Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2784 เขตหวงห้ามที่เก้า
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2784 เขตหวงห้ามที่เก้า
ตอนที่ 2784 เขตหวงห้ามที่เก้า
ด้วยความทรงจำจากหญิงผมขาวชุดดำนั่น ทำให้หลินสวินรู้จักโลกแห่งนี้
โลกนี้นามว่าแดนเทพต้าฉิน มีอารยธรรมการฝึกปราณที่สมบูรณ์อย่างหนึ่ง
ผู้ฝึกปราณถูกเรียกว่าจอมยุทธ์วิญญาณ
ระดับการฝึกปราณได้แก่ระดับแรกปฐม ระดับสองลักษณ์ ระดับสามภาค ระดับสี่ลักษณ์ ระดับห้าธาตุ ระดับหกประสาน ระดับเจ็ดดารา ระดับแปดทิศ ระดับเก้ายอด
หากสูงกว่านี้ก็เป็นระดับจอมยุทธ์สามด่าน รวมถึงระดับเทพยุทธ์ในตำนาน
เมื่อรู้ชื่อของระดับปราณพวกนี้ กอปรกับการหยั่งรู้และความเข้าใจที่ตนมีต่อกฎระเบียบฟ้าดินนี้ ก็ทำให้หลินสวินเข้าใจทันที
ในแดนเทพต้าฉินนี้ตั้งแต่ระดับแรกปฐมถึงระดับห้าธาตุ ตรงกับห้าระดับใหญ่อย่างระดับกำลังภายในถึงระดับกระบวนแปรจุติ ระดับหกประสานตรงกับระดับอมตะเคราะห์ ระดับเจ็ดดาราตรงกับระดับอริยะ ระดับแปดทิศตรงกับระดับกึ่งจักรพรรดิ ระดับเก้ายอดตรงกับระดับจักรพรรดิเก้าด่าน…
หากคาดเดาตามนี้ ระดับจอมยุทธ์สามด่านนั่นต้องตรงกับระดับอมตะสามขั้นแน่
ส่วนระดับเทพยุทธ์ในตำนาน บางทีสิ่งที่ตรงกันอาจเป็นระดับนิรันดร์!
การค้นพบนี้ทำให้หลินสวินสนใจไม่น้อย
อารยธรรมยุคสมัยที่เขาอยู่ แม้ต่างจากอารยธรรมยุคสมัยของแดนเทพต้าฉิน ชื่อของระดับปราณก็ไม่เหมือนกัน แต่การแสวงหาและการแบ่งระดับมรรคากลับสอดคล้องกันอยู่รางๆ!
สิ่งนี้พิสูจน์การวิเคราะห์ของหลินสวินยิ่งกว่าเดิม อารยธรรมยุคสมัย ระบบการฝึกปราณ กฎระเบียบมรรคาฟ้า…
สิ่งเหล่านี้สามารถแตกต่างกันได้ แต่ความเข้าใจและการเสาะหาของผู้ฝึกปราณที่มีต่อมหามรรค รวมถึงการครอบครองพลังกลับมีปลายทางเดียวกัน!
สรุปโดยง่ายคือไม่ว่าระดับปราณมีชื่อว่าอะไร กล่าวกันถึงที่สุดแล้วล้วนมีเป้าหมายเพื่อเสาะหาการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาตนเอง
‘รอเมื่อข้าใช้พลังของระดับอมตะได้ ก็หยั่งรู้กฎระเบียบและพลังระเบียบที่กระจายอยู่ในโลกนี้ได้ ถึงตอนนั้นก็จะไม่เจออุปสรรคและการควบคุมใดในโลกนี้อีก…’
หลินสวินพึมพำในใจ
นอกจากเรื่องพวกนี้แล้วหลินสวินยังรู้ด้วยว่าบริเวณที่เขาปรากฏตัวถูกเรียกว่า ‘เขตหวงห้ามที่เก้า’ ดำรงอยู่มานานแล้ว
เขตหวงห้ามที่เก้าครองพื้นที่สามหมื่นลี้ เมื่อนานมาแล้วถูกเผ่าเทพต้าฉินมองเป็น ‘แดนอัปมงคล’ ด้วยเหตุนี้จึงส่งกำลังพลมาปิดผนึกทั่วหล้าสามหมื่นลี้นี่
ขุมอำนาจใหญ่มากมายที่เป็นบริวารของเผ่าเทพต้าฉิน หลายปีมานี้ผลัดกันรักษาการณ์และเฝ้าเขตหวงห้ามที่เก้าจนถึงปัจจุบัน
จากความทรงจำของหญิงผมขาวชุดดำ หลินสวินรู้ว่าขุมอำนาจใหญ่พวกนี้ปิดผนึกและเฝ้าพิทักษ์เขตหวงห้ามที่เก้าด้วยมีเป้าหมายอื่นอีก…
จับตัวคนต่างถิ่น!
