Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2813 ห้าปี
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2813 ห้าปี
ตอนที่ 2813 ห้าปี
ภาพประหลาดสะเทือนใต้หล้านี้เกิดขึ้นต่อเนื่องแค่สามลมหายใจแล้วซ่านสลาย
ประตูเนรเทศหายไปแล้ว
ฟ้าดินกลับสู่ความเงียบสงบ
แต่ในที่นั้นกลับเหลือเพียงเหวินเหรินรั่วเสวี่ย ผูอวิ๋น กงเหยี่ยฮุยกับอีกหกเจ็ดคน
พวกเขาแต่ละคนล้วนผมเผ้ายุ่งเหยิง เสื้อผ้ายับเยิน ลมหายใจถี่กระชั้น สีหน้าฉายแววตื่นตระหนกยากอำพราง สภาวะจิตสูญเสียการควบคุม
บุตรเทพคนอื่นที่มาพร้อมพวกเขาก่อนหน้านี้ล้วนหายไปแล้ว ถูกประตูเนรเทศกลืนกิน หายไปอย่างไร้ร่องรอย
เหตุการณ์ชวนประหวั่นนี้กระตุ้นจนพวกเหวินเหรินรั่วเสวี่ยสั่นไปทั้งตัว
ในจุดที่ห่างไกลเละเทะไปทั้งแถบ เหล่าผู้ฝึกปราณมากมายที่หนีตายก่อนหน้านี้ยืนอยู่ห่างออกไป แต่ละคนสีหน้าแตกตื่น ในใจหวาดผวานัก
เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เหมือนดั่งฝันร้าย นำพาแรงโจมตียิ่งใหญ่มาสู่สภาวะจิตของพวกเขา
ใครต่างคาดไม่ถึงว่าการต่อสู้เพิ่งเริ่มต้น หลินสวินก็ปล่อยพลังอภินิหารต้องห้ามน่ากลัวนั้นออกมา แทบจะล้างบางบุตรเทพห้าสิบกว่าคนนั่น!
ก่อนหน้านี้ผู้คนยังเสียดายหลินสวิน คิดว่าครั้งนี้เขาต้องตายแน่ อยู่ที่ว่าจะตายในมือของใคร
แต่ตอนนี้…
แค่สามลมหายใจ หลินสวินก็พลิกสถานการณ์กลับมาได้!
“ไป!”
ผูอวิ๋นเคลื่อนแหวกอากาศ กำลังจะหนีไปทันที
ราวกับมีจิตเชื่อมกัน เหล่าบุตรเทพที่เหลือรอดอย่างพวกเหวินเหรินรั่วเสวี่ย กงเหยี่ยฮุย ล้วนเลือกถอยร่นพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย
พลังที่หลินสวินเผยออกมาก่อนหน้านี้บดขยี้ความมั่นใจและจิตต่อสู้ในใจพวกเขาอย่างสมบูรณ์ โจมตีจิตใจพวกเขาจนรู้สึกตื่นตระหนกและหนาวเยือก
ยามนี้พวกเขาอุตส่าห์พ้นเคราะห์มาได้ มีหรือจะกล้ารั้งอยู่อีก
ก็เห็นหลินสวินส่ายหัวถอนใจเบาๆ “ในเมื่อมารับความตาย มีหรือจะให้ทุกท่านจากไปอีก”
เขาสำแดงอภินิหารหยุดเวลา
จากนั้นพวกผูอวิ๋นที่เพิ่งเริ่มหลบหนี แต่ละคนราวหนอนแมลงที่ติดอยู่ในใยแมงมุม เงาร่างหยุดนิ่งกลางอากาศไปหนึ่งพริบตา
พริบตานี้ปราณกระบี่นับไม่ถ้วนแผ่คลุมลงมาราวน้ำตก
ฉัวะๆๆ!
เสียงหนักทึบระลอกหนึ่งดังขึ้น ก็เห็นว่ากลางอากาศพวกผูอวิ๋น เหวินเหรินรั่วเสวี่ย กงเหยี่ยฮุยและบุตรเทพที่เหลืออยู่เจ็ดคน ร่างกายแต่ละคนถูกฟันเฉือนเละตายคาที่
สีเลือดแดงก่ำย้อมห้วงอากาศด้วยสีแดงชวนประหวั่นชั้นหนึ่ง!
