Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3038 โทสะของหลินสวิน
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3038 โทสะของหลินสวิน
ตอนที่ 3038 โทสะของหลินสวิน
ลัทธิแรกกำเนิด
ในถ้ำสถิต หลินสวินลืมตาขึ้นจากการนั่งสมาธิอย่างเงียบๆ
ทะลวงแล้ว!
ช่วงนี้หลังจากเขาตั้งใจฝึกปราณและหลอม ‘โอสถเทพฝ่าเคราะห์’ อย่างต่อเนื่อง พลังปราณก็บรรลุถึงขั้นล่วงกฎสัมบูรณ์ในที่สุด
โอสถเทพฝ่าