Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2782 อารยธรรมยุคสมัยที่ไม่รู้จัก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2782 อารยธรรมยุคสมัยที่ไม่รู้จัก
ตอนที่ 2782 อารยธรรมยุคสมัยที่ไม่รู้จัก
ตั้งแต่ก้าวออกมาจากเขตผนึกแจ้งเร้น หลินสวินก็ดูเงียบไปอยู่บ้าง
เรื่องที่ประสบก่อนหน้านี้มากเกินไปจริงๆ ทั้งลึกลับชวนให้ใจสั่นเกินไป
เขาคิดไม่ถึงว่าหัวหน้าหอแรกมายาที่ลึกลับและเก็บงำตนเองที่สุดในลัทธิแรกกำเนิด ถึงกับเป็นไท่เสวียน
ทั้งไม่คาดคิดว่าปริศนาในโลงนิรันดร์จะลึกลับเช่นนั้น คนในโลงเกี่ยวข้องกับซย่าจื้อ ทั้งทำให้ฐานะของซย่าจื้อเปลี่ยนเป็นซับซ้อนยิ่งกว่าเดิม
ส่วนแหล่งสถานศุภโชคที่ไท่เสวียนกล่าวถึง ก็ทำให้หลินสวินรู้สึกตกตะลึง
ซากสถานยุคสมัยมากมายกระจายอยู่ในนั้น ซากสถานยุคสมัยแต่ละแห่งล้วนเป็นตัวแทนของอารยธรรมการฝึกปราณอันสมบูรณ์อย่างหนึ่ง ภายในนั้นล้วนมี ‘เผ่าเทพ’ คงอยู่
นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
ทั้งทำให้หลินสวินอดกังวลแทนบิดามารดาที่ติดอยู่ในนั้นไม่ได้
เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็เข้าใจแล้ว ว่าเหตุใดเสวียนเฟยหลิงจึงต้องการพาตนไปพบไท่เสวียน
หากไม่ใช่ไท่เสวียนชี้แนะ เขามีหรือจะรู้ว่าแหล่งสถานศุภโชคมีซากสถานยุคสมัยมากเช่นนี้ ทั้งจะรู้ปริศนาและความลับในโลงนิรันดร์นั้นได้อย่างไร
“ไม่คิดอยู่ต่ออีกหน่อยจริงหรือ ด้วยมรรควิถีของเจ้าตอนนี้ มีคุณสมบัติไปชิงตำแหน่งผู้ดูแลได้แล้ว” ระหว่างทางเสวียนเฟยหลิงเอ่ยถาม
“ไม่ขอรับ รอกลับมาจากแหล่งสถานศุภโชคค่อยชิงตำแหน่งเลื่อนขั้นก็ไม่สาย”
หลินสวินส่ายหัว
เสวียนเฟยหลิงพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้พูดมากความอีก
ทั้งสองคนมุ่งตรงผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายโบราณ ออกจากแดนแรกเริ่มไป
“ต่อจากนี้ข้าจะพาเจ้าไป”
เพิ่งออกจากแดนแรกเริ่ม เสวียนเฟยหลิงก็สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
ตูม!
ฟ้าดินสั่นสะเทือน เงาร่างของเขากับหลินสวินหายลับไปทันที
ผ่านไปหนึ่งถ้วยชา
บนยอดเขาสูงชันเด่นตระหง่านลูกหนึ่ง เงาร่างของเสวียนเฟยหลิงกับหลินสวินปรากฏตัวกะทันหัน
“แหล่งสถานศุภโชคนั่นอันตรายเกินคาดเดา ในจี้หยกนี้มีรูปจำลองเจตจำนงของข้า เจ้าเก็บเอาไว้ เมื่อเจออันตรายให้ใช้จี้หยกนี้ก่อน ส่วนป้ายคำสั่งที่ไท่เสวียนมอบให้เจ้า ไม่ถึงช่วงเป็นตายก็ยังไม่ต้องใช้”
เสวียนเฟยหลิงพูดพลางมอบจี้หยกสีดำหนึ่งแก่หลินสวิน ไม่ยอมให้หลินสวินปฏิเสธโดยสิ้นเชิง
ในใจหลินสวินซาบซึ้งและอบอุ่น
บนโลกนี้ศัตรูของเขามีมากจนนับไม่ไหว แต่คนที่ดูแลและดีกับเขาก็มีจำนวนไม่น้อยเช่นกัน
“ไปเถอะ ฉวยโอกาสยามไม่มีใครสังเกตเห็นร่องรอยของเจ้ากับข้า รีบเคลื่อนไหวเสียตอนนี้”
เสวียนเฟยหลิงกล่าวกำชับ
หลินสวินพยักหน้า หยิบปิ่นไม้หนึ่งออกมา
ชิ้ง!
