Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2871 กวาดล้างอุปสรรคให้สิ้นซาก
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2871 กวาดล้างอุปสรรคให้สิ้นซาก
ตอนที่ 2871 กวาดล้างอุปสรรคให้สิ้นซาก
“พลังระเบียบที่สมบูรณ์เก้าชนิด กลิ่นอายเรียกหากัน ส่งสริมประกายกันและกัน เป็นของดีจริงๆ”
ในดวงตาหลินสวินปรากฏแววตะลึง
กระทั่งเขายังต้องยอมรับว่าบุตรเทพพวกนี้จะมั่งคั่งเกินไปแล้วจริงๆ เอาสมบัติเทพที่แปลงมาจากระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าเก้าชนิดออกมาได้ตามใจ นี่ทำให้ยักษ์ใหญ่อมตะน่านฟ้าที่แปดพวกนั้นก้มหน้าด้วยความละอายได้เลย!
ขณะพูดเขาก็สะบัดแขนเสื้อ
ตูม!
กฎเกณฑ์อมตะพร่าเลือนลุ่มลึก คลุมเครือดุจหุบเหวเคลื่อนที่ หมายจะกำราบกระบี่บินทั้งเก้าเล่มนี้ให้หมด
“เปิด!”
เมื่อความคิดชางฝูเฟิงขยับไหว กระบี่บินเก้าเล่มก็รวมเป็นหนึ่งเดียวอย่างรวดเร็ว กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีสันลายพร้อยเล่มหนึ่ง สลัดการกดข่มจากพลังของหลินสวินได้ทันที เข้าฟาดฟันหลินสวินอย่างกราดเกรี้ยว
“บนวิถีอมตะ สำหรับข้าแล้ว ผู้กล้า บุตรเทพ อัจฉริยะที่ว่านั่นล้วนต้องหม่นหมองไร้ราศี”
“ถ้าข้าต้องการ ไม่มีใครเป็นศัตรูกับข้าได้!”
หลินสวินเดินไพล่หลังมาบนอากาศ
ทั้งตัวเขาอยู่ในแสงมรรคหุบเหวอันคลุมเครือ ประหนึ่งหมื่นวิชามิอาจรุกราน
ไม่ว่าชางฝูเฟิงจะสำแดงวิชาใด ฟันพลังมรรคกระบี่อันน่ากลัวยิ่งยวดออกมา ปราณกระบี่เต็มฟ้าดินเจิดจรัส แต่เมื่อมาถึงร่างหลินสวินก็ถูกกฎเกณฑ์อมตะรอบตัวหลินสวินบดขยี้ทำลายล้างทั้งสิ้น
นี่ทำให้ชางฝูเฟิงไม่อาจเยือกเย็นได้
ตัวเขาก่อนหน้านี้ยังโอหังเชื่อมั่น หยิ่งผยองดุจจอมราชัน แต่ตอนนี้สีหน้ากลับเคร่งเครียดหาใดเทียบ ในดวงตามีแต่ความฉงน
จนท้ายที่สุดหลินสวินเหยียบลงไปเบาๆ คราหนึ่ง
ห้วงอากาศในรัศมีหมื่นจั้งพลันควบแข็งเหมือนกระดานเหล็ก กระบี่ยักษ์ที่ฟันมาแข็งทื่ออยู่เช่นนั้น
จากนั้นก็เห็นว่าหลินสวินยื่นมือไปคว้า
กระบี่ยักษ์ที่อยู่ไกลลิบบินมาหาหลินสวินอย่างไม่อาจควบคุมได้ เมื่อตกลงบนมือเขา ไม่ว่าจะดิ้นรนเท่าไรก็เปลืองแรงเปล่า ทำได้เพียงส่งเสียงโหยหวนดังลั่น
พรูด!
ด้วยถูกพลังสะท้อนกลับ ชางฝูเฟิงที่อยู่ไกลออกไปกระอักเลือด สีหน้าซีดขาว สมบัติถูกชิงไป ทำให้ใจเขาเหมือนถูกมีดกรีด ใกล้จะคลุ้มคลั่งแล้ว
“ฆ่า!”
เขากระโจนออกมา ในมือมียันต์โบราณเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้น เขวี้ยงออกไปแรงๆ
ตูม!
