Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2794 อานุภาพแห่งนิรันดร์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2794 อานุภาพแห่งนิรันดร์
ตอนที่ 2794 อานุภาพแห่งนิรันดร์
นอกแดนผนึกเรืองแสงมีกำลังพลของสามเผ่าเทพชั้นยอดกับตระกูลฉินประจำการอยู่
พูดให้ชัดเจนยิ่งขึ้นก็คือ นอกแดนผนึกเรืองแสงนั้นมีขั้นหลุดพ้นเฝ้าอยู่อย่างน้อยแปดคน!
คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่หลินสวินได้รู้จากความทรงจำของฉินจิงเลวี่ย ไม่มีทางผิดพลาด
นี่ก็เป็นสาเหตุที่หลินสวินตัดสินใจไปเมืองเทพศุภโชค ไม่ได้ไปแดนผนึกเรืองแสง
เพราะอันตรายเกินไป
ต่อให้ในมือหลินสวินมีไพ่ตายอยู่อีก แต่ตอนนี้ต่อให้บุ่มบ่ามมุ่งหน้าไปก็ไม่กล้ารับรองว่าจะช่วยบิดามารดาออกมาจากแดนผนึกเรืองแสงได้อย่างราบรื่น
ว่ากันถึงที่สุดแล้วเป็นเพราะหลินสวินไม่อาจแน่ใจ ว่าจะกำราบเฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นหลุดพ้นแปดคนด้วยพลังรูปจำลองเจตจำนงของไท่เสวียนได้หรือไม่
แม้ว่าไท่เสวียนจะเป็นระดับนิรันดร์ แต่ที่หลินสวินใช้ก็แค่รูปจำลองเจตจำนงที่ไท่เสวียนมอบให้ในป้ายคำสั่งเท่านั้น
แต่เฒ่าดึกดำบรรพ์ขั้นหลุดพ้นเหล่านั้นเป็นพวกที่มีชีวิตอยู่มาไม่รู้นานเท่าไรทั้งสิ้น
แน่นอนว่าปัญหาสำคัญที่สุดอยู่ที่หลินสวิน…. ไม่ล่วงรู้ถึงพลังที่ระดับนิรันดร์ครอบครองเลยจริงๆ
ดังนั้นถึงได้กังวลใจ ไม่อาจไม่วิเคราะห์สถานการณ์อย่างเยือกเย็น เลือกใช้วิธีที่เหมาะสมที่สุดคือการไปเมืองเทพศุภโชค!
ขอเพียงไปถึงเมืองเทพศุภโชค หลินสวินก็ไม่ต้องกลัวศัตรูหน้าไหนอีก!
เพราะพลังผนึกที่ปกคลุมในเมืองนี้กดข่มผู้ฝึกปราณทั้งหมด แข็งแกร่งแค่ไหนก็ใช้ได้แค่มรรควิถีของระดับจักรพรรดิ
และในระดับจักรพรรดิ หลินสวินจะไปกลัวใครได้อย่างไร
มิหนำซ้ำในเมืองเทพศุภโชคยังสามารถติดต่อกับผู้ฝึกปราณ ‘ซากสถานนรกภูมิ’ และหาเส้นทางไปยังซากสถานนรกภูมิได้
ถึงตอนนั้นก็จะไปซากสถานนรกภูมิก่อน
ไท่เสวียนเคยกล่าวไว้ว่าขอเพียงเขาถือป้ายคำสั่งนี้ไปยังซากสถานนรกภูมิ ก็จะมีคนสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของป้ายคำสั่งและให้ความช่วยเหลือทันที
ขณะที่ครุ่นคิดหลินสวินก็เดินออกมาจากโรงเตี๊ยม เงาร่างไหววูบ เคลื่อนตัวขึ้นไปยังฟ้าไกลแล้ว
…..
ฟ้าดารากว้างใหญ่ไพศาลไร้ขอบเขต
แหล่งสถานศุภโชคก็เหมือนจักรวาลแห่งหนึ่ง มีซากสถานยุคสมัยมากกว่าร้อยแต่งแต้มอยู่ในนั้น ใหญ่โตจนมิอาจจินตนาการ
ที่นี่ไม่เหมือนกับแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ และแตกต่างจากแหล่งสถานคุนหลุนโดยสิ้นเชิง
ตามการคาดเดาของหลินสวิน ด้วยมรรควิถีของตนในตอนนี้ ถ้าต้องการไปเมืองเทพศุภโชคจากเมืองฉินก็ต้องเดินทางสิบวัน
มิหนำซ้ำบนเส้นทางนี้ยังไม่ได้ราบรื่น เต็มไปด้วยอันตรายน่าเหลือเชื่อมากมาย มักมีภัยพิบัติอย่างกระแสห้วงอากาศ พายุกาลเวลาอุบัติขึ้น
ยังดีที่หลินสวินได้เส้นทางไปยังเมืองเทพศุภโชคมาจากความทรงจำของฉินจิงเลวี่ย ยามเคลื่อนไหวจึงไม่ได้กังวลอะไร
ทว่าหลังผ่านไปเพียงครึ่งวัน
หลินสวินที่กำลังทะยานไปในฟ้าดาราพลันหยุดก้าวเท้า เรียกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งออกมาทันที
ปึง!!!
พลังฝ่ามือน่าครั่นคร้ามสายหนึ่งปรากฏขึ้นกลางอากาศและตบลงมาอย่างแรง กระแทกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งจนสะเทือนก้อง ส่วนเงาร่างของหลินสวินก็กระเด็นถอยหลังออกไปทันที
พรวด!
เขากระอักเลือด กลิ่นอายทั้งร่างยังปั่นป่วนไประลอกหนึ่ง
พอเงยมองไปก็พบว่าที่ฟ้าดาราไกลลิบมีเงาร่างที่เพลิงเทพสีทองอบอวลทั้งตัว กลิ่นอายเดือดดาลร่างหนึ่งทะลายอากาศมาเยือน
เป็นฉินเวิ่นจางนั่นเอง!
ทว่าบัดนี้เขาสีหน้าเย็นชา แววตามีไอสังหารน่าสะพรึงถาโถม ประหนึ่งเทพร้ายดึกดำบรรพ์อาละวาด ความโชติช่วงของอานุภาพที่แผ่ออกมาทำให้ฟ้าดาราแห่งนี้สะท้านปั่นป่วน
“หนีสิ ทำไมไม่หนีแล้วล่ะ”
ฉินเวิ่นจางเสียงเหี้ยมเกรียม เผยความแค้น
การที่ถูกหลินสวินฉวยโอกาสหนีมาจากแดนเทพต้าฉิน ถูกเขามองว่าเป็นความอัปยศครั้งใหญ่ ใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว
และก่อนหน้านี้เขาเชื่อคำของฉินไหวหลิน ไล่ตามไปทางแดนผนึกเรืองแสงอย่างโง่เขลา กระทั่งครึ่งทางถึงรู้สึกว่าไม่ชอบมาพากลและย้อนกลับมาทันที
ครั้นค้นหาในเมืองฉินรองหนึ่งก็ยังไม่พบร่องรอยของหลินสวิน ฉินเวิ่นจางจึงตัดสินได้ทันทีว่าเป็นไปได้สูงยิ่งว่าหลินสวินจะหนีไปเมืองเทพศุภโชค!
เพราะเมืองเทพศุภโชคเป็นสถานที่ที่ ‘เพิกเฉยเทพ’ มีแต่ที่นั่นหลินสวินถึงไม่กลัวการไล่ตามของกำลังพลเผ่าเทพต้าฉิน
หลังจากตัดสินได้เช่นนี้ ฉินเวิ่นจางก็ไล่ตามมาทันที เคลื่อนตัวอย่างบ้าคลั่งมาหลายชั่วยาม ในที่สุดก็ทำให้เขาพบกับหลินสวิน
“ทำไมต้องรีบรนหาที่ตายเช่นนี้”
หลินสวินถอนใจยาวเฮือกหนึ่งอย่างอดไม่อยู่
“เจ้าตัวจ้อย ไม่มีรูปจำลองเจตจำนงนั่นคุ้มครอง เจ้ายังกล้าปากดีอีกหรือ!”
ระหว่างที่ฉินเวิ่นจางพูดก็ยื่นมือมาคว้าหลินสวิน
ตูม!
มือใหญ่สีทองอร่ามมือหนึ่งพาดห้วงอากาศ แสงมรรคสีทองที่ปล่อยออกมาเผาผลาญดวงดาราที่อยู่ใกล้ๆ ไปทั้งหมด
นี่เป็นพลังของขั้นหลุดพ้น ไม่ใช่สิ่งที่หลินสวินจะสามารถต้านทานได้ในตอนนี้
ต่อให้ใช้อภินิหารหยุดเวลา ดาบกาลเวลา หรือประตูเนรเทศ… ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนผลลัพธ์ที่ถูกกำราบ
หลินสวินย่อมรู้เรื่องนี้ดี
ดังนั้นเขาจึงเอาป้ายคำสั่งที่ไท่เสวียนมอบให้ออกมาทันที
พึ่บ!
สิ่งที่ปรากฏเป็นอย่างแรกคือปราณกระบี่เรียบง่ายสายหนึ่ง พริบวาบในฟ้าดาราเบาๆ
มือใหญ่สีทองเจิดจ้านั้นพลันถูกตัดออกเหมือนกระดาษเปื่อย มลายหายไปในห้วงอากาศ
จากนั้นเงาร่างสูงใหญ่นั้นของไท่เสวียนปรากฏขึ้นกลางอากาศ แต่งกายชุดผ้าป่านทั้งตัว ผมยาวปลิวสยาย รูปลักษณ์สง่างามละโลกีย์
แสงมงคลไพศาลไหลเวียนอยู่เบื้องหลังเขา ท่ามกลางความเลือนราง กระบี่มรรคเล่มหนึ่งลอยอยู่กลางแสงมรรคไพศาล เดี๋ยวเลือนเดี๋ยวชัด เผยลักษณ์ประหลาดสะท้านโลก น่าครั่นคร้ามไร้สิ้นสุด
“ผู้อาวุโส ข้าไม่มีทางเลือก รบกวนท่านออกหน้าแล้ว”
หลินสวินปาดคราบเลือดที่มุมปาก เสียงจนใจอยู่บ้าง
“บนมหามรรคใครไม่มีช่วงเวลาอับจนหนทางบ้าง จากที่ข้าดู ยามเจ้าแจ้งมรรคขั้นหลุดพ้น คนเช่นนี้ก็จะอ่อนแอเหมือนไก่กระเบื้องสุนัขดินเผา”
เสียงของไท่เสวียนกระจ่างกังวาน ยืนอยู่เช่นนั้นก็เปรียบดั่งนายเหนือหัวสูงสุดผู้หนึ่ง!
ไกลออกไปฉินเวิ่นจางที่ไอสังหารถาโถม อานุภาพน่าครั่นคร้ามพลันนัยน์ตาเบิกกว้าง ร้องเสียงหลงว่า “ทะ… เทพยุทธ์!?”
เขาในตอนนี้สีหน้าปนเปหลายความรู้สึกยิ่ง คล้ายยากจะเชื่อ ทั้งยังเจือความหวาดหวั่นที่ไม่อาจปกปิด ทั้งตัวเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
แต่ถึงอย่างไรฉินเวิ่นจางก็เป็นคนที่เทียบได้กับขั้นหลุดพ้น จึงได้สติกลับมารวดเร็ว ยามรับรู้ได้ว่าไม่เข้าทีก็หมุนตัวจะจากไปทันที
ตูม!
กลิ่นอายบนร่างเขาน่าสะพรึง เหมือนทุ่มสุดชีวิต มรรควิถีทั้งตัวถูกโคจรอย่างบ้าคลั่ง ชั่วพริบตาก็หายลับไปไร้ร่องรอย
ในฐานะเป็นระดับจอมยุทธ์ด่านสาม ไม่มีใครล่วงรู้ถึงความน่ากลัวของระดับเทพยุทธ์ได้ดีกว่าเขา เพราะในหมู่บรรพชนเผ่าเทพต้าฉินของเขาก็เคยมีระดับเทพยุทธ์ปรากฏตัวเช่นกัน!
แม้เป็นรูปจำลองเจตจำนง ก็ยังสามารถสังหารระดับจอมยุทธ์ได้อย่างง่ายดาย!
กลับพบว่ารูปจำลองเจตจำนงของไท่เสวียนคว้าไปในห้วงอากาศเบาๆ
ทันใดนั้นหลินสวินก็เห็นภาพอัศจรรย์
ฉินเวิ่นจางที่ก่อนหน้านี้หนีไปไร้ร่องรอยแล้วถึงกับถูกลากกลับมาทั้งอย่างนั้น ร่างเขาเหมือนถูกหัตถ์สวรรค์จับไว้ ไม่ว่าจะดิ้นรนอย่างไรก็ไร้ประโยชน์
“มะ… ไม่…!!”
ฉินเวิ่นจางตกใจจนวิญญาณแทบหลุดออกจากร่าง ร้องเสียงแหบแห้ง
ถ้ารู้แต่แรกว่าหลินสวินมีไพ่ตายเช่นนี้ เขาย่อมล้มเลิกการไล่ฆ่าหลินสวินไปนานแล้ว
แต่เห็นได้ชัดว่ามาเสียใจตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว
และยามนี้หลินสวินก็ตกตะลึงอยู่เช่นนั้น
ในที่สุดเขาก็ได้รู้ว่าก่อนหน้านี้ตนคิดผิดถนัดแล้ว ประเมินความแข็งแกร่งของระดับนิรันดร์ต่ำเกินไป ยังนึกว่าเพียงรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่งเท่านั้น ต่อให้แข็งแกร่งแค่ไหนก็เกรงว่าจะไม่อาจกำราบขั้นหลุดพ้นแปดคนได้
แต่ตอนนี้ดูท่าจะไม่ได้เป็นเช่นนี้สักนิด!
เพียงยื่นมือคว้า ขั้นหลุดพ้นอย่างฉินเวิ่นจางก็ถูกจับกลับมาเหมือนแมลงวัน นี่ต้องเป็นพลังที่น่ากลัวขนาดไหน
“จะไว้ชีวิตเขาสักครั้งไหม”
ไท่เสวียนเอ่ยเสียงเรียบ
หลินสวินส่ายหัว ตอนนี้ในใจเขามีความคิดอุกอาจอย่างหนึ่ง!
ปัง!
ร่างฉินเวิ่นจางระเบิดกระจุย พลังจิตยังถูกบดขยี้แหลกลาญ ฝนเลือดสาดกระเซ็นระเหยไปในชั่วพริบตา ตายอย่างไม่เหลือร่องรอยสักนิด
ถูกลบหายไปโดยสิ้นเชิงแล้ว!
ในใจหลินสวินสะท้านสะเทือน สูดหายใจหนาวเยือก
ระดับนิรันดร์!
ถึงกับแข็งแกร่งจนน่าเหลือเชื่อถึงเพียงนี้เชียวหรือ
ในโลกยอดนิรันดร์ ลือกันว่ามีเพียงเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้าจึงจะมียอดคนที่สามารถบรรลุระดับนิรันดร์ได้
และในลัทธิแรกกำเนิด ไท่เสวียนเป็นระดับนิรันดร์เพียงคนเดียวในบรรดาคนใหญ่คนโตที่หลินสวินได้พบ
อาจเป็นเพราะไม่รู้เรื่องของระดับนี้นัก จึงทำให้หลินสวินไม่รู้สักนิดว่าพลังที่ระดับนี้ครอบครองน่ากลัวถึงขั้นไหน
แต่ตอนนี้เขารู้แล้ว
รูปจำลองเจตจำนงร่างหนึ่ง ยังไม่ใช่ร่างต้นของไท่เสวียนด้วยซ้ำ กลับสามารถสังหารคนที่เทียบได้กับขั้นหลุดพ้นราวกับเชือดไก่ นี่ล้มล้างความรู้ความเข้าใจของหลินสวินโดยสิ้นเชิง
ไท่เสวียนคล้ายสังเกตเห็นความสะท้านสะเทือนในใจหลินสวิน จึงเอ่ยปากอธิบายว่า
“เขามีปราณเพียงขั้นหลุดพ้นขั้นกลาง อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส ถึงได้อ่อนแอเช่นนี้ หากเปลี่ยนเป็นขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์เช่นเสวียนเฟยหลิง ยามสังหารย่อมต้องเปลืองแรงสักหน่อย”
ไม่อธิบายยังพอว่า หลังอธิบายหลินสวินยิ่งรู้สึกว่าสมองใช้การไม่ได้แล้ว
ไม่ใช่ฆ่าไม่ได้ แต่เป็นต้องเปลืองแรงสักหน่อย…
อีกทั้งนี่ยังเป็นเพียงอานุภาพของรูปจำลองเจตจำนงสายหนึ่ง!