ล้างบางศัตรูในพริบตา หมดจดชัดเจน
ใต้นภาดาราศุภโชคเหลือเพียงหลินสวินคนเดียวอีกครั้ง เงาร่างสันโดษสูงตระหง่านละโลกีย์ ราวกับเทพไร้เทียมทานหาใดเปรียบองค์หนึ่งเหลือบมองโลกหล้า
ศัตรูไม่แข็งแกร่งพอหรือ
ไม่
ได้แต่พูดว่านัยเร้นลับแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งต้องห้ามเกินไป!
จุดสำคัญที่สุดคือในเมืองเทพศุภโชคนี้ใช้ได้แค่มรรควิถีระดับจักรพรรดิเท่านั้น หากให้บุตรเทพพวกนี้ใช้พลังของมรรคาอมตะในโลกภายนอก ถ้าหลินสวินอยากฆ่าพวกเขาเกรงว่าต้องใช้เวลาครู่หนึ่ง
แต่จะว่าไปหากอยู่ในโลกภายนอก ด้วยรากฐานและพลังยอดอมตะนั้นของหลินสวิน มีหรือจะกลัวคู่ต่อสู้พวกนี้
“น่ากลัวมาก…”
ในจุดที่ห่างออกไป หลังจากเห็นภาพทั้งหมดนี้ในสายตาผู้คนมากมายอกสั่นขวัญหาย
“นั่นคือพลังกาลเวลา ไม่มีสิ่งใดกีดขวางในระดับจักรพรรดิ!”
มีคนสั่นสะท้าน
“ครอบครองอภินิหารต้องห้ามเช่นนี้ ในเมืองเทพศุภโชคใครจะเป็นคู่ต่อสู้ของหลินสวินได้อีก มิน่าก่อนหน้านี้เขาถึงไม่เกรงกลัวสิ่งใด…”
ผู้คนมากมายจิตใจปั่นป่วน ตระหนักได้ว่าทำไมก่อนหน้านี้หลินสวินถึงนิ่งเฉยและไม่หวาดกลัวเช่นนั้น
ใช่ว่าเขาบ้าระห่ำ หากแต่มั่นใจเต็มเปี่ยม!
“ข่าวลือเป็นจริง ในโลงนิรันดร์ซ่อนอภินิหารต้องห้ามที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาไว้ดังคาด แต่ใครจะคิดว่าพลังนี้กลับน่ากลัวเช่นนี้”
สายตาที่ทุกคนมองหลินสวินล้วนเต็มไปด้วยความหวาดกลัวและยำเกรง
เล่าลือว่าในโลงนิรันดร์มีสามพลังต้องห้ามอย่างกฎกรรม โชคชะตา กาลเวลาอยู่ ใครได้ไปก็จะเป็นเจ้าแห่งศุภโชค ทำให้ร้อยตระกูลยอมจำนน
ไม่ต้องสงสัยว่าหลินสวินได้โลงนิรันดร์ไปแล้ว ทั้งหยั่งรู้และครอบครองพลังต้องห้ามที่เกี่ยวข้องกับกาลเวลาในนั้นด้วย กระทั่งสำแดงอานุภาพชวนประหวั่นเช่นเมื่อครู่ออกมาได้!
“หวังว่าจะมีคนกล้ามารับความตายอีก…”
ใต้นภาดาราศุภโชค หลินสวินถอนใจเบาๆ
เมื่อเอ่ยปากออกมา ในใจทุกคนที่อยู่ห่างไปพลันม้วนซัด มีหรือจะฟังความหมายในคำพูดของหลินสวินไม่ออก
เห็นชัดว่าเขาเชื่อว่าหลังจากการต่อสู้ในวันนี้แพร่ออกไป เกรงว่าคงไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องเขาอีก!
แต่เห็นชัดว่าจากวิธีพูดของหลินสวิน ดูเหมือนยังไม่หายอยากอยู่บ้าง…
หลินสวินทำเหมือนก่อนหน้านี้ นั่งขัดสมาธิกับพื้น เริ่มทำสมาธิหยั่งรู้
ผู้ชมขวัญหนีดีฝ่อ แยกย้ายกันไปทันที
วันนั้นเมื่อข่าวแพร่ออกไป ทั้งเมืองล้วนตื่นตระหนก
“ยังดีที่ยามพวกเรารู้ข่าวก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว ไม่อย่างนั้น… เกรงว่าคงกลับมาไม่ได้แล้ว”
ในเมืองยังมีบุตรเทพบางส่วนอยู่ หลังจากรู้ข่าวว่าพวกผูอวิ๋น กงเหยี่ยฮุย เหวินเหรินรั่วเสวี่ยพังพินาศทั้งกองทัพ ไม่มีใครไม่สูดหายใจหนาวเยือก จากนั้นก็ไม่วายยินดี
ทว่านอกเมือง
“เรียนผู้อาวุโส คุณหนูนาง… สิ้นชีพแล้ว!”