ยันต์โบราณระเบิดออกกลายเป็นเพลิงเทพอาละวาดที่งดงามสะดุดตา ถาโถมลงมาหาหลินสวินอย่างทรงพลัง นั่นเป็นพลังที่เหนือกว่าขั้นดับเทพ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นไพ่ตายอย่างหนึ่งของชางฝูเฟิง
หลินสวินตบที่เอวเบาๆ “เสี่ยวชิง”
น้ำเต้าเขียวทะยานสูงขึ้น กระบี่เทพสีม่วงเล่มหนึ่งโฉบออกมา พาดขวางห้วงอากาศ ชั่วพริบตานั้นก็เคลื่อนตัวไปเหมือนพื้นใดนี้ไร้ขอบเขต
ตูม!
เพลิงเทพอาละวาดเต็มฟ้าพลันถูกหนึ่งกระบี่แหวกออก แหลกสลายหายลับไป
นัยน์ตาชางฝูเฟิงหดรัด ไฟโทสะเต็มอกคล้ายถูกดับลงด้วยการโจมตีนี้ ทำให้ตัวเขาใจเย็นลง
เขาไม่ไปฝืนปะทะอีก หมุนตัวหมายจะหนีไป
ทว่าหลินสวินที่เตรียมป้องกันการหลบหนีของเขาอยู่ก่อนแล้วก็ลงมือในยามนี้
ตูม!
กลางฟ้าดินละอองแสงกาลเวลาสาดพรม ดุจดั่งตาข่ายถักทอแน่นขนัด กลายเป็นพลังผนึกที่ปกคลุมภูผาธารานับพันจั้ง ครอบชางฝูเฟิงไว้ในนั้น
ประทับผนึกเวลา!
ก่อนหน้านี้หลินสวินใช้อภินิหารหยุดเวลานี้ต้านทานและป้องกันการโจมตีจากศัตรู
แต่ตอนนี้ถูกเขาเอามาใช้ขังศัตรู
ทันใดนั้นชางฝูเฟิงร้อนใจไปหมด ในมือเรียกไพ่ตายรักษาชีวิตชิ้นแล้วชิ้นเล่าออกมา โจมตีประทับผนึกเวลาเหมือนไม่เสียดาย
แต่ล้วนล้มเหลวไปโดยไม่มีข้อยกเว้น
พลังเช่นนั้นอย่าว่าแต่ขั้นดับเทพอย่างเขา ต่อให้เป็นขั้นหลุดพ้นยังทำลายได้ยาก
มองจากไกลๆ ชางฝูเฟิงก็เหมือนแมลงวันบินสะเปะสะปะ ทำเอาจิ่งจงเยวี่ยยังตาเบิกกว้าง
หลินสวินก็มองดูอยู่เงียบๆ ในใจเสียดายอยู่บ้าง พลังประทับผนึกเวลาเย้ยฟ้าหาใดเทียบจริงๆ แต่กลับไม่มีพลังโจมตี หาไม่แล้วต้องเผยอานุภาพเหนือจินตนาการในการต่อสู้แน่ๆ
ผ่านไปสักพักชางฝูเฟิงผมเผ้ากระเซอะกระเซิง หอบหายใจหนัก เขาหยุดการเคลื่อนไหวในมือ ตระหนักได้แล้วว่าผนึกเวลาเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่เขาจะสลายได้ ความรู้สึกพ่ายแพ้ที่ไม่อาจบรรยายได้ปรากฏขึ้น
“จะฆ่าจะแกงก็เข้ามาเลย”
เขาเงยหน้าโดยพลัน แววตาดุจสัตว์ป่าจ้องหลินสวินที่อยู่ไกลออกไปอย่างเย็นชา
ขณะนี่เขาไม่ปิดบังความแค้นและเดือดดาลในใจอีกแล้ว
“วางใจได้ ตอนนี้เจ้าจะยังไม่ตาย”
ขณะพูดหลินสวินก็ก้าวเข้าไปในประทับผนึกเวลา
ตูม!