ไม่ว่าใช้คำใดๆ ก็ไม่อาจบรรบายความรู้สึกในใจหลินสวินได้ เขาพลันพบว่าต่อหน้าผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์ ระดับปราณเช่นตนล้วนไม่ควรค่าให้มองดู…
“นี่คือฟ้าดาราศุภโชค ปีนั้นข้าก็เคยข้ามผ่านในฟ้าดาราไร้ขอบเขตไร้สิ้นสุดนี้ คิดไม่ถึงว่าครั้งนี้กลับเป็นการมาเยือนอีกครั้งด้วยพลังของรูปจำลองเจตจำนง
ไท่เสวียนไพล่มือไว้ด้านหลัง มองไปทั่วทิศพลางทอดถอนใจ “ก็ไม่รู้ว่าพวกสหายเก่าเมื่อปีนั้น ตอนนี้จะยังอยู่หรือไม่…”
พลันนั้นเขาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยว่า “หาพ่อแม่ของเจ้าเจอหรือยัง”
หลินสวินพยักหน้ากล่าว “พวกเขาถูกขังอยู่ที่แดนผนึกเรืองแสงขอรับ”
เขาเล่าข้อมูลที่ได้รู้มาให้แก่ไท่เสวียนทันที
“ขั้นหลุดพ้นแปดคน…”
ไท่เสวียนเงียบไปครู่หนึ่งค่อยกล่าว “ขอแค่ไม่มีระดับนิรันดร์เหมือนข้าลงมือ น่าจะสามารถช่วยเจ้าพาพ่อแม่ออกมาได้”
หลินสวินฮึกเหิมทันที ประสายมือกล่าวคารวะ “ขอผู้อาวุโสช่วยข้าด้วย”
“ในเมื่อข้าให้รูปจำลองเจตจำนงกับเจ้า ย่อมต้องช่วยเจ้าอยู่แล้ว”
ไท่เสวียนยิ้มน้อยๆ จากนั้นสีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียด กล่าวว่า “สามเผ่าเทพชั้นยอดที่เจ้าพูดถึงก่อนหน้านี้ข้าเองก็รู้จัก รากฐานพลังล้วนหนาแน่น สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกในหมู่เผ่าเทพร้อยกว่ายุคสมัย”
“ในตระกูลของพวกเขาล้วนมีระดับนิรันดร์ที่ยังมีชีวิตอยู่ควบคุมดูแล ทันทีที่ถูกพวกเขาสังเกตเห็น ด้วยพลังรูปจำลองเจตจำนงของข้าบางทีอาจสกัดขวางได้เล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจยืนหยัดได้นาน”
“ดังนั้นเจ้าควรคิดทางหนีทีไล่หลังจากช่วยพ่อแม่ของเจ้าออกมาแล้วให้ดี”
เขากล่าวพลางมองไปยังหลินสวิน
หลินสวินเงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสคิดว่าเมืองเทพศุภโชคเป็นอย่างไร”
“นั่นเป็นสถานที่ดีและแปลกประหลาดยิ่งแห่งหนึ่งอย่างแท้จริง”
แววตาไท่เสวียนแปลกไป เอ่ยว่า “แต่การหลบในเมืองนั้น ทันทีที่ถูกศัตรูจากภายนอกล้อมเป็นชั้นๆ เจ้าคิดหนีก็ไม่ง่ายแล้ว”
ทันใดนั้นเขาเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ เอ่ยอย่างคล้ายขบคิด “ว่าไปแล้วการเลือกทางถอยที่เมืองนั้น นี่กลับไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสพลิกวิกฤติ…”
“พลิกวิกฤติหรือ”
หลินสวินอึ้งไป
ไท่เสวียนยิ้มน้อยๆ กล่าวว่า “ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ยังเร็วไป ข้าพาเจ้ามุ่งหน้าไปแดนผนึกเรืองแสงก่อน”
ว่าพลางเขาก็สะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
เงาร่างของเขาและหลินสวินหายไปในห้วงอากาศโดยพลัน
………………………