เมื่อความคิดหลินสวินขยับไหว กระบี่เล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากปิ่นไม้ ยาวสองฉื่อสามชุ่น ปลายกระบี่เรียบง่ายไม่หรูหรา ตัวกระบี่เหมือนภาพมายาราวโปร่งแสง สะท้อนเงาแสงงามตระการหลากสีเป็นครั้งคราว ราวแสงไหวเคลื่อนมากมายที่วาบผ่านแล้วหายไป
กระบี่ศุภโชค!
กระบี่นี้คือกุญแจเชื่อมต่อไปยังแหล่งสถานศุภโชค เมื่อใช้พลังทั้งหมดกระตุ้นกระบี่นี้ก็จะไปถึง
“ผู้อาวุโสรักษาตัวด้วย”
หลินสวินประสานมือ จากนั้นจึงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ใช้พลังทั้งตัวกระตุ้นกระบี่ศุภโชค
วู้ม!
รุ้งกระบี่สะท้านฟ้าสายหนึ่งพุ่งทะลวงชั้นเมฆทันที กลางฟ้าดินปรากฏกระแสธารกาลเวลาที่งดงามตระการตา ม้วนซัดปั่นป่วน
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องเพียงพริบตาแล้วหายไป
ตรงจุดเดิมไม่มีเงาของหลินสวินแล้ว
‘สมเป็นกระบี่ศุภโชค ถึงกับหลอมพิกัดห้วงอากาศในนี้ได้ มิน่าปีนั้นพวกเฒ่าชราแห่งน่านฟ้าที่แปดถึงตาลุกน้ำลายหกเช่นนั้น’
เสวียนเฟยหลิงตกตะลึง
แน่นอนว่าเขารู้ว่าปีนั้นหลังจากลั่วทงเทียนประสบเคราะห์ เหล่ายักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดเคยทุ่มเทเพียงใด ยามเสาะหาสมบัติอย่างโลงนิรันดร์และกระบี่ศุภโชคที่ลั่วทงเทียนเหลือไว้
หลังจากจ้องมองครู่หนึ่ง เสวียนเฟยหลิงค่อยวางใจอย่างสมบูรณ์
ไม่ได้เกิดเหตุไม่คาดฝันอะไร
แต่เมื่อเขากำลังจากไป ห้วงอากาศที่ห่างไกลกลับเกิดคลื่นสะเทือนระลอกหนึ่ง จากนั้นก็มีกลิ่นอายน่ากลัวม้วนแผ่ออกมา
เสวียนเฟยหลิงยิ้มหยันในใจ ‘พวกเฒ่าชราน่านฟ้าที่แปดเหล่านี้ยังไม่ตัดใจดังคาด… น่าเสียดาย พวกเจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่ง’
เขาส่ายหัวแล้วส่งเสียงตะโกนทันที “สหายยุทธ์ทุกท่านมาที่นี่ด้วยเรื่องใด”
เสียงก้องเก้าชั้นฟ้าสิบแผ่นดิน
เสียงแหบชราหนึ่งดังขึ้นแต่ไกล “รองหัวหน้าหอเสวียนเล่า มาที่นี่เพื่อการใด”
“ส่งคน”
เสวียนเฟยหลิงยิ้มกล่าว
“คนล่ะ”
เสียงเย็นชาหนึ่งดังขึ้น
“แน่นอนว่าไปแล้ว”
เสวียนเฟยหลิงยิ้มเบิกบาน “หากพวกเจ้าอยากอยู่ที่นี่ต่อก็ตามสบาย ข้าคนแซ่เสวียนไม่อยู่เป็นเพื่อนแล้ว”
พูดจบเขาก็หัวเราะลั่น เดินห่างออกไป
ร่างเขาเพิ่งหายไป เงาร่างแฝงกลิ่นอายน่ากลัวไร้ขอบเขตสายแล้วสายเล่าปรากฏบนยอดเขาลูกนั้นแล้วสัมผัสโดยรอบ
เงาร่างพวกนี้แต่ละคนล้วนมีกลิ่นอายขั้นหลุดพ้น!