เห็นดังนี้ชางฝูเฟิงก็โจมตีใส่หลินสวินอีกครั้งเหมือนจะฉวยโอกาสพลิกสถานการณ์
หลินสวินกดนิ้วออกไปนิ้วหนึ่ง
นิ้วนี้ทะลวงผ่านห้วงอากาศ เหนือล้ำโลกา แทบจะทันทีที่ชูนิ้วขึ้นมาก็มาอยู่ตรงหน้าผากชางฝูเฟิงแล้ว ฝ่ายหลังเหมือนถูกสายฟ้าฟาด ร่างระเบิดกลายเป็นหมอกเลือดสลายไปกลางฟ้าดิน
เรียบง่ายเบาสบาย ไม่เจือกลิ่นอายใดๆ ประหนึ่งยื่นมือไปล้วงของ
ส่วนพลังจิตชางฝูเฟิงก็ถูกหลินสวินจับไว้แล้วยัดเข้าไปในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง
เสียงตบมือดังอยู่ไกลๆ จิ่งจงเยวี่ยเอ่ยชมว่า “ศิษย์น้อง เจ้าทำให้ข้าได้เปิดหูเปิดตาจริงๆ มิน่าศิษย์พี่สามถึงเคยพูดว่า คนที่อาจารย์ตั้งตารอมาหมื่นกาลจะต้องเป็นคนที่ช่วยให้คีรีดวงกมลของพวกเราเย้ยจักรวาลได้ เห็นเช่นนี้แล้วเป็นเรื่องจริงเสียด้วย”
หลินสวินอึ้งไป ยิ้มเจื่อนเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องอย่ามายอกันเองเลย”
จิ่งจงเยวี่ยหัวเราะร่า
ด้านหลินสวินเริ่มเก็บทรัพย์หลังศึก
พลังระเบียบระดับปฐพีสองพันหนึ่งร้อยสาย ระเบียบระดับสวรรค์เจ็ดสิบเจ็ดสาย
ในนี้ไม่มีทั้งระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าและโอสถเทพนิรันดร์ แต่กลับมีเศษเสี้ยวระเบียบระดับเทพอยู่สิบเอ็ดชิ้น
นอกจากนี้ชางฝูเฟิงก็ไม่มีสมบัติอื่นอยู่กับตัวอีก
แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาอัตคัด แต่เป็นเพราะกระบี่บินระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้าเก้าเล่มนั้นถูกหลินสวินเก็บไปแล้ว ส่วนพวกของรักษาชีพพวกนั้นก็ผลาญไปในประทับผนึกเวลาหมดแล้ว
เทียบกันแล้วความั่งคั่งของชางฝูเฟิงก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเหวินเฉียวสุ่ย
เมื่อจัดการทุกอย่างนี้เสร็จ หลินสวินจึงเดินไปหาจิ่งจงเยวี่ยแล้วเอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ทำไมท่านต้องขวางไม่ให้เจ้าหมอนี่ทะลวงขั้นด้วย”
เขาสงสัยนัก
ว่ากันตามเหตุผล ด้วยรากฐานของจิ่งจงเยวี่ยก็สามารถทะลวงขั้นในแดนมารสวรรค์แห่งนี้แล้ว แต่เขากลับไม่ได้ทำแบบนี้ กลับจะไปทำลายการแจ้งมรรคทะลวงขั้นของชางฝูเฟิงโดยไม่สนใจสิ่งอื่น
นี่ก็ออกจะประหลาดแล้ว
จิ่งจงเยวี่ยยิ้มเอ่ย “ถ้ารอพวกเขาทะลวงขั้นเกรงว่าจะไม่เป็นผลดีกับศิษย์น้อง ต่อให้ไปชิงศุภโชคชิ้นใหญ่ที่สุดนั่นก็ไม่เป็นผลดีกับพวกเรา ดังนั้นข้าก็เลยมา”
หลินสวินใจสะท้าน ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว พลันอบอุ่นไปทั่วร่าง เห็นชัดว่าจิ่งจงเยวี่ยก็ตระหนักได้ว่าถ้าศัตรูอย่างเหวินเฉียวสุ่ย ชางฝูเฟิงทะลวงขั้น จะกลายเป็นภัยคุกคามตน ถึงได้เลือกทำเช่นนี้
พูดอีกอย่างก็คือ ศิษย์พี่กำลังช่วยเขายับยั้งหายนะ!
