Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 2982 วอนขอ
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 2982 วอนขอ
ตอนที่ 2982 วอนขอ
กองเพลิงลุกโชน หลินสวินลงมือย่างเนื้อด้วยตัวเอง กลิ่นหอมที่ยั่วยวนคละคลุ้งในซากคีรีดวงกมลท่ามกลางท้องฟ้าสีรัตติกาล
ซย่าจื้อ จ้าวจิ่งเซวียน หลินฝานล้วนนั่งอยู่บนพื้น กินอย่างเพลิดเพลิน
หลินฝานมองซย่าจื้อเป็นระยะๆ เขารู้ฐานะของซย่าจื้อตั้งแต่เด็กแล้ว และรู้ว่าท่านน้าซย่าจื้อคนนี้อยู่เคียงข้างท่านพ่อมาตั้งแต่สมัยเป็นเด็กหนุ่ม ใกล้ชิดสนิทสนม
ไม่ถึงกับไม่เป็นมิตร เพียงแต่เขากลับไม่อาจไม่กังวลแทนมารดาอย่างจ้าวจิ่งเซวียน
ท่านน้าซย่าจื้อคนนี้ของเขาเป็นคนงามเลิศล้ำระดับไร้ที่ติในโลกอย่างแน่นอน ไม่ว่าผู้หญิงคนใดอยู่ต่อหน้านางก็ล้วนดูหมองหม่นลง
‘ท่านแม่ ท่านไม่กังวลหรือ’
หลินฝานอดสื่อจิตถามไม่ได้
จ้าวจิ่งเซวียนถลึงตาใส่เขาเงียบๆ แวบหนึ่ง ‘เรื่องของผู้ใหญ่เจ้ามีสิทธิ์ยุ่งหรือ จำไว้ อย่าสร้างปัญหาใด ไม่เช่นนั้นข้านี่แหละจะเป็นคนแรกที่ไม่ให้อภัยเจ้า’
หลินฝานไหวไหล่ ไม่พูดถึงเรื่องนี้อีกอย่างรู้กาลเทศะ
ในโลกฝึกปราณเรื่องสามภรรยาสี่อนุมีถมไป เฒ่าชรามากมายที่อายุมากแล้วยังแต่งอนุภรรยาไม่รู้เท่าไร เป็นเรื่องปกติมาก
อีกอย่างผู้ฝึกปราณใบหน้าดูอ่อนเยาว์อยู่เสมอ พลังกร้าวแกร่ง ไม่มีทางสนใจว่าอายุมากหรือน้อย
“ฝานเอ๋อร์”
ไม่นานหลินสวินก็นั่งลงเอ่ยว่า “วันนี้ตอนข้ากลับมา ได้จับผู้แข็งแกร่งเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ตรงทางเข้าออกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมดแล้ว ในนั้นหลายคนเป็นระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ หลังจากนี้เจ้าก็นำคนเหล่านี้มาเป็นคู่ต่อสู้ ฝึกฝนตนเอง”
หลินฝานอึ้งไปก่อนยิ้มพูด “ท่านพ่อ ในระดับเดียวกัน ไม่มีใครเป็นคู่ต่อสู้ของลูกแล้ว”
คำพูดสบายๆ แต่กลับดูมั่นใจและหยิ่งผยองอย่างที่สุด
และในสายตาของจ้าวจิ่งเซวียน น้ำเสียงและท่าทางที่หลินฝานพูดตอนนี้ เหมือนท่าทางการพูดของหลินสวินเมื่อก่อนไม่มีผิด ง่ายๆ สบายๆ
“หนึ่งต่อหนึ่งเจ้าอาจจะชนะ แต่หนึ่งต่อสิบเล่า” หลินสวินถาม
“หากใช้พลังทั้งหมดก็ไม่ใช่ปัญหานัก”
“ถ้าหนึ่งต่อร้อยล่ะ” หลินสวินถามอีกครั้ง
หลินฝานลังเลขึ้นมาทันที กล่าวว่า “เมื่อก่อนข้าไม่เคยเจอการต่อสู้ขนาดใหญ่เช่นนั้น แม้ไม่กล้าบอกว่าจะชนะ แต่คิดดูแล้วก็คงไม่แพ้ง่ายๆ”
จ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ข้างๆ ยิ้มพูด “ตอนที่พ่อเจ้าต่อสู้ในระดับเดียวกัน ไม่เคยมีใครสู้ได้ และจำนวนมากน้อยก็ไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับเขา”
หลินฝานเบิกตาโต มองไปยังหลินสวิน “ตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้หรือ”