คนแรกที่พุ่งออกนอกเมืองไปแจ้งข่าวคือผู้แข็งแกร่งของตระกูลเหวินเหริน เขาคุกเข่าลงกับพื้น น้ำตาคลอเบ้า ตื่นตระหนกยากสงบ
ส่วนลึกของฟ้าดารามีเสียงเดือดดาลหนึ่งดังก้อง “เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร”
หลายวันนี้ส่วนลึกของฟ้าดาราทั่วทิศมีผู้ยิ่งใหญ่ระดับนิรันดร์นับไม่ถ้วนครองพื้นที่อยู่ก่อนแล้ว เมื่อเห็นภาพนี้หลายคนต่างมีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น
แต่ไม่ทันไรฟ้าดาราแถบนี้ราวเดือดคลั่ง เสียงเกรี้ยวกราดมากมายดังขึ้น แต่ละคนล้วนกรุ่นโกรธไม่อาจสงบใจได้แล้ว
เพราะเมื่อข่าวแพร่ออกไปก็ทำให้พวกเขาตระหนักได้ ว่าบุตรเทพที่สิ้นชีพในครั้งนี้ถึงกับมีมากเช่นนี้ เกือบทั้งหมดล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องกับพวกเขา
คราวนี้ใครก็ไม่อาจมีความสุขบนความทุกข์คนอื่นได้แล้ว ต่างไม่มีอารมณ์มาเยาะเย้ยผู้อื่น ทั่วพื้นที่ล้วนถูกเสียงเดือดดาลเข้าแทนที่
“เจ้าเดรัจฉานบัดซบนี่!”
“วันหน้าต้องจับมันมาป่นกระดูกโปรยเถ้าถ่าน!”
“พลังแห่งกาลเวลาหรือ หนึ่งในอภินิหารต้องห้ามที่แข็งแกร่งที่สุดของจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์เมื่อปีนั้น หากนางไม่ได้เจอมหาเคราะห์ เกรงว่าทั่วแหล่งสถานศุภโชคคงยอมจำนนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง”
“ไม่ว่าอย่างไรก็ให้หลินสวินนี่จากไปทั้งเป็นไม่ได้เด็ดขาด!!!”
…ในฟ้าดาราสัตว์ประหลาดเฒ่าที่มาจากเผ่าเทพแต่ละตระกูลแผดเสียงคำราม สะเทือนจนดวงดาวทั่วฟ้าสั่นไหวไร้ระเบียบ ทำให้ผู้ฝึกปราณนับไม่ถ้วนในเมืองเทพศุภโชคขวัญหนีดีฝ่อ
ทั้งในและนอกเมืองโกลาหลไปทั้งแถบ
แต่ทุกอย่างนี้ล้วนไม่มีผลกระทบต่อหลินสวิน
เขากำลังหยั่งรู้ระบบการฝึกปราณนับร้อยนั่น ทั้งเฝ้ารอการมาเยือนของ ‘โอกาสพลิกผัน’
ทว่าตั้งแต่วันนั้นมา ในกาลเวลาเนิ่นนานก็ไม่มีใครมาหาเรื่องอีก
หนึ่งปี สองปี สามปี…
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปห้าปีแล้ว
ใครก็คิดไม่ถึงว่าหลินสวินจะมีความอดทนเช่นนี้ ดูเหมือนหลงใหลในการนั่งสมาธิหยั่งรู้ใต้นภาดาราศุภโชค นั่งขัดสมาธิทั้งวันทั้งคืน ลุกขึ้นเป็นครั้งคราวเข้าไปเดินเล่นในเมืองครู่หนึ่ง แต่ไม่นานก็หวนกลับมานั่งสมาธิต่อ
นานเข้าผู้ฝึกปราณในเมืองล้วนคุ้นชินกับการมีอยู่ของหลินสวิน
ห้าปีมานี้เมืองเทพศุภโชคราบเรียบไร้คลื่นลม ไม่เกิดเหตุการณ์โกลาหลนองเลือดขึ้นอีก
ได้ยินว่าห้าปีก่อนบุตรเทพจากเผ่าเทพสามตระกูลใหญ่แห่งโลกทวยเทพมาถึงเมืองเทพศุภโชคแล้ว
แต่หลังจากรู้ผลงานการต่อสู้ทั้งหมดของหลินสวินก็ล้วนเลือกจำศีล ห้าปีมานี้ไม่มีการเคลื่อนไหวใดแม้เพียงเสี้ยว เห็นได้ว่าอดทนเป็นพิเศษ
ส่วนนอกเมืองเทพศุภโชค ในส่วนลึกของฟ้าดารานั้น เหล่าผู้อาวุโสจากเผ่าเทพแต่ละตระกูลก็ไม่ยอมแพ้ ห้าปีมานี้พวกเขาเฝ้ารออยู่ตรงนั้นมาตลอด
สำหรับคนธรรมดาเวลาห้าปีถือว่าเนิ่นนานแล้ว