หลินสวินนั่งสมาธิ เอาสมบัติอย่างระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้า โอสถเทพนิรันดร์ เศษเสี้ยวระเบียบระดับเทพออกมา เอ่ยว่า “ศิษย์พี่ ท่านลองดูว่ามีชิ้นไหนมีประโยชน์กับการทะลวงขั้นของท่าน เอาไปได้เลย ถึงอย่างไรตอนนี้ข้าก็ใช้ไม่ได้”
จิ่งจงเยวี่ยอึ้งไป ยิ้มเอ่ยว่า “ของพวกนี้เจ้าเก็บไว้เถอะ ข้าก็ใช้สมบัติพวกนี้ไม่ได้”
แต่หลินสวินไม่สนใจ ยังคงเอาระเบียบระดับสวรรค์ขั้นเก้า โอสถเทพนิรันดร์ต้นหนึ่ง รวมถึงเศษเสี้ยวระเบียบระดับเทพสิบชิ้นยัดใส่มือจิ่งจงเยวี่ย
สำหรับคนของตัวเองแล้ว หลินสวินไม่เคยงกสมบัติใดๆ
แม้จิ่งจงเยวี่ยจะหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก แต่ในใจก็ซาบซึ้งไม่หยุด
เขารู้สึกได้ถึงไมตรีที่หลินสวินมีให้กับศิษย์ร่วมสำนัก
กระทั่งหนึ่งวันผ่านไปหลินสวินจึงแยกกับจิ่งจงเยวี่ย จิ่งจงเยวี่ยจะไปรวมตัวกับพวกจี้ซานไห่ ส่วนหลินสวินไปรวมตัวกับหลีเจิน
บุตรเทพทั้งสองอย่างเหวินเฉียวสุ่ยกับชางฝูเฟิงถูกกำราบแล้ว ในแดนมารสวรรค์ตอนนี้ก็เหลือแค่หยวนฉางเทียนคนเดียวที่มีศักยภาพเป็นคู่แข่งได้
แต่หลินสวินเชื่อว่าถ้าอีกฝ่ายรู้ว่าเหวินเฉียวสุ่ยกับชางฝูเฟิงพบเจออะไร ย่อมไม่กล้าแตกหักมาสู้กับตนแน่
……
“ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว”
พอเห็นเงาร่างหลินสวินเข้ามาจากไกลๆ หลีเจินที่ฝึกปราณในประทับผนึกเวลาก็ลอบถอนใจโล่งอก
ในช่วงสามวันที่หลินสวินจากไปนี้ เขาอกสั่นขวัญแขวนอยู่ไม่น้อย
“ผู้อาวุโส ตั้งแต่วันนี้ไปในแดนมารสวรรค์แห่งนี้จะไม่มีภัยคุกคามให้พูดถึงแล้ว”
จากนั้นหลินสวินก็เล่าเรื่องที่กำราบเหวินเฉียวสุ่ยกับชางฝูเฟิงทั้งหมด
หลังจากได้รู้เรื่องพวกนี้หลีเจินยังอึ้งงันอย่างอดไม่ได้ สักพักถึงเอ่ยด้วยสีหน้าพิกลว่า “ถ้าเปลี่ยนข้าเป็นพวกเฒ่าชราที่รอคอยอยู่ที่โลกภายนอกมาตลอดพวกนั้น เกรงว่าจะต้องถูกเจ้าทำให้โมโหตายแน่”
คำนวณดูแล้ว ในสิบปีนี้ผู้เข้าร่วมศึกห้าสิบคนจากสิบยักษ์ใหญ่อมตะ ผู้เข้าร่วมศึกห้าคนจากลัทธิพ่อมด ผู้เข้าร่วมศึกห้าคนจากลัทธิฌานล้วนจบสิ้นทั้งขบวน
และทั้งหมดนี้แทบจะเป็นฝีมือหลินสวิน!