เหตุผลก็คือเขตหวงห้ามที่เก้าถูกมองเป็น ‘ทางเข้า’ จากโลกภายนอกสู่แดนเทพต้าฉิน
ผู้ฝึกปราณที่ไม่ใช่คนของแดนเทพต้าฉิน ขอเพียงมาที่นี่ก็จะปรากฏตัวในเขตหวงห้ามที่เก้านี้
นี่คือความประสงค์ของเผ่าเทพต้าฉิน และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
แต่ในความทรงจำของหญิงผมขาวชุดดำ หลินสวินได้รู้ว่าหลายปีนี้นอกจากตนแล้วก็ไม่มี ‘คนต่างถิ่น’ อื่นปรากฏตัวในเขตหวงห้ามที่เก้าอีก
นี่ผิดปกติเกินไปแล้ว
‘กระบี่ศุภโชคพาข้ามาเขตหวงห้ามที่เก้าของแดนเทพต้าฉินนี้ ทั้งที่นี่ยังถูกมองเป็นทางเข้า ถูกปิดผนึกอย่างแน่นหนาเพื่อจับตัวคนต่างถิ่น ซ้ำเผ่าเทพต้าฉินยังออกคำสั่งด้วยตัวเอง…’
ในใจหลินสวินรู้สึกสงสัยไม่น้อย
เผ่าเทพหนึ่งครอบครองซากสถานยุคสมัยหนึ่ง ทำไมต้องระดมกำลังปิดผนึกเขตหวงห้ามที่เก้าถึงปัจจุบันเช่นนี้
หลินสวินรู้ว่าฐานะของหญิงผมขาวชุดดำนี้น่าจะไม่สูงพอ ยังไม่อาจรู้ความลับแท้จริงเบื้องหลังที่ปิดผนึกเขตหวงห้ามที่เก้าได้
ถ้าอยากรู้ความลับนี้ บางทีอาจมีแค่ลงมือกับ ‘เผ่าเทพต้าฉิน’!
จากความทรงจำของผู้หญิงคนนี้ เผ่าเทพต้าฉินคือผู้นำสูงสุดที่สมเกียรติของโลกนี้ บรรพบุรุษเคยก้าวถึงระดับ ‘เทพยุทธ์’ อย่างแท้จริง
ในกาลเวลาไร้สิ้นสุดที่ผ่านมา ในสายตาผู้ฝึกปราณนับหมื่นแสนแห่งแดนเทพต้าฉิน ฐานะของเผ่าเทพต้าฉินก็เหมือน ‘เผ่าเทพนิรันดร์’ ในสายตาผู้ฝึกปราณโลกยอดนิรันดร์ สูงส่งไม่อาจเอื้อมดั่งตำนาน
หลินสวินใคร่ครวญครู่ใหญ่แล้วส่ายหัว เริ่มทำสมาธิต่อ
เป้าหมายการมาแหล่งสถานศุภโชคครานี้ของเขามีอยู่สองอย่าง
หนึ่งคือช่วยบิดามารดาที่ติดอยู่กลับไป
สองคือหาเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับฐานะของซย่าจื้อ
สำหรับเรื่องอื่นเขาไม่สนใจโดยสิ้นเชิง
ตามเวลาที่ล่วงเลย กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวหลินสวินแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ มีสัญญาณว่าจะทยอยเพิ่มมากขึ้น ละอองแสงศักดิ์สิทธิ์มากมายโปรยปรายเป็นครั้งคราว เสียงมรรคราวอสนีบาต
