหยันขึ้นมา “ต่างกันหรือ”
เถาเหลิ่งก็หัวเราะเช่นกัน “มองทะลุแต่ไม่พูดจึงจะเป็นผู้มากปัญญา”
เขาหยุดไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวต่อ “นอกจากนี้รองหัวหน้าหอเสวียนเฟยหลิงสั่งการลงมาแล้ว เฟิงซีซี หลิวอวิ๋นเฟิงสองคน รวมถึงผู้สืบทอดยอดเขาที่เก้าฮวงมู่จี้ ผู้สืบทอดยอดเขาที่เจ็ดเซี่ยงเสี่ยวหยวนที่ถูกขังในคุกสำนึกผิด ล้วนจะได้รับการปล่อยตัวในวันนี้”
หลินสวินฮึกเหิมทันที นี่เป็นข่าวดีอย่างไม่ต้องสงสัย
“ฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋นจะยอมหรือ” เขาถาม
“เวลานี้ต่อให้พวกเขาไม่อยากยอมก็ต้องบีบจมูกยอมรับแล้ว”
เถาเหลิ่งกล่าวถึงตรงนี้ก็เอ่ยแก้ให้หลินสวินอย่างจริงจัง “ต่อไปไม่อาจเรียกชื่อรองหัวหน้าหอทั้งสองตรงๆ ไม่เช่นนั้นจะถูกมองว่าไม่เห็นผู้อาวุโสในสายตา ปีนเกลียวข้ามขั้น”
หลินสวินหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “วางใจเถิดขอรับ ไม่แน่นอน”
ไม่นานนักเถาเหลิ่งก็กล่าวลา
และบ่ายวันนั้นหลินสวินก็ได้พบกับเฟิงซีซีและหลิวอวิ๋นเฟิง
ในถ้ำสถิตแดนมงคล หลินสวินจัดงานเลี้ยงสังสรรค์ ต้อนรับการกลับมาของทั้งคู่ด้วยตัวเอง
“ทำให้ทั้งสองคนต้องอดสูแล้ว”
หลินสวินชูจอกสุราขึ้น กล่าวเจือแววขอโทษ
เฟิงซีซียังคงสวมชุดนักรบสีดำ มัดหางม้า อาอาจผ่าเผย สดใสสง่างาม เมื่อได้ยินก็กล่าวถอนใจยาว “เรื่องอดสูไม่อดสูหรอก เพียงแต่ไม่ได้เห็นภาพที่พี่หลินแจ้งมรรคทะลวงระดับด้วยตาตัวเอง ก็อดเสียดายน้อยๆ ไม่ได้”
“คราแรกเป็นเฉาเป่ยโต้วออกคำสั่ง ให้พวกฉีหลิงเจิ้น จงหลีหรันลงมือจับพวกเราสองคนไปขังที่คุกสำนึกผิด”
หลิวอวิ๋นเฟิงกล่าว “แต่ตอนนี้สี่คนนี้ล้วนถูกพี่หลินสังหาร ในใจข้ายังดีใจไม่ทันด้วยซ้ำ มีหรือจะอดสู”
กล่าวพลางดื่มคารวะหลินสวินหนึ่งจอก “หากเห็นข้าและแม่นางเฟิงเป็นสหายก็อย่าพูดเรื่องอื่นอีก ดื่มสุรากัน”
“ดี ดื่มสุรากัน”
หลินสวินยกจอกอย่างขันแข็ง
คืนนั้นหลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุด หลินสวินก็ไปยอดเขาที่เก้าเพื่อเยี่ยมเยียนเหล่าศิษย์พี่อย่างเย่ฉุนจวิน ฮวงมู่จี้ ฉินรั่วหลิง
พวกเย่ฉุนจวินต่างรู้แล้วว่าที่หลินสวินออกไปนอกสำนักก่อนหน้านี้เพื่อไปล้างแค้นแทนเย่ฉุนจวินโดยเฉพาะ ทั้งยังสังหารสี่มารตายเรียบ ในใจล้วนซาบซึ้งไม่หยุด
หลินสวินปฏิบัติกับพวกเขาเหมือนเป็นคนในครอบครัวอย่างไม่ต้องสงสัย