เขารู้แล้วว่าตอนนี้บิดาตนเป็นระดับอมตะขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์แล้ว แข็งแกร่งอย่างที่สุด
หลินสวินพยักหน้าน้อยๆ ต่อหน้าลูกตัวเองเขาไม่จำเป็นต้องปกปิดอะไร
หลินฝานเงียบไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงเรื่องที่ข้าทะลวงระดับเร็วเกินไป แต่พูดโอ้อวดสักหน่อย สำหรับข้าการเคี่ยวกรำเช่นนี้สามารถทำได้สำเร็จในเวลาอันสั้น ไม่มีประโยชน์อะไรอีกต่อไป”
หลินสวินพยักหน้า “ข้าเข้าใจ ฝึกต่อสู้เป็นเรื่องหนึ่ง หลังจากนี้ข้าจะเคี่ยวกรำในด้านสภาวะจิตของเจ้าเป็นการเฉพาะ”
หลินฝานพูดอย่างสนใจ “ท่านพ่อ เป็นการเคี่ยวกรำแบบใดหรือ”
หลินสวินยิ้ม “ถึงตอนนั้นเจ้าจะรู้เอง”
หลินฝานเองก็ยิ้มเช่นกัน “เช่นนั้นข้าก็ตั้งหน้าตั้งตารอจริงๆ”
หลินสวินยื่นมือไปตบไหล่เขา ทันใดนั้นพลังปราณของหลินฝานถูกกดไว้โดยพลัน นี่หมายความว่าแม้เขาฝึกปราณต่อไปก็ไม่สามารถก้าวหน้าขึ้นได้อีกแม้แต่น้อย “ก่อนที่ข้าจะพอใจ การผนึกนี้จะคงอยู่ตลอดไป”
หลินฝานยิ้มขื่น “ท่านพ่อ จำเป็นต้องทำขนาดนี้เชียวหรือ”
หลินสวินกะพริบตาแล้วเอ่ยว่า “ข้ากลัวเจ้าข่มตัวเองไม่อยู่ จึงได้แต่ต้องช่วยเจ้าแล้ว”
จ้าวจิ่งเซวียนที่อยู่ข้างๆ เม้มปากยิ้ม
มีหลินสวินอยู่ นางก็รู้สึกผ่อนคลายและมั่นคงแล้ว
……
เสวียนจิ่วอิ้นไปจากแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์พร้อมกับจินเทียนเสวียนเยวี่ยในวันถัดไป มุ่งหน้าไปยังตระกูลเสวียน
เดิมทีหลินสวินคิดจะไปด้วย แต่กลับถูกเสวียนจิ่วอิ้นปฏิเสธ เขาพกไพ่ตายมากมายที่เสวียนเฟยหลิงให้มา อย่าว่าแต่เจอคนระดับเดียวกัน ต่อให้เจอขั้นหลุดพ้นสัมบูรณ์ก็มีพลังต้านทาน
ช่วงเวลาหลังจากนั้นหลินสวินก็อยู่เป็นเพื่อนจ้าวจิ่งเซวียนและหลินฝาน
ในซากคีรีดวงกมล หลินสวินนำตัวมกุฎมหาจักรพรรดิของเจ็ดขุมอำนาจใหญ่ที่ถูกจับตัวออกมาทั้งหมด บอกพวกเขาว่าใครสามารถเอาชนะลูกชายของเขาหลินฝานได้ ก็จะสามารถรอดชีวิตออกไปได้
แม้การถูกมองเป็นหินลับดาบทำให้มกุฎมหาจักรพรรดิเหล่านี้รู้สึกอับอายยิ่ง แต่ก็กระตุ้นจิตต่อสู้ในใจพวกเขาเช่นกัน
ดังนั้นในซากคีรีดวงกมลจึงเกิดการต่อสู้และเข่นฆ่าทุกวัน
น่าเสียดาย ระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านั้นล้วนพ่ายแพ้อย่างไม่มีข้อยกเว้น ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลินฝานจริงๆ
หนึ่งต่อหนึ่งไม่ไหว สิบต่อหนึ่งก็ไม่ไหวเช่นกัน
ตอนที่เคลื่อนกำลังสามสิบคนพร้อมกันจึงฝืนสกัดการจู่โจมของหลินฝานได้
ตอนที่เคลื่อนกำลังสี่สิบคนพร้อมกัน หลินฝานเริ่มรู้สึกถึงแรงกดดันใหญ่ยิ่งแล้ว
ในระหว่างนี้หลินสวินจับตาดูรายละเอียดทุกอย่างของหลินฝาน รู้ดีว่าในระดับเดียวกัน จำนวนของคู่ต่อสู้มากน้อยเท่าไรที่สามารถกักตัวหลินฝานไว้ได้
แต่จากสภาพการณ์เช่นนี้ อีกไม่นานในระดับนี้หลินฝานก็จะเรียกได้ว่าไร้ศัตรูอย่างแท้จริงแล้ว สามารถมองข้ามเรื่องจำนวนศัตรูได้
‘มีพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ทั้งครอบครองสายเลือดเจินหลง พรสวรรค์ของเจ้าหนูนี่วิปริตจริงๆ…’ หลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้
แต่นี่ยิ่งทำให้ความคิดของหลินสวินที่หมายจะเคี่ยวกรำสภาวะจิตของหลินฝานแน่วแน่กว่าเดิม
เวลาครึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ในครึ่งเดือนนี้ จากปากจ้าวจิ่งเซวียน ทำให้หลินสวินได้รู้เรื่องราวทั้งหมดของสำนักยุทธ์ก่อเกิด
อีกทั้งได้เข้าใจความเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มากขึ้นอีกขั้น
ตอนนี้ทุกคนในโลกต่างรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งที่จุดชนวนในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์นี้เริ่มขึ้นเมื่อสิบปีที่แล้ว
แต่จากที่จ้าวจิ่งเซวียนพูด ตั้งแต่เมื่อยี่สิบปีก่อนสัญญาณการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ก็เริ่มปรากฏแล้ว
ตอนนั้นส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มักมีคลื่นห้วงอากาศที่รุนแรงหาใดเปรียบ กึกก้องทุ้มหนักประหนึ่งเสียงฟ้าร้อง จากนั้นก็จะมีพลังชีวิตพลุ่งพล่านอย่างที่สุดอุบัติออกมา พรั่งพรูจากส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ราวกับกระแสน้ำ
ในพลังชีวิตเหล่านั้นยังหอบม้วนสมบัติอย่างพวกโอสถเทพ สมบัติมีค่าหายากไม่รู้เท่าไร เหมือนถูซัดมาอย่างไรอย่างนั้น
หากมองว่าส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เป็นมหาสมุทร เช่นนั้นพลังชีวิตที่พรั่งพรูออกมาก็เหมือนกระแสน้ำ สมบัติที่อยู่ในกระแสน้ำก็เหมือนเปลือกหอยกุ้งปลาที่ถูกซัดขึ้นฝั่ง
และก็เป็นตอนนั้นเอง เจ้าคางคกและอาหลู่ซึ่งก้าวสู่มรรคาอมตะแล้วเคยไปสำรวจในส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ด้วยตัวเอง แต่ไปถึงครึ่งทางก็จำต้องถอยกลับ
การเปลี่ยนแปลงอันน่าทึ่งในส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์น่ากลัวเกินไปจริงๆ พลังชีวิตที่พลุ่งพล่านปะทุดุเดือด ความรุนแรงของพลังที่เกิดขึ้นทำให้พวกเขาไม่อาจต่อต้านได้
ทว่าแม้จะเป็นเช่นนี้ แดนลับดวงกมลที่ตั้งอยู่ในแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ก็ยังได้รับผลประโยชน์ที่ยากจะจินตนาการ ไม่เพียงระเบียบฟ้าดินเกิดการแปรสภาพ แม้แต่กลิ่นอายมหามรรคในแดนลับก็เริ่มเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับสำนักยุทธ์ก่อเกิดที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ในนี้ แน่นอนว่าเป็นมหาศุภโชคฟ้าประทาน ผู้ฝึกปราณทุกคนล้วนได้รับประโยชน์มากมาย
จนกระทั่งเมื่อสิบปีก่อนหน้านี้ พลังชีวิตในส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์เกิดการปะทุครั้งใหญ่ จึงก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับทั้งโลกชั้นล่าง รวมถึงทางเดินโบราณฟ้าดารา!