ยังดีที่ถ้ำสถิตใต้ดินนี้ถูกพลังผนึกปกคลุมไว้ ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกโลกภายนอกสังเกตเห็น
สามวันต่อมา
กลิ่นอายบนตัวหลินสวินทัดเทียมระดับราชันอริยะแล้ว มรรควิถีน่าจะเท่ากับระดับเจ็ดดาราของแดนเทพต้าฉิน
‘ก็ไม่รู้ว่าด้วยความสามารถของข้าตอนนี้ หากสำแดงพลังระดับกึ่งจักรพรรดิหรือระดับจักรพรรดิ แรงกดดันที่ต้องรับจากกฎระเบียบฟ้าดินจะอ่อนกำลังลงมากหรือไม่…’
หลินสวินใคร่ครวญ
ในตอนนี้เองเสียงพูดคุยเล็กๆ พลันดังออกมาจากในกระบวนผนึกของถ้ำสถิต
นี่คือกระบวนผนึกที่อัศจรรย์อย่างหนึ่งนามว่า ‘ลมพัดหญ้าไหว’ สามารถจับการเคลื่อนไหวในรัศมีหมื่นจั้งได้ทันที
“ยังไม่เจอมือสังหารที่ฆ่าพวกเฟิงอิงอีกหรือ”
“ไม่เจอ แต่คาดเดาได้ว่ามือสังหารยังอยู่ในเขตหวงห้ามที่เก้านี้แน่ กำลังของพวกเราที่ประจำการอยู่ใกล้เคียงวางกำลังพลแน่นหนาอยู่ก่อนแล้ว หากมือสังหารคิดหนีไปข้างนอก นั่นแทบเป็นไปไม่ได้”
“ไม่รู้กี่ปีมาแล้วที่เขตหวงห้ามที่เก้าไม่เคยเกิดเรื่องผิดแปลกใดแม้เพียงเสี้ยว แต่วันนี้กลับเกิดเหตุการณ์นองเลือดเช่นนี้ หรือว่า… มีคนต่างถิ่นปรากฏตัวจริงๆ”
“อย่าพูดมาก ค้นหาต่อไป! ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องจับตัวมือสังหารนั่นมา มิฉะนั้นพรุ่งนี้หลังจากใต้เท้าเฟิงอวิ๋นมาถึง หากรู้ข่าวว่าเฟิงอิงสิ้นชีพ ใครจะรับเพลิงโทสะนั้นได้”
“รีบค้นหา!”
…ไม่ทันไรเสียงพูดคุยก็หายไป
นัยน์ตาดำของหลินสวินวาววาบ
ไม่ต้องสงสัย สามวันนี้ขุมอำนาจใหญ่ซึ่งประจำการอยู่ใกล้เขตหวงห้ามที่เก้าส่งกำลังพลออกตามจับตนแล้ว
ทั้งพวกเขายังรู้ข่าวการตายของชายสามหญิงหนึ่งนั่นแล้วด้วย
‘เฟิงอิง…’
หลินสวินนึกถึงข้อมูลที่ได้รับจากความทรงจำของหญิงผมขาวชุดดำนั่น เฟิงอิงก็คือชายเกราะดำที่ถูกเขาสังหารนั่น มาจาก ‘ตระกูลเฟิง’ หนึ่งในขุมอำนาจใหญ่ของแดนเทพต้าฉิน
ในช่วงเวลาเกือบหมื่นปีนี้ เขตหวงห้ามที่เก้ามีกำลังพลของตระกูลเฟิงประจำการและคอยเฝ้ามาตลอด
หลินสวินคิดดูครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจรอดูสถานการณ์
แต่เพื่อความปลอดภัย เขาลุกขึ้นวางพลังผนึกปกคลุมรอบถ้ำสถิตใหม่อีกครั้ง
เขาในตอนนี้สำแดงพลังระดับราชันอริยะได้แล้ว อานุภาพของกระบวนผนึกที่วางย่อมต่างจากก่อนหน้านี้โดยสิ้นเชิง
เมื่อทำเรื่องพวกนี้เสร็จหลินสวินก็นั่งสมาธิอีกครั้ง
จากการคาดเดาของเขา ไม่เกินสองวันก็จะสำแดงพลังของตนถึงระดับกึ่งจักรพรรดิได้ ทั้งไม่ถูกกฎระเบียบฟ้าดินนี้กำราบอีก
แต่ถ้าอยากยกระดับพลังให้ทรงอานุภาพไม่อาจต้านเหมือนก่อนหน้านี้กลับเป็นไปไม่ได้
สาเหตุอยู่ที่ระดับยิ่งสูง นัยเร้นลับมหามรรคที่ต้องหยั่งรู้และครอบครองก็ยิ่งลึกซึ้งและเร้นลับ แน่นอนว่าเวลาที่ต้องใช้ก็ยิ่งนาน
แต่หลินสวินไม่ได้ใส่ใจ
แม้เวลาจะนานแค่ไหน เมื่อพลังของตนฟื้นคืนสภาพยอดเยี่ยมเหมือนแต่ก่อนก็ไม่มีทางเกินหนึ่งปี
นี่ไม่ใช่การฝึกมรรคาใหม่ แค่ปรับตัวเข้ากับกฎระเบียบของอารยธรรมการฝึกปราณที่ไม่รู้จักเท่านั้น
ทว่าวันต่อมา
หลินสวินที่กำลังนั่งสมาธิพลันลืมตาแล้วหยัดร่างขึ้น
ตูม!
เกือบจะเวลาเดียวกัน ถ้ำสถิตที่อยู่ใต้ดินพันจั้งนี้ถูกถล่มอย่างน่าพรั่นพรึง สั่นสะเทือนรุนแรงทันที พลังผนึกที่ปกคลุมรอบทิศส่งเสียงกึกก้องหนักหน่วง ละอองแสงโปรยปราย
มีคนโจมตีมาแล้ว!
นัยน์ตาดำหลินสวินวาบประกายเย็นเยียบ
“โจรถ่อยนั่นซ่อนอยู่ที่นี่ดังคาด พวกเจ้าหลีกไป!”
ภายนอกมีเสียงแหบชราเย็นชาอำมหิตดังขึ้น
ตูม!
พื้นดินแถบนี้ถูกซัดละเอียด เศษหินดินโคลนพลิกตลบสาดกระเซ็น รัศมีแสงมรรคชวนประหวั่นพวยพุ่ง ราวกับจะลบแผ่นดินนี้ออกไป
สุดท้ายพลังผนึกที่หลินสวินวางไว้ก็แบกรับไม่อยู่ ระเบิดกระจุยดังสนั่น
และก็เป็นพริบตานี้ที่เงาร่างหลินสวินทะลวงอากาศขึ้นมา
“โจรชั่ว ทำไมเจ้าถึงไม่หลบแล้วเล่า”
ทันทีที่หลินสวินพุ่งออกมาจากพื้นดิน เสียงตวาดหนึ่งดังกึกก้อง ทวนศึกสีเงินเล่มหนึ่งแทงลงมากลางศีรษะ กลิ่นอายทำลายล้างเหมือนธารดาราไหลลู่ น่าหวาดกลัวไร้ขอบเขต
ตึง!!