หลังออกจากยอดเขาที่เก้า หลินสวินก็ไปเยี่ยมเซี่ยงเสี่ยวหยวนที่ยอดเขาที่เจ็ด ฝ่ายหลังก็ตื่นเต้นยิ่งเช่นกัน
ทั้งคู่พูดคุยกันเนิ่นนานหลินสวินถึงค่อยจากมา
กระทั่งกลับถึงถ้ำสถิตของตน เขารู้สึกเพียงผ่อนคลายไปทั้งตัว
‘ขาดแค่ขั้นเล็กๆ ก็สามารถก้าวสู่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลาย ถึงตอนนั้นก็สามารถไปช่วงชิงตำแหน่งผู้ดูแลได้แล้ว…’
หลินสวินใคร่ครวญ
คิดอยากเป็นผู้ดูแล เงื่อนไขเข้มงวดอย่างยิ่ง
แต่สำหรับหลินสวิน ต่อให้เงื่อนไขเข้มงวดเพียงใดก็ต้องทุ่มสุดกำลังไปไขว่คว้า
และเงื่อนไขข้อแรกของการขึ้นเป็นผู้ดูแล คือต้องมีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลาย
อันที่จริงในบรรดาสิบสองผู้ดูแลของหอแรกนภา ส่วนใหญ่ล้วนทะลวงขั้นถึงขั้นดับเทพกันหมด
มีเพียงประปรายเท่านั้นที่ยังคงอยู่ในขั้นอายุขัยเทียมฟ้า แต่ก็เป็นมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นสัมบูรณ์
หลินสวินสลัดความคิดฟุ้งซ่านทิ้งแล้วเริ่มสงบจิตนั่งสมาธิ
หลังจากรู้ข่าวที่พวกศิษย์พี่ใหญ่ถูกขังในแดนยอดจักรวาล ทำให้ในใจหลินสวินเกิดความรู้สึกรีบร้อนอย่างหนึ่ง
ว่ากันถึงที่สุด แม้ว่าเขาจะเหยียบย่างมรรคาอมตะแล้ว แต่เทียบกับคนใหญ่คนโตที่ยืนมั่นในขั้นหลุดพ้นเหล่านั้น สุดท้ายก็ห่างกันไกลโพ้น
มีเพียงพัฒนาความแข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะสามารถช่วยเหลือบรรดาศิษย์พี่คีรีดวงกมลเหล่านั้นได้อย่างแท้จริง!
หนึ่งเดือนให้หลัง
เถาเหลิ่งมุ่งหน้ามาเยือนอีกครั้ง และบอกหลินสวินว่าอีกหนึ่งเดือนงานถกมรรคเก้ายอดเขาที่มีทุกๆ หนึ่งพันปีจะเปิดม่านแล้ว จึงสอบถามหลินสวินว่าจะมาเข้าร่วมหรือไม่
แน่นอนว่าไม่ใช่เข้าร่วมการถกมรรค หากแต่เป็นการรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อยของงานใหญ่ครั้งนี้
หลินสวินใคร่ครวญเนิ่นนาน ตั้งใจจะปฏิเสธ
งานถกมรรคเก้ายอดเขาเป็นการประลองและวัดฝีมือกันระหว่างผู้สืบทอดแกนหลักของเก้ายอดเขาใหญ่
สำหรับเขา ไม่ได้มีแรงดึงดูดอะไรนานแล้ว
“ถึงตอนนั้ ลัทธิวิญญาณ ลัทธิฌานและลัทธิพ่อมดล้วนจะส่งทูตมุ่งหน้ามา อีกทั้งขุมอำนาจระดับปลายยอดของสิบยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่เจ็ดและน่านฟ้าที่แปดก็จะส่งคนใหญ่คนโตมุ่งหน้ามาชมงานเช่นกัน เจ้าไม่คิดจะไปดูหน่อยจริงๆ หรือ”
