Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2840 รับศิษย์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2840 รับศิษย์
ตอนที่ 2840 รับศิษย์
“ตัดสินใจเป็นเอกฉันท์หรือ”
หลินสวินอึ้ง
เสวียนเฟยหลิงยิ้มพูด “ใช่ รวมถึงพวกรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น ล้วนเห็นด้วยกับการส่งเจ้าไปร่วมศึกมรรคอมตะ”
“ดูท่าการไปหอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดครั้งนี้ของข้า คงเผชิญหน้ากับอันตรายอย่างยากจะเลี่ยงแน่”
หลินสวินคล้ายขบคิด
เสวียนเฟยหลิงหัวเราะฮ่าๆ “ต่อให้ตัดอันตรายของแดนมารสิบทิศไปไม่พูดถึง เจ้าคิดว่าอันตรายอื่นๆ มาจากไหน”
คำตอบของหลินสวินง่ายมาก
ขุมอำนาจสองหอบรรพจารย์อย่างลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน จะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างหาเรื่องอย่างแน่นอน
ลำดับต่อมาก็คนใหญ่คนโตอย่างพวกฝูเหวินหลี ฉีเซียวอวิ๋น ย่อมไม่มีทางไม่เคลื่อนไหว
ฟังจบเสวียนเฟยหลิงกล่าว “เจ้านับตกไปหนึ่งคน”
“หยวนฉางเทียนหรือ”
“ไม่ผิด บุตรเทพเผ่าเทพตระกูลหยวนคนนี้ ครั้งนี้จะไปร่วมศึกมรรคอมตะพร้อมกับเจ้า”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “ดูจากภายนอก หยวนฉางเทียนไม่มีทางทำร้ายเจ้า แต่ใจคนยากคาดเดา เจ้ายังต้องระวังให้มาก”
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ แล้วถามว่า “นอกจากข้ากับหยวนฉางเทียน คนที่เข้าร่วมศึกถกมรรคอมตะยังมีใครอีกหรือขอรับ”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “ผู้อาวุโสหอแรกนภาเฉาเป่ยโต้ว ผู้อาวุโสหอแรกพิสุทธิ์หลีเจิน ผู้นำยอดเขาที่สองอวิ๋นเทียนหมิง”
หลินสวินหรี่ตาเล็กน้อย
เฉาเป่ยโต้ว มรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ ภักดีกับรองหัวหน้าหอฝูเหวินหลีมาโดยตลอด
ตอนหลินสวินเพิ่งเข้าลัทธิแรกกำเนิดไม่นาน เฉาเป่ยโต้วก็เผยความเป็นอริออกมาหลายครั้ง
ส่วนอวิ๋นเทียนหมิงก็คือผู้อาวุโสในตระกูลของอวิ๋นมู่เจอ ขั้นดับเทพสัมบูรณ์ อำนาจยิ่งใหญ่
หลินสวินกล้ามั่นใจว่าคนที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะครั้งนี้ เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิงจะต้องทำตามความต้องการของหยวนฉางเทียนเป็นหลักอย่างแน่นอน
“คิดว่าเจ้าก็มองออกเช่นกัน ว่าคนที่ร่วมเดินทางในครั้งนี้มีเพียงเจ้าที่เป็นขั้นดับเทพขั้นต้น คนอื่นๆ ล้วนมีมรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์”
เสวียนเฟยหลิงกล่าว “และหากไม่ผิดจากที่คาด ผู้เข้าร่วมการต่อสู้ที่สามหอบรรพจารย์อย่างลัทธิพ่อมด ลัทธิฌาน ลัทธิวิญญาณส่งมา ล้วนมีมรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์”
สายตาของเขามองไปยังหลินสวิน “เป็นอย่างไร กดดันมากหรือไม่”
หลินสวินยิ้มพูด “มีแรงกดดันถึงยิ่งน่าสนใจ ไม่เช่นนั้นการเดินทางครั้งนี้ก็น่าเบื่อเกินไป”
เสวียนเฟยหลิงชูนิ้วโป้งชื่นชม “ทั้งบนล่างของลัทธิแรกกำเนิด หากพูดถึงความมุ่งมั่นและความกล้า เจ้าหลินเต้ายวนยากจะหาใครเทียบได้”
หลินสวินยิ้มขื่นระลอกหนึ่ง “ผู้อาวุโส ระหว่างพวกเราไม่จำเป็นต้องพูดจาเกรงใจเช่นนี้แล้ว”
เสวียนเฟยหลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “นี่เป็นความเกรงใจเสียที่ไหน หากเปลี่ยนคนอื่นเป็นเจ้าเกรงว่าคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ กระสับกระส่ายไปนานแล้ว“
เขาหยุดไปครู่หนึ่ง สีหน้าเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เอ่ยว่า “การไปแดนมารสิบทิศครั้งนี้ เจ้าสามารถเคลื่อนไหวพร้อมกับผู้อาวุโสหลีเจินได้ นอกจากนี้ครั้งนี้มีฟางเต้าผิง หยวนซีหลิวเดินทางไปกับพวกเจ้าด้วย มีพวกเขาดูแล ระหว่างทางย่อมไม่มีทางเกิดอันตรายอะไรแน่”
หลินสวินพยักหน้า
จากนั้นเสวียนเฟยหลิงยังกำชับอีกหลายเรื่อง
หลินสวินถึงเพิ่งรู้ตอนนี้ ว่าอีกสามเดือนให้หลังผู้แข็งแกร่งลัทธิแรกกำเนิดที่เข้าร่วมศึกมรรคอมตะอย่างพวกเขาก็จะออกเดินทาง มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมดตั้งอยู่
“ผู้อาวุโส ข้ามีเรื่องหนึ่งจะขอความช่วยเหลือ”
ก่อนจากไปหลินสวินประสานหมัดกล่าว
“เรื่องอะไรหรือ”
เสวียนเฟยหลิงประหลาดใจ
หลินสวินเล่าเรื่องที่คิดจะรับซย่าจื้อเป็นศิษย์ออกมาทันที
“เรื่องเล็ก”
เสวียนเฟยหลิงพูด “ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ดูแลหอแรกนภาแล้ว มีคุณสมบัติรับศิษย์คนหนึ่งอยู่แล้ว เจ้าไปหาฟางเต้าผิงที่หอแรกพิสุทธิ์ เขาจะช่วยเจ้าจัดการเรื่องนี้”
หลินสวินโล่งอกทันที
ขอเพียงจัดการเรื่องนี้ได้ ต่อไปก็ไม่จำเป็นต้องซ่อนซย่าจื้อไว้ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งอีกต่อไปแล้ว
……
วันนี้ข่าวที่หลินสวินครบกำหนดกักบริเวณกระจายไปทั่วทั้งลัทธิแรกกำเนิดแล้ว
: ช้าหน่อยขออภัยคะ
อีกทั้งข่าวว่าหลินสวินจะเข้าร่วมศึกมรรคอมตะก็เผยแพร่ออกไปนานแล้วเช่นกัน ผู้คนต่างอดวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้
“ในบรรดาผู้เข้าร่วมการต่อสู้ห้าคน มีเพียงผู้ดูแลหลินที่มีมรรควิถีขั้นดับเทพขั้นต้น เช่นนี้ไปแดนมารสิบทิศเกรงว่าจะเสียเปรียบ”
“เลิกเดาเถอะ ปีศาจเย้ยฟ้าอย่างผู้ดูแลหลิน จะใช้หลักเหตุผลทั่วไปมาวัดได้อย่างไร”
“อย่าลืมว่าจงหลีเจ๋อที่ครอบครองมรรควิถีขั้นดับเทพสัมบูรณ์ยังถูกผู้ดูแลหลินตัดมรรควิถีทั้งหมด กลายเป็นคนไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงไปแล้ว!”
“ศึกมรรคอมตะครั้งนี้เกี่ยวข้องกับอันดับของสำนักพวกเราในสี่หอบรรพจารย์ จากที่ข้าดู การส่งผู้ดูแลหลินไปแม้จะเสี่ยงอยู่บ้าง แต่ก็สามารถมองเป็นอาวุธมหัศจรรย์ได้ ไม่แน่ว่าอาจสามารถนำพาเรื่องน่ายินดีมาให้สำนักเราได้”
และระหว่างที่ผู้คนวิพากษ์วิจารณ์ ข่าวใหญ่อีกข่าวก็กระจายออกมา…
“ผู้ดูแลหลินรับศิษย์แล้ว!”
“เป็นใครกัน”
“ผู้หญิงคนหนึ่งนามว่าซย่าจื้อ ได้รับการยอมรับจากหอแรกพิสุทธิ์และได้รับป้ายคำสั่งของศิษย์แล้ว!”
“ซย่าจื้อหรือ แม่นางคนนี้มีที่มาอย่างไร”
“นี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน”
……
หน้าถ้ำสถิตของหลินสวินวันนี้ก็คึกคักหาใดเปรียบ
“ผู้ดูแลหลิน ได้ยินว่าท่านรับศิษย์แล้ว ผู้นำยอดเขาของข้าให้มามอบของขวัญ ท่านโปรดรับไว้ด้วย”
คนใหญ่คนโตมากมายต่างส่งศิษย์มามอบของขวัญ
ของขวัญเหล่านี้ส่วนใหญ่ล้วนเกี่ยวข้องกับการฝึกปราณ มีพวกเจตวัตถุ สมบัติเป็นต้น มูลค่าล้วนไม่ธรรมดา
นี่ทำให้หลินสวินยังอดประหลาดใจมากไม่ได้
และพร้อมกันนั้นในที่สุดทุกคนก็ได้เห็นรูปลักษณ์ของซย่าจื้อ ศิษย์หญิงที่หลินสวินรับมาแล้ว
เป็นแม่นางที่หน้าตาสะสวยน่ารัก ดูราวกับเด็กสาวคนหนึ่ง สวมชุดกระโปรงสีดำ ผิวขาวเป็นประกาย ยืนนิ่งๆ อยู่อย่างนั้น งดงามชวนมอง
แน่นอนว่านี่เป็นเพราะหลินสวินตั้งใจให้ซย่าจื้อเปลี่ยนแปลงรูปโฉมแท้จริงไปมาก หากเปิดเผยรูปโฉมที่แท้จริงของนาง เกรงว่าจะชักนำคลื่นลมมามากมาย
ถึงอย่างไรบางครั้งความงามเกินไปก็มักจะกลายเป็นภัยร้ายได้
จนกระทั่งกลางดึก ถ้ำสถิตของหลินสวินถึงเงียบสงบลง
“ต่อไปเจ้าก็สามารถเข้าออกในลัทธิแรกกำเนิดได้อย่างเปิดเผยแล้ว”
หลินสวินเตรียมอาหารให้ซย่าจื้อไปพลางยิ้มกล่าว
“ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนี้”
ซย่าจื้อนั่งอยู่ตรงนั้น กินอาหารที่หลินสวินเตรียม เสียงกระจ่างราวกับน้ำพุอย่างไรอย่างนั้น ไพเราะดุจเสียงสวรรค์
นางในตอนนี้แม้รูปลักษณ์จะเปลี่ยนไป แต่ดวงตาโตและกระจ่างใสยังคงงดงามอย่างที่สุดดังเดิม
“ข้ารู้”
หลินสวินยื่นน่องสัตว์ที่ย่างจนเหลืองทองมันเยิ้มไปให้ “แต่ข้าไม่อยากให้เจ้าอุดอู้อยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งทุกวัน”
ซย่าจื้อขานรับว่าอืมแล้วเอ่ยว่า “หลินสวิน ลูกของพี่จิ่งเซวียนอายุเท่าไหร่แล้ว”
หลินสวินอึ้งไป แววตาเลื่อนลอยขึ้นมา “ตั้งแต่ข้าออกจากโลกชั้นล่าง จนถึงตอนนี้ผ่านไปหลายสิบปีแล้ว ฝานเอ๋อร์เขาคงเติบโตขึ้นนานแล้ว…”
เขาเกิดความรู้สึกละอายใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ
นึกถึงตอนที่เจอบิดาหลินเหวินจิ้งที่แดนผนึกเรืองแสง อีกฝ่ายก็เคยรู้สึกผิดเพราะเรื่องนี้อยู่นาน
และก็เป็นตอนนี้ที่หลินสวินสัมผัสถึงความรู้สึกของบิดาแล้ว
“หลินสวิน ข้าก็อยากมีลูกให้เจ้าเช่นกัน”
ซย่าจื้อเงยหน้าขึ้น มองหลินสวินด้วยแววตาจริงจัง
หลินสวินถูกจ้องเช่นนี้ก็พลันทำตัวไม่ถูกไปชั่วขณะ อักอ่วนอยู่บ้าง กระแอไอกล่าว “ซย่าจื้อ เรื่องนี้ไม่รีบ รอภายหน้าข้าแต่งเจ้าเข้าบ้าน อื้ม… ถึงตอนนั้นก็ทำได้แล้ว”
คิ้วงามได้รูปของซย่าจื้อขมวดขึ้นมา “แต่งเข้าบ้านคืออะไร”
“ก็คือแต่งงาน”
“แต่งงานคืออะไร”
“เอ้อ…” หลินสวินปวดหัวขึ้นมาระลอกหนึ่ง “แต่งงานก็คือ ต่อไปพวกเราจะอยู่ด้วยกันตลอดชีวิต ไม่แยกจากกัน ร่วมเป็นร่วมตาย…”
ไม่รอพูดจบซย่าจื้อก็เอ่ยตัดบท “ตอนนี้เราก็ไม่ใช่อยู่ด้วยกันหรือ”
หลินสวินมุมปากกระตุกคราหนึ่ง เอ่ยว่า “นี่ไม่เหมือนกัน พวกเราแต่งงานกันแล้วก็จะเป็นสามีภรรยา มีฐานะเช่นนี้ ญาติมิตรเหล่านั้นก็จะรู้ว่าพวกเราคือครอบครัวเดียวกันแล้ว”
“ตอนนี้ไม่ได้หรือ” ซย่าจื้อสงสัย
หลินสวินเอ่ย “อย่างน้อยเรื่องของพวกเราก็ควรให้พ่อแม่ข้าและจิ่งเซวียนรับรู้ ได้รับความเห็นชอบจากพวกเขา”
ซย่าจื้อพยายามใคร่ครวญครู่หนึ่ง จากนั้นถอนใจเอ่ยเบาๆ “ยุ่งยากจริงๆ เช่นนั้นข้าไม่มีลูกแล้วดีกว่า เช่นนี้ก็ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนี้แล้ว”
พูดจบนางก็เก็บสายตาไป เริ่มกินอาหารอย่างจดจ่อ
หลินสวิน “…”
เขายังจะพูดอะไรได้
‘ต้องหาเวลาหาคนที่เหมาะสมมาอธิบายเรื่องพวกนี้กับซย่าจื้อสักหน่อยแล้ว’
หลินสวินลอบตัดสินใจ
ในช่วงเวลาหลังจากนั้น หลินสวินแทบจะอยู่กับซย่าจื้อทุกเวลา พานางเดินเล่นในแดนแรกเริ่ม เตรียมของกินอร่อยๆ ให้นางทุกวัน ใช้ชีวิตอย่างสบายใจและเต็มที่อย่างยิ่ง
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่ทันไรก็ผ่านไปสองเดือนแล้ว
ห่างจากกำหนดเดินทางไปเข้าร่วมศึกมรรคอมตะเพียงหนึ่งวัน
คืนนี้หลินสวินเจรจากับซย่าจื้ออยู่นาน หมายให้นางอยู่ที่ลัทธิแรกกำเนิด แต่ไม่ว่าเขาจะเกลี้ยกล่อมและอธิบายอย่างไรล้วนถูกซย่าจื้อปฏิเสธ
สุดท้ายซย่าจื้ออดโกรธไม่ได้ เอ่ยว่า “หลินสวิน เจ้าคิดจะไล่ข้าไปหรือ”
ประโยคเดียวทำให้หลินสวินเงียบไปทันที
“หรือพูดอีกอย่าง ว่าเจ้ารู้สึกว่าข้าในตอนนี้เป็นตัวถ่วงหรือ”
ซย่าจื้อโกรธมาก ดวงหน้าเล็กงดงามราบเรียบมาก แต่ดวงตากระจ่างที่จ้องมองหลินสวินทำให้เขารู้สึกอึดอัดไปทั้งตัว
หลินสวินยิ้มขื่น เอ่ยว่า “ข้าเพียงแค่ไม่อยากให้เจ้าวิตกกังวลไปกับข้า”
“หากเกิดอะไรขึ้นกับเจ้า เจ้าคิดว่าข้ายังอยากอยู่หรือ”
ซย่าจื้อถาม
หลินสวินนวดขมับ เอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไปด้วยกัน”
ซย่าจื้อเผยรอยยิ้มงดงามทันที “อื้ม!”
หลินสวินเห็นรอยยิ้มเบิกบานนั้นของนางแล้วก็ได้รับผลกระทบไปด้วยอย่างอดไม่ได้ พลันยิ้มออกมาเช่นกัน
เช้าวันถัดมา
บนลานกว้างหน้าเรือนมรรคกลางของแดนแรกเริ่ม
ยามหลินสวินมาถึง หยวนฉางเทียน เฉาเป่ยโต้ว อวิ๋นเทียนหมิง หลีเจินมากันครบแล้ว
“พี่หลิน ช่วงนี้เจ้าดูเหมือนอารมณ์ดีไม่เลว”
หยวนฉางเทียนทักทายพร้อมรอยยิ้ม
“ดีอยู่” หลินสวินเองก็ตอบกลับพร้อมรอยยิ้มเช่นกัน
“ผู้ดูแลหลินรับศิษย์หญิงที่งดงามยิ่งคนหนึ่ง ช่วงนี้เดินเที่ยวชมนกชมไม้ทุกวัน คนไม่รู้ยังนึกว่าผู้ดูแลหลินกับศิษย์หญิงคนนั้นเป็นคู่บำเพ็ญ แน่นอนว่าในโลกฝึกปราณของพวกเรา ระหว่างศิษย์อาจารย์กลายเป็นคู่บำเพ็ญก็มีถมไป ไม่ถึงกับผิดแผกอะไร”
ไม่ไกลนักเฉาเป่ยโต้วเอ่ยเรียบๆ
หลินสวินเลิกคิ้วมองเฉาเป่ยโต้วคราหนึ่งแล้วกล่าวว่า “ผู้อาวุโสเฉาคล้ายจะไม่พอใจข้าคนแซ่หลินกับศิษย์อยู่บ้างกระมัง”
“เหอะๆ มิกล้า”
เฉาเป่ยโต้วแสร้งยิ้ม
อวิ๋นเทียนหมิงที่อยู่ข้างๆ เอ่ยด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ผู้ดูแลหลิน ครั้งนี้พวกเราไปร่วมศึกมรรคอมตะที่หอบรรพจารย์ลัทธิพ่อมด เป็นตัวแทนของสำนัก ข้าคนแซ่อวิ๋นหวังว่าผู้ดูแลหลินจะทำอะไรอย่างรู้ขอบเขตสักหน่อย อย่าได้ก่อเรื่องมากมายเหมือนก่อนหน้านี้อีก”
เขาเว้นระยะไปแล้วกล่าวต่ออีกว่า “ในสำนัก เจ้าจะก่อคลื่นลมอะไรก็ไม่มีคนถือสามากขนาดนั้น แต่ถ้าก่อเรื่องนอกสำนักจนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของสำนักเรา นั่นย่อมเป็นคนบาปของสำนัก!”
หลินสวินหัวเราะเหอะๆ ออกมา “ผู้นำยอดเขาอวิ๋น ข้าคนแซ่หลินจะทำอะไร คล้ายจะไม่ต้องให้ท่านชี้นิ้วสั่ง”
——