แต่สำหรับผู้ฝึกปราณ เวลาแค่ห้าปีไม่ถือเป็นเรื่องใหญ่อะไร
โดยเฉพาะสำหรับผู้ฝึกปราณระดับจักรพรรดิขึ้นไป เวลาปิดด่านบางครั้งเป็นไปได้ว่าอาจถึงร้อยปี
แต่เมื่อทุกคนนึกถึงว่าเฒ่าดึกดำบรรพ์พวกนั้นยอมใช้เวลาห้าปีมาเฝ้ารอเป้าหมายเดียวกัน ทุกคนก็ยังตกตะลึงไม่หยุดอย่างอดไม่ได้
นี่หมายความว่าเฒ่าดึกดำบรรพ์พวกนั้นตัดสินใจจัดการหลินสวินโดยไม่ต้องสงสัย!
คนผู้หนึ่งจำศีลได้ชั่วขณะ แต่จะหลบซ่อนชั่วชีวิตได้อย่างไร
ทุกคนล้วนมีเรื่องต้องทำ ไม่ว่าจะเพื่อฝึกปราณหรือเพื่อญาติมิตร เพื่อแก้แค้นหรือเรื่องอื่น
ทุกอย่างนี้ล้วนลิขิตว่าหลินสวินไม่มีทางหลบซ่อนอยู่ในเมืองเทพศุภโชคโดยไม่ออกมาชั่วชีวิต!
ห้าปีแล้ว
ไม่มีการเข่นฆ่าและความโกลาหล เมืองเทพศุภโชคกลับสู่ความคึกคักและเจริญรุ่งเรืองเหมือนอดีต
แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผู้คนเดินผ่านนภาดาราศุภโชค ยามเห็นหลินสวินที่นั่งขัดสมาธิอยู่ใต้นภาดารานั้น ทุกคนจะรับรู้ว่าภายหน้า ด้วยการมีอยู่ของหลินสวิน เกรงว่าเมืองเทพศุภโชคย่อมถูกลิขิตให้เกิดความปั่นป่วนและคลื่นลมอีกแน่!
‘ห้าปีแล้ว…’
วันนี้หลินสวินลืมตาขึ้นเงียบๆ ฉายแววเหม่อลอยเสี้ยวหนึ่ง
ตั้งแต่ออกจากโลกยอดนิรันดร์มาถึงตอนนี้ก็ห้าปีกว่า ก่อนมาเขามีเป้าหมายอยู่สองอย่าง
หนึ่งคือช่วยบิดามารดาออกจากแดนผนึกเรืองแสง
อีกหนึ่งคือคลายปมปริศนาฐานะของซย่าจื้อ
ตอนนี้เป้าหมายแรกสำเร็จนานแล้ว แต่เป้าหมายที่สองกลับคลุมเครือเหมือนเดิม
เขารู้แค่ร่างต้นของซย่าจื้อเคยถูกเรียกว่าจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ เคยเผชิญกับมหาเคราะห์ ทั้งเคยถูกเหล่าผู้อาวุโสยุคทวยเทพตีชิงตามไฟ
แต่เรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาและฐานะของนางกลับยังเป็นปริศนา
นอกจากนี้ปัจจุบันหลินสวินยังเผชิญหน้ากับปัญหาสองอย่าง
หนึ่งคือควรออกจากเมืองเทพศุภโชคนี้อย่างไร
สองคือการไขนัยเร้นลับสุดท้ายที่ซ่อนอยู่ในนภาดาราศุภโชคนี้
สำหรับปัญหาแรกหลินสวินก็ได้แค่รอ รอโอกาสพลิกผันที่ไท่เสวียนกล่าวมาเยือน
ยังดีที่เขามีความอดทนเหมือนเฒ่าดึกดำบรรพ์ซึ่งอยู่ในส่วนลึกของฟ้าดารานอกเมืองพวกนั้น ไม่ได้รีบร้อนจากไป
ส่วนปัญหาที่สอง…
ห้าปีมานี้หลินสวินได้ใช้กายมรรคร่างหนึ่งป้องกันและคอยระวังการเคลื่อนไหวของโลกภายนอก ส่วนร่างต้นและอีกสี่ร่างแยกของเขาก็หยั่งรู้และทำความเข้าใจอยู่ตลอด
ถึงตอนนี้เขาครอบครองระบบการฝึกปราณนับร้อยทั้งหมดแล้ว เพียงแต่สิ่งที่ครอบครองล้วนยังไม่สมบูรณ์
เพราะมรรควิถีของเขาเพิ่งอยู่แค่ขั้นอายุขัยเทียมฟ้าขั้นสมบูรณ์ นัยเร้นลับของระดับต่อจากนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาสัมผัสได้
แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้น ประโยชน์ที่ได้รับยามหยั่งรู้ก็ยิ่งใหญ่เหลือประมาณ ถึงขั้นใช้คำว่า ‘ไม่อาจประเมิน’ มาบรรยายได้!