หลินสวินใช้ดาบฝ่ามือเข้าปะทะ ทวนศึกสีเงินนั่นถูกซัดจนสะเทือนรุนแรง ระหว่างทั้งสองเกิดแสงศักดิ์สิทธิ์แปรปรวนเจิดจรัสบาดตา
ขณะเดียวกันเงาร่างหลินสวินก็เคลื่อนย้ายมายืนอยู่ตรงจุดที่ห่างไป
คราวนี้เขาถึงเห็นชัดเจน ผู้ลงมือคือชายชราที่ทั้งตัวปกคลุมด้วยเกราะสีเงิน ผมหนวดแดงเข้มดุจอัคคี นัยน์ตาดุจโคมทองคู่หนึ่ง มือถือทวนศึกสีเงินเปล่งประกาย อานุภาพดุดันยิ่ง
ห่างจากชายชราเกราะเงินนี้ไปไม่ไกล ยังมีผู้แข็งแกร่งอีกราวสามสิบคนยืนอยู่ แต่ละคนกุมอาวุธ กลิ่นอายแข็งกร้าวดุดัน ทั่วร่างมีแสงมรรคพร่างพรายละลานตาไหลวน
“โจรชั่ว เฟิงอิงหลานชายคนนั้นของข้าถูกเจ้าฆ่าใช่หรือไม่”
ชายชราเกราะเงินสีหน้าเยียบเย็น ไอสังหารเต็มเปี่ยม
คนอื่นล้วนเคลื่อนสายตามองมาที่หลินสวิน
“ไม่ผิด”
หลินสวินสีหน้าราบเรียบ “เขาคิดสังหารข้า ข้าจำต้องฆ่าเขา”
ชายชราเกราะเงินคือมีระดับเทียบเท่าระดับจักรพรรดิด่านแรก ในสายตาคนอื่นอาจแข็งแกร่งหาใดเปรียบ แต่สำหรับหลินสวิน…
หลายปีที่อยู่โลกยอดนิรันดร์นั้น เขาไม่สนใจพวกอ่อนแอเช่นนี้มานานแล้ว
ใช่ว่าดูถูกและเหยียดหยาม เพียงแต่แทบไม่เจอ ต้องรู้ว่าทั้งลัทธิแรกกำเนิด พวกที่อ่อนแอที่สุดยังมีมรรควิถีระดับมกุฎบรรพจารย์!
เมื่อเห็นว่าหลินสวินยอมรับอย่างเปิดเผยเช่นนี้ ชายชราเกราะเงินหน้าคล้ำเขียว ดวงตาทั้งสองดุจเปลวเพลิงร้อนระอุ ตวาดลั่น “รนหาที่ตาย!”
ตูม!
เขาโบกสะบัดทวนศึกสีเงิน พุ่งทะลวงผ่านอากาศโจมตีเข้ามา อานุภาพชวนตะลึง
หลินสวินไม่ถอยไม่หลีก ยืนอยู่จุดเดิม นิ้วทำมุทราเป็นประทับฝ่ามือก่อนกระแทกออกไปเบาๆ
ตึง!!
ชายชราเกราะเงินรู้สึกเพียงข้อมือปวดแปลบ ทวนศึกสีเงินถูกกระแทกจนเกือบกระเด็นหลุดจากมือ หน้าเปลี่ยนสีอย่างอดไม่ได้ ในสายตาเขากลิ่นอายบนตัวหลินสวินเพิ่งอยู่ระดับแปดทิศ แต่กลับต้านพลังระดับเก้ายอดด่านแรกของเขาได้ นี่น่าเหลือเชื่อนัก
ขณะครุ่นคิดการเคลื่อนไหวของเขาก็ไม่ชักช้า โคจรมรรควิถีของตนถึงขีดสุด ทวนศึกสีเงินดุจธารดาราเก้าฟ้า แฝงละอองแสงทั่วนภา พุ่งพิฆาตหลินสวิน
“ข้าไม่มีเวลามาสิ้นเปลืองกับพวกเจ้า”
หลินสวินขมวดคิ้ว วาดมือคว้าทวนศึกสีเงินที่พุ่งเข้ามาเล่มนั้นไว้แน่น
มือซ้ายของเขายื่นออกมาดุจสายฟ้าฟาด ทำลายพลังป้องกันรอบตัวชายชราเกราะเงินแล้วบีบคอเขา ทั้งตัวอีกฝ่ายถูกหิ้วขึ้นมาเหมือนลูกไก่
จับบุคคลระดับเก้ายอดได้ในการโจมตีเดียว!
ภาพทำลายล้างนั่นทำให้คนอื่นในที่นั้นสั่นสะท้านทันที ต่างตื่นตระหนกสิ้นหวังราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง
……………………