ส่วนลัทธิแรกกำเนิด คนทรยศอย่างเฉาเป่ยโต้วกับอวิ๋นเทียนหมิงก็ถูกหลินสวินฆ่าเองกับมือ เหลือแค่หยวนฉางเทียนคนเดียว ด้วยสถานการณ์ตอนนี้ย่อมไม่กล้าลงมือใดๆ
ถ้าทั้งหมดนี้ถูกเฒ่าชราที่อยู่ในโลกภายนอกรู้เข้าจะรับไหวได้อย่างไร
“ดังนั้นข้าต้องเตรียมพร้อมล่วงหน้า หาไม่แล้วข้าจะไว้ชีวิตเหวินเฉียวสุ่ยกับชางฝูเฟิงไปทำไม”
หลินสวินยิ้ม
หลีเจินเอ่ยเสียงขรึม “แบบนี้อาจจะข่มขู่ลัทธิพ่อมดกับลัทธิฌานได้ แต่ยากจะข่มขู่สิบยักษ์ใหญ่อมตะได้”
หลินสวินเอ่ย “พวกเราไม่รู้สถานการณ์ในโลกภายนอก ตอนนี้ยังไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ เรื่องสำคัญตรงหน้าคือทะลวงขั้น”
หลีเจินพยักหน้า สลัดความคิดฟุ้งซ่านแล้วเริ่มนั่งสมาธิฝึกปราณอีกครั้ง
ไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ คราวนี้สภาวะจิตหลีเจินไม่มีความกังวลและพะว้าพะวงอีกแล้ว ไม่นานนักตัวเขาก็ดำดิ่งลงไปในสภาวะลืมสิ้นตัวตน
หลินสวินก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ ทิ้งร่างแยกร่างหนึ่งไว้เฝ้ายาม แล้วเริ่มจดจ่อกับการนั่งสมาธิฝึกปราณ
คราวนี้เขาเริ่มหลอมเศษเสี้ยวระเบียบระดับเทพ!
ก่อนหน้านี้สมัยอยู่แดนมารปฐพี เขาตัดใจหลอมสมบัติเช่นนี้มาตลอด เป้าหมายก็เพื่อรอมาหลอมหลังจากถึงแดนมารสวรรค์ ลองดูว่าจะอาศัยโอกาสนี้แจ้งมรรคทะลวงขั้นได้หรือไม่
ถ้าได้ก็ดี
ถ้าไม่ได้ก็ไม่เป็นไร ถือเป็นการฝึกปราณครั้งหนึ่ง
หลินสวินไม่รีบร้อน เขาถึงกับไม่สนใจศุภโชคชิ้นใหญ่ที่สุดที่มีอยู่ในแดนมารสวรรค์แห่งนี้
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ครึ่งเดือนผ่านไป
ส่วนลึกของเทือกเขาอันเก่าแก่โบราณแห่งหนึ่งในเขตแดนตะวันตกเฉียงเหนือของแดนมารสวรรค์ เวิ้งฟ้าดุจน้ำหมึก เมฆาเคราะห์รวมตัว ราวกับตกอยู่ในราตรีนิรันดร์
จากนั้นอสนีเคราะห์ไร้เทียมทานมากมายก็ตกลงมาจากฟ้า กลบภูผาธาราจนมิด
มหาเคราะห์หายากที่ทำให้ขั้นดับเทพคนใดก็ตามล้วนหน้าเปลี่ยนสีคราวนี้ดำเนินไปอีกสามชั่วยามเต็มๆ ถึงสลายไปช้าๆ
และในบริเวณที่ฝ่าด่านเคราะห์ หยวนฉางเทียนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ผมเผ้ากระเซิง ทั้งร่างไหม้เกรียม รูปลักษณ์น่าอนาถยิ่ง
แต่เขากลับแหงนหน้าหัวเราะลั่น กระปรี้กระเปร่ามีชีวิตชีวา
เพราะเมื่อครู่นี้เขาไม่เพียงทะลวงขั้น แจ้งมรรคขั้นหลุดพ้น ยังสัมผัสได้ถึงจุดเปลี่ยนฟ้าดินอันเร้นลับ รับรู้ได้ว่าในแดนมารสวรรค์แห่งนี้มีพลังระเบียบระดับเทพที่แท้จริงซุกซ่อนอยู่!
ถ้าบอกว่าก่อนหน้านี้เป็นแค่การสันนิษฐาน พูดไปก็ไม่กล้าแน่ใจว่าแดนมารสวรรค์แห่งนี้จะมีมหาศุภโชคเช่นนี้ถือกำเนิดขึ้นหรือไม่กันแน่ เช่นนั้นตอนนี้หยวนฉางเทียนกล้ามั่นใจในที่สุด
ศุภโชคเช่นนี้ถือกำเนิดในศึกมรรคอมตะครั้งนี้จริงๆ แล้ว!
——