หลินสวินกล้ายืนยัน หากไม่ใช่ว่าถูกเมืองเทพศุภโชคกำราบพลังปราณ เกรงว่ามรรควิถีของตนคงแจ้งมรรคขั้นดับเทพ ทะลวงขั้นใหม่ทั้งหมดนานแล้ว
สิ่งเดียวที่ทำให้หลินสวินขมวดคิ้วคือ ถึงตอนนี้เขายังไม่อาจหยั่งรู้เช่นกันว่านัยเร้นลับสุดท้ายที่ซ่อนอยู่ในนภาดาราศุภโชคนี้คืออะไรกันแน่
ถึงขั้นจับใจความไม่ได้แม้แต่น้อย
ห้าปีนี้เขาไม่ได้ทำการอนุมานแค่ครั้งเดียว ลองใคร่ครวญถึงนัยเร้นลับบางอย่างจากตำแหน่งการกระจายตัวของหมู่ดาวในนภาดารา แต่ล้วนจบลงด้วยความล้มเหลว
‘ไม่แปลกที่หลายปีมานี้ไม่มีใครมองทะลุนัยเร้นรับในนั้นได้ นี่ยากเกินไปจริงๆ…’
หลินสวินถอนใจยาวเฮือกหนึ่งอย่างอดไม่ได้
เขาเก็บจิตรับรู้ไปโดยไม่ลังเล นอนแผ่บนพื้นสีดำนั่น ศีรษะหนุนแขนทั้งสอง จ้องมองแผ่นฟ้ากว้าง ไม่คิดและไม่ทำอะไร ชื่นชมนภาดาราลึกลับแถบนี้เพียงอย่างเดียว
หมื่นดาราแต้มแต่งอยู่ภายใน หยุดนิ่งไม่ขยับ ราวกับภาพวาดเงียบสงบล้ำลึก
ไม่ไปสัมผัส ก็ไม่อาจรู้สึกถึงกลิ่นอายมหามรรคที่วนเวียนรอบดาวแต่ละดวงนั้น ทั้งไม่อาจล่วงรู้ถึงนัยเร้นลับของระบบการฝึกปราณมากมายที่ต่างกันโดยสิ้นเชิงนั้นด้วย
แต่นานเข้า…
เมื่อจ้องมองดาวมากมายนั้น ในหัวหลินสวินปรากฏลายเทพลึกลับหนึ่งขึ้นมาอย่างน่าประหลาด นั่นคือ ‘ลายเทพไร้ขอบเขต’ ที่ควบรวมจากลายเทพเก้าแห่ง
ราวกับฟ้าดาราวิวัฒน์ไปอย่างต่อเนื่อง อักขระโคจรหมุนวนไม่หยุด เผยให้เห็นนัยเร้นลับอัศจรรย์ไร้สิ้นสุด…
ลายเทพไร้ขอบเขตมาจากตำราเทพไร้ขอบเขต ส่วนตำราเทพไร้ขอบเขตก็เป็นมรดกชั้นสูงของสำนักที่ท่านลู่อยู่
แต่ปัจจุบันนัยเร้นลับมรดกนี้กลับปรากฏขึ้นในสมองโดยไม่ได้ตั้งใจ ราวกับแสงวิเศษวาบไหว ทั้งวาบผ่านสมองหลินสวินเหมือนสายฟ้าแลบสายหนึ่ง ทำให้เขาใจสะท้าน
หรือว่า…
……………………