และก็เป็นตอนนั้นที่กระบี่มรรคซึ่งอบอวลด้วยกลิ่นอายนิรันดร์พุ่งออกจากส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ทำให้ทั่วหล้าแตกตื่น ดึงดูดความสนใจของทุกฟ้าดาราในโลกพันจักรวาล
ถึงตอนนี้ทั้งทางเดินโบราณฟ้าดารา ขุมอำนาจต่างถิ่นรวมตัวไม่รู้เท่าไรแล้ว ล้วนมาเพราะแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์
ทว่าพวกที่ตาดีหน่อยล้วนรู้ว่าทางเดินโบราณฟ้าดาราแตกต่างจากที่ผ่านมาแล้ว ใครสามารถยึดครองที่นี่ได้ก็จะได้รับวาสนาฟ้าประทาน ได้ผลประโยชน์ที่ไม่อาจประเมินค่าจากการเปลี่ยนแปลงน่าทึ่งครั้งนี้
แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความโกลาหลและการเข่นฆ่าทั่วหล้า เวลาสิบปีสั้นๆ แต่ละพื้นที่ของทางเดินโบราณฟ้าดาราลุกโชนด้วยเพลิงต่อสู้ ลมคาวฝนเลือดซัดขึ้นมาไม่รู้เท่าไร
โดยเฉพาะบริเวณแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์!
ส่วนกระบี่มรรคที่มีกลิ่นอายนิรันดร์คละคลุ้งนั้นถูกอาหลู่ชิงมาได้ สุดท้ายตกอยู่ในมือของจ้าวจิ่งเซวียน
ตอนที่พูดถึงเรื่องนี้ จ้าวจิ่งเซวียนหยิบกระบี่เล่มนั้นออกมาให้หลินสวินดู
กระบี่ยาวสองฉื่อ กว้างสี่นิ้วมือ เป็นสีเทาเขียวทั้งเล่ม ด้ามกระบี่สลักคำว่า ‘มืดมิด’ สองคำ ดูชำรุดอย่างหนัก คมกระบี่ถูกกัดเซาะไม่น้อย ตัวกระบี่เองก็มีรอยแตก
แต่กลิ่นอายอมตะนิรันดร์ที่กระบี่นี้แผ่ออกมายังคงน่าทึ่งมาก
นี่คือกระบี่คู่กายระดับนิรันดร์อย่างไม่ต้องสงสัย ทิ้งไว้ในส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มาไม่รู้นานเท่าไร ตอนนี้เมื่อการเปลี่ยนแปลงน่าตกตะลึงของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้น มันก็ปรากฏออกมาอีกครา
นี่ทำให้หลินสวินยิ่งรู้สึกสนใจการเปลี่ยนแปลงในส่วนลึกของแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ ว่าเป็นเพราะอะไรกันแน่ถึงทำให้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ซึ่งพลังต้นกำเนิดแห้งเหือดไปนานแล้วเกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้
หลินสวินที่เดิมทีคิดจะพาคนทั้งหมดของสำนักยุทธ์ก่อเกิดกลับโลกยอดนิรันดร์ด้วยกัน สุดท้ายจึงตัดสินใจอยู่ต่ออีกสักระยะ
……
“คุณชาย นอกแหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์มีคนมาขอพบ”
วันนี้หลินจงมาบอกเรื่องนี้กับหลินสวินที่ซากคีรีดวงกมล
“ผู้มาเยือนเป็นใคร”
หลินสวินถาม