เมื่อเถาเหลิ่งเอ่ยประโยคนี้ออกมา หลินสวินพลันเปลี่ยนความคิด ตอบตกลงทันที
เถาเหลิ่งยกยิ้มกล่าวว่า “รู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่มีทางพลาดงานใหญ่เช่นนี้แน่”
ไม่นานเถาเหลิ่งก็จากไป
ส่วนหลินสวินอดตั้งตาคอยน้อยๆ ไม่ได้ ในบรรดาทูตที่หอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณส่งมาครั้งนี้ จะมีพวกศิษย์พี่คีรีดวงกมลหรือไม่
เวลาผ่านไปไวว่อง
วันงานถกมรรคเก้ายอดเขาใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
ระยะนี้ศิษย์แกนหลักในเก้ายอดเขาใหญ่ล้วนบากบั่นฝึกปราณ เคี่ยวกรำอย่างหนัก สะสมกำลังเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับงานใหญ่ที่ใกล้มาเยือนในครั้งนี้
ติดสิบอันดับแรก จะมีโอกาสเข้าไปฝึกปราณในสามหอ
ติดสามอันดับแรก ยิ่งจะได้รับการบ่มเพาะเต็มกำลังจากสำนัก ได้รับทรัพยากรฝึกปราณแจ้งมรรคอมตะ! ยิ่งสามารถเลือกเข้าหอได้ตามอัธยาศัย
สำหรับศิษย์แกนหลักคนใดก็ตาม งานถกมรรคเก้ายอดเขาเกี่ยวโยงถึงชื่อเสียงและหนทางในอนาคตของพวกเขา!
“แต่น่าเสียดาย ศิษย์น้องหลินสวินเลื่อนขั้นเร็วเกินไป หาไม่หากมีเขาอยู่ อันดับหนึ่งในงานถกมรรคเก้ายอดเขาครั้งนี้ต้องตกเป็นของยอดเขาที่เก้าของพวกเราแน่!”
ยอดเขาที่เก้า ฉินรั่วหลิงถอนใจเบาๆ
ประโยคเดียวทำเอาศิษย์แกนหลักอย่างพวกเย่ฉุนจวิน ฮวงมู่จี้ เมิ่งเฮ่าเฉินล้วนทอดถอนใจไม่หยุด
พวกเขาฝึกปราณในยอดเขาที่เก้านานหลายปี แต่เมื่อเทียบกับหลินสวินล้วนดูไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
เพียงหนึ่งปีเศษเขาก็เลื่อนขั้นจากศิษย์สืบทอดแท้จริง ศิษย์แกนหลัก ศิษย์หอแรกนภา จนถึงรองผู้ดูแลหอแรกนภาในปัจจุบันอย่างต่อเนื่อง!
ความเร็วในการเลื่อนขั้นเช่นนี้ทำให้คนใหญ่คนโตเหล่านั้นล้วนรู้สึกตกตะลึงและสะเทือนไหว
และเป็นเพราะเช่นนี้ ทำให้หลินสวินไม่มีโอกาสเข้าร่วมงานถกมรรคเก้ายอดเขาได้อีก
“พวกเจ้ายังติว่ายอดเขาที่เก้าของพวกเราไม่เฉิดฉายพออีกหรือ มีหลินสวินคนเดียวก็สามารถทำให้ทุกสายตาทั่วลัทธิแรกกำเนิดไม่อาจมองข้ามยอดเขาที่เก้าของพวกเราได้แล้ว”
ไกลออกไปผู้นำยอดเขาฉินอู๋อวี้เอ่ยปาก “งานถกมรรคเก้ายอดเขาครั้งนี้ พวกเจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องอันดับ ใช้ความสามารถของตนไปประลองก็พอ”