ผ่านไปครู่ใหญ่ เงาร่างพวกนี้ล้วนสีหน้าเคร่งขรึม
พวกเขาไม่อาจสัมผัสและจับกลิ่นอายที่มีประโยชน์ใดได้แม้เพียงเสี้ยว
“เสวียนเฟยหลิงต้องรู้ว่าเจ้าหมอนี่ไปไหนแน่ ไปสืบข้อมูลจากเขาดีหรือไม่”
“นอกเสียจากว่าจะจับตัวเขา มิฉะนั้นเขาไม่มีทางแพร่งพรายข้อมูลใดให้พวกเราแน่”
“จับตัว? เจ้าเฒ่าเสวียนนี่แจ้งมรรคขั้นหลุดพ้นมาหลายหมื่นปี ได้ยินว่าบรรลุถึงขั้นสัมบูรณ์ของขอบเขตนี้นานแล้ว ซ้ำนิสัยเขายังหยิ่งผยอง เหี้ยมโหดอำมหิต ต่อให้พวกเราลงมือพร้อมกันเพื่อจับเขาก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแน่”
“น่าชังนัก รอภายหน้าไม่ช้าก็เร็วต้องคิดบัญชีในวันนี้กับเจ้าเฒ่าเสวียนให้ได้!”
“ไปเถอะ ครั้งนี้ไม่มีโอกาสจับตัวเศษเดนคีรีดวงกมลนั่น ครั้งหน้ายังมีโอกาสอีก ไม่ว่าเขาไปที่ไหน สุดท้ายแล้วภายหน้าก็ต้องกลับมาลัทธิแรกกำเนิดไม่ใช่หรือ”
“ไป”
ท่ามกลางเสียงพูดคุย เงาร่างแฝงกลิ่นอายน่ากลัวไร้ขอบเขตพวกนี้ล้วนหายไปกลางอากาศ
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่เหลือร่องรอยสักนิด
ราวกับทุกอย่างที่เพิ่งเกิดเมื่อครู่ล้วนเป็นภาพลวงตา
เสวียนเฟยหลิงยืนอยู่ใต้เวิ้งฟ้าแห่งหนึ่ง สัมผัสเงียบๆ อยู่นานกว่าจะแค่นหัวเราะอย่างไร้สุ้มเสียง
สาเหตุที่ต้องพาหลินสวินออกจากลัทธิแรกกำเนิด เหตุผลอยู่ที่พลังระเบียบซึ่งปกคลุมในลัทธิแรกกำเนิดจับร่องรอยและกลิ่นอายยามหลินสวินจากไปได้
จากสิ่งเหล่านี้ก็ทำให้ศัตรูพวกนั้นสังเกตเห็นทิศทางไปของหลินสวินแล้ว
แต่โลกภายนอกไม่เหมือนกัน
ไม่มีพลังระเบียบของลัทธิแรกกำเนิด ก็ย่อมไม่มีใครรู้ว่าครั้งนี้เขาไปไหนกันแน่
…
เบื้องหน้าหลินสวินพร่าเลือนไปทั้งแถบ
ราวกับถูกลากให้ห้อตะบึงในอุโมงค์มิติ แสงสวยสดงดงามบิดเบี้ยวแปรเปลี่ยน พลังเคลื่อนย้ายชวนประหวั่นนั่นทำให้หลินสวินไร้แรงต้านโดยสิ้นเชิง
เขาได้แต่กุมกระบี่ศุภโชคในมือไว้แน่น
ทั้งไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่
ทันใดนั้น…
ตูม!
เสียงสะเทือนรุนแรงดังก้อง หลินสวินรู้สึกเพียงเบื้องหน้าสายตาเจ็บแปลบ จากนั้นเงาร่างก็เบาพลิ้วร่วงลงไปเบื้องล่างอย่างควบคุมไม่ได้
ต่อมาเมื่อโคจรมรรควิถีทั้งตัว หลินสวินได้สติทันที เงาร่างชะงักอยู่กลางอากาศอย่างมั่นคง
สิ่งที่สะท้อนเข้าสายตาเป็นอันดับแรกคือดวงตะวันสีครามที่ลอยเด่นอยู่นอกเวิ้งฟ้า ฉายแสงเยียบเย็นงามตระการ แสงที่แผ่ออกมาหนาวสะท้านเสียดกระดูก ดูแปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง
บนพื้นดินมีหิมะน้ำแข็งปกคลุม ภูผาธารากว้างใหญ่เหมือนห่อหุ้มด้วยอาภรณ์เงิน
หิมะหนาหนักราวขนห่านโปรยปราย คล้ายเศษหยกกระจัดกระจาย
นี่คือโลกหิมะน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่สง่างามแห่งหนึ่ง กระแสลมยามหายใจเข้าออกล้วนเจือความหนาวเยือกราวคมดาบเยียบเย็น
ฟุ่บ!
เงาร่างหลินสวินโรยตัวสู่พื้น เหยียบบนหิมะขาวหนาทึบ เมื่อจิตรับรู้ของเขาแผ่ขยายออกก็วิเคราะห์ได้โดยคร่าว ว่าตนอยู่ในส่วนลึกของเทือกเขาที่ยากจะพบร่องรอยผู้คนแห่งหนึ่ง
‘กฎระเบียบมหามรรคของฟ้าดินแถบนี้พิกลนัก…’
หลินสวินเผยสีหน้าประหลาด
ขอเพียงก้าวสู่ขั้นหกของมรรคจักรพรรดิ ขั้น ‘ไม่เกรงกลัวฟ้าดิน’ ไม่ว่าไปโลกหรือจักรวาลที่ไม่รู้จักแห่งไหน ล้วนปรับตัวเข้ากับพลังกฎระเบียบนั้นได้ทันที
หรือพูดได้ว่ากฎระเบียบและพลังฟ้าดินไม่อาจขวางมรรคาของผู้ฝึกปราณได้แล้ว
ตอนนี้หลินสวินเป็นระดับอมตะขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นปลายแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้
แต่ยามนี้ในโลกหิมะน้ำแข็งนี่ เขากลับสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายต่อต้านและกดดันเด่นชัดที่แผ่ออกมาจากกลางฟ้าดิน
ราวกับฟ้าดินนี้มองตนเป็นคนต่างถิ่น ต่อต้านการมาของตน
‘หรือว่านี่คือโลกที่วิวัฒน์จากซากสถานยุคสมัย’
หลินสวินใคร่ครวญในใจ อารยธรรมยุคสมัยแตกต่างกันย่อมเกิดการปฏิเสธและต่อต้านเป็นธรรมดา
การปฏิเสธและต่อต้านเช่นนี้สะท้อนให้เห็นบนตัวผู้ฝึกปราณ เกิดเป็นปัญหาอย่างที่หลินสวินเผชิญหน้าอยู่ตอนนี้
เขามาจากยุควิญญาณยุทธ์ แต่ที่นี่มีโอกาสสูงว่าเป็นโลกยุคสมัยอื่น มิฉะนั้นคงไม่มีทางเจอพลังต่อต้านและกดดันที่มองไม่เห็นเช่นนี้แน่
จริงดังคาด เมื่อหลินสวินโคจรมรรควิถี เก็บงำกลิ่นอายของตน กลิ่นอายฟ้าดินที่ต่อต้านและกดดันนั้นก็หายไปทันที
หลังจากยืนเงียบครู่หนึ่งหลินสวินก็เก็บกระบี่ศุภโชคลงไป ก่อนนำหยกงามแดงเพลิงโชติช่วงที่สลักคำว่า ‘เฉิน’ นั้นมาแขวนไว้ตรงเอว
เขาตัดสินใจออกจากที่นี่ ไปหาสถานที่ซึ่งมีสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัย ลองสืบดูว่าพื้นที่ที่ตนอยู่คือที่ใด
ทว่าหลินสวินกลับส่งเสียงอึดอัดในคอ ร่างหยุดชะงัก
กฎระเบียบฟ้าดินนี้มีปัญหา!
เก็บกลิ่นอายไว้ยังไม่เท่าไร แต่ขอเพียงเขาโคจรมรรควิถี ฟ้าดินนี้ก็คล้ายจะกำราบเขา เกิดพลังกดข่มชวนประหวั่นหาใดเปรียบ
ด้วยพลังปราณของหลินสวินยังไม่อาจไปต้านทาน!
ทั้งหลินสวินยังเกิดลางสังหรณ์เด่นชัดว่าหากตนฝืนโคจรมรรควิถีอีก ย่อมมีโอกาสสูงว่าจะถูกพลังกฎระเบียบที่ปกคลุมฟ้าดินแถบนี้สังหาร!
หลินสวินหยุดเดินทันที ยืนอยู่กลางหิมะโปรยปราย สีหน้าวูบไหวไม่หยุด
หากไม่อาจใช้พลังปราณได้ นั่นไม่ใช่หมายความว่าในโลกที่ไม่รู้จักแห่งนี้ ต่อให้เขามีมรรควิถีทั้งตัวแต่ก็ไม่ต่างอะไรกับคนทั่วไปหรอกหรือ
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ลองหยั่งเชิงอีกครั้ง
เขาโคจรมรรควิถีช้าๆ ปลดปล่อยกลิ่นอายของระดับจักรพรรดิออกมา
แต่ไม่นานเงาร่างเขาพลันซวนเซวูบหนึ่ง อึดอัดจนแทบกระอักเลือด รีบเก็บกลิ่นอายไป
กลิ่นอายระดับจักรพรรดิก็ไม่ไหว ถูกกดกำราบถึงชีวิตเช่นกัน!
หลินสวินไม่ย่อท้อ ลองหยั่งเชิงต่อ
กลิ่นอายระดับกึ่งจักรพรรดิ…
ไม่ได้
ระดับอริยะ… ก็ไม่ได้!
เมื่อหลินสวินปลดปล่อยกลิ่นอายระดับอมตะเคราะห์ด่านเก้าออกมา พลังบีบกดชวนประหวั่นของฟ้าดินนั้นจึงเปลี่ยนเป็นน้อยลงมาก
จากการคาดเดาของหลินสวิน ยึดตามสภาพการณ์เช่นนี้ ต่อให้ตนกดมรรควิถีถึงระดับอมตะเคราะห์ก็คงอยู่ได้แค่ประมาณครึ่งชั่วยาม
เมื่อเวลาผ่านไปต้องแบกรับแรงกดดันของกฎระเบียบฟ้าดินนั้นไม่อยู่แน่
เมื่อได้ข้อสรุปเช่นนี้ หลินสวินหมดคำพูดไปพักหนึ่ง ในใจนึกสงสัย
‘ซากสถานยุคสมัยแห่งหนึ่ง เป็นตัวแทนของอารยธรรมการฝึกปราณอันสมบูรณ์อย่างหนึ่ง นี่หมายความว่ามีเพียงฝึกมรดกการฝึกปราณของอารยธรรมนี้ จึงจะไม่ถูกกฎระเบียบฟ้าดินนี้กำราบและต่อต้านหรือไม่’
หลินสวินใคร่ครวญ
เขาเคยได้รับพลังมรดกมรรคเซียนของยุคก่อน รู้ดีว่าอารยธรรมยุคสมัยที่แตกต่างกันต่างสร้างระบบการฝึกปราณที่ไม่เหมือนกัน
อย่างเช่นยุคก่อน ระดับการฝึกปราณแบ่งเป็นระดับจวนม่วง ศาลเหลือง โอสถทองสองลักษณ์ นรกแปลงผู้เที่ยงแท้ นิพพาน เซียนปฐพี เซียนสวรรค์เป็นต้น
หากเปรียบเทียบเช่นนี้ ในฟ้าดินที่ตนอยู่ตอนนี้เป็นอารยธรรมฝึกปราณที่สมบูรณ์อีกแห่งหนึ่ง เช่นนั้นระบบการฝึกปราณของมันก็ต้องไม่เหมือนกันแน่
และระบบการฝึกปราณ แต่ไรมาได้มาจากการอนุมานกฎระเบียบฟ้าดิน
ยกตัวอย่างเช่นระบบการฝึกปราณของยุคก่อน ก็หยั่งรู้และกลั่นกรองผ่านกาลเวลาไร้สิ้นสุดโดยผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วน อนุมานออกมาจากระเบียบมรรคเซียนในกฎระเบียบฟ้าดินนั่น
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ในหัวหลินสวินก็คิดวิธีจัดการภาวะคับขันของตนออกทันที
………………..