หลินจงพูดด้วยสีหน้าพิกล “มีหลายคน ในอดีตล้วนเป็นผู้ฝึกปราณในแต่ละขุมอำนาจใหญ่ของทางเดินโบราณฟ้าดารา พวกเขากล่าวว่าที่มาคราวนี้เพราะอยากเชิญให้คุณชายออกหน้า กำราบความโกลาหลและการเข่นฆ่าทั่วหล้า คืนชีวิตที่สดใสให้กับทุกคนบนโลก”
หลินสวินอึ้งไป กล่าวว่า “พวกเขาให้ค่าข้าขนาดนี้เชียว”
หลินจงเอ่ยเสียงเบา “คุณชาย ในหลายปีมานี้ต่อให้ไม่เอ่ยถึงความปั่นป่วนของฟ้าดาราทั่วหล้า แม้แต่บนทะเลกลืนวิญญาณที่อยู่ใกล้แหล่งน้ำศักดิ์สิทธิ์ยังเต็มไปด้วยการเข่นฆ่าและคาวเลือดทุกแห่งหน ภัยพิบัติเกิดขึ้นบ่อยครั้ง หากไม่หยุดยั้ง คนที่บาดเจ็บและล้มตายคงมากขึ้นเรื่อยๆ”
หลินสวินกล่าว “ลุงจงอยากให้ข้าช่วยพวกเขาหรือ”
หลินจงรีบส่ายหน้า “นี่ก็ต้องดูความตั้งใจของคุณชาย ข้าเพียงคิดว่าถึงอย่างไรสรรพชีวิตทั่วหล้าก็เป็นผู้บริสุทธิ์ ไม่ควรถูกม้วนเข้ามาในภัยพิบัติครั้งนี้ หากผู้ฝึกปราณต่อสู้กัน ย่อมสามารถทำลายล้างภูผาธาราแห่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย ทำลายล้างเมืองทั้งเมือง ในหลายปีมานี้โลกภายนอกมีคนมากมายไม่รู้เท่าไรประสบเคราะห์”
ในน้ำเสียงเจือความเวทนาและเศร้าใจ
แต่จากนั้นเขาพลันเยาะหยันตนเอง “อันที่จริงเรื่องพวกนี้ล้วนไม่เกี่ยวกับข้า เพียงแค่คิดว่าความเป็นตายของคนบนโลก หากไม่มีคนสนใจจะเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามากเพียงใด…”
หลินสวินพูด “ลุงจง เรื่องนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเถอะ”
ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้น มุ่งหน้าไปนอกแดนลับดวงกมล
เขานึกถึงผู้ยิ่งใหญ่ในยุคดึกดำบรรพ์อย่างจักรพรรดิกระบี่ไท่เสวียน จักรพรรดิสงครามอู๋ยาง จักรพรรดิสงครามลักษณ์เทพ ทุกคนล้วนมีปณิธานและความองอาจที่ต้องการทำเพื่อใต้หล้า ทุกคนล้วนน่าเคารพและชื่นชม
และนึกถึงเหล่าผู้กล้าแห่งยุคที่เฝ้าปกปักษ์บนกำแพงเมืองด่านจักรพรรดิตลอดปี ยอมพลีชีพจนตัวตายเพื่อต้านทานศัตรูต่างถิ่นแปดดินแดน!
‘ยามมรรคข้าแจ้งประจักษ์ ถึงรู้ชัดในทุกข์แห่งสรรพชีวิต’
หลินสวินนึกถึงคำพูดที่เต็มไปด้วยความเวทนาของอริยพุทธซิงเจียประโยคนี้โดยไม่รู้ตัว
และนึกถึงความปรารถนาอันยิ่งใหญ่ที่จักจั่นทองเคยตั้งไว้ตอนยังหนุ่ม…
หวังให้สรรพชีวิตทั่วหล้าล้วนบรรลุอริยะ!
ทันใดนั้นหลินสวินรู้สึกเพียงว่าสภาวะจิตมีการเปลี่ยนแปลงอย่างละเอียดอ่อนขึ้นมา
……………….