“ก็จริง ตราบใดที่หลินสวินยังอยู่ ไม่ว่าภายหน้าเขาจะมีฐานะอะไร ถึงอย่างไรก็มาจากยอดเขาที่เก้าของพวกเรา ใครหน้าไหนยังจะกล้าดูเบาพวกเราอีก”
เย่ฉุนจวินกล่าวกลั้วหัวเราะ
นึกถึงครานั้นที่หลินสวินเพิ่งเข้าสำนัก ผู้นำยอดเขาค่อนข้างต่อต้านหลินสวิน
ตอนนี้เล่า ยามที่เอ่ยถึงหลินสวิน แม้ว่าผู้นำยอดเขาจะพยายามปกปิดอารมณ์ภายในใจ แต่แววภาคภูมิใจและลำพองจากสีหน้า และน้ำเสียงในคำพูดที่ดูเหมือนหัวเสียแต่อันที่จริงปลาบปลื้มและดีใจนั่น ล้วนทรยศความคิดภายในใจของเขาอย่างลึกซึ้ง
หนึ่งวันก่อนที่งานถกมรรคเก้ายอดเขาจะเปิดม่าน หลินสวินได้รับข่าวที่แน่นอนจากมือเถาเหลิ่ง
ทูตที่หอบรรพจารย์ลัทธิวิญญาณส่งมาในครั้งนี้มีทั้งสิ้นเก้าคน
โดยจอมวิญญาณชิงอวิ๋นหนึ่งในสิบจอมวิญญาณใหญ่เป็นผู้นำขบวน จอมวิญญาณเป็นคำเรียกอย่างหนึ่ง ตำแหน่งเทียบเท่ากับรองหัวหน้าหอลัทธิแรกกำเนิด
ส่วนแปดคนที่เหลือ สี่คนเป็นเจ้าวิญญาณ ตำแหน่งเทียบเท่ากับผู้อาวุโสสามหอของลัทธิแรกกำเนิด
สี่คนที่เหลือ ก็คือราชันวิญญาณ ตำแหน่งเทียบเท่ากับผู้ดูแลสามหอของลัทธิแรกกำเนิด
หลินสวินได้รับรายชื่อคนของลัทธิวิญญาณเก้าคนนี้จากมือเถาเหลิ่ง เพียงแวบเดียวก็มองเห็นชื่อแสนคุ้ยเคยชื่อหนึ่ง
เฉิงอวี๋!
ศิษย์พี่เฉิงอวี๋ที่อยู่ลำดับที่สิบหก!
ในหัวหลินสวินหวนนึกถึงภาพหนึ่งขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้
ปีนั้นตอนอยู่ทางเดินโบราณฟ้าดารา ในการประชันหมากครั้งใหญ่เพื่อจัดการจอมจักรพรรดิไร้นาม ตอนนั้นศิษย์พี่คีรีดวงกมลทั้งหมดลงสนามอย่างต่อเนื่อง แต่ละคนต่างสำแดงอภินิหารของตนที่สะเทือนฟ้าดิน
หนึ่งในนั้นก็มีศิษย์พี่เฉิงอวี๋
นางรูปร่างอรชร ผมสั้นเสมอหู สวมกระโปรงผ้าเรียบทั้งชุด ดวงตากลมโตเป็นประกายดุจดวงดารา ใบหน้าน่ารักยิ่งยวด
ความงามของนางเป็นความงามที่ละเอียดอ่อนและเก็บงำ คนที่ไม่รู้ยังเข้าใจว่าเป็นเด็กสาวข้างบ้านที่ใสซื่อและน่ารักคนหนึ่ง
แต่ยามต่อสู้ นางก็เผยประกายคมอันน่าสะพรึงพร่างตาถึงขีดสุดออกมา สามารถใช้คำว่าดุร้ายและอหังการมาบรรยายได้ ทำให้คนไม่อาจจินตนการว่ารูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของนางจะระเบิดพลังกร้าวแกร่งเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร
และเพราะความแตกต่างอย่างมากจึงทำให้ภาพจำของหลินสวินชัดเจนยิ่ง
——
[1] โยนอิฐล่อหยก หมายถึงการใช้สิ่งที่มีค่าน้อยนิดมาหลอกล่อเพื่อให้ได้ของที่มีค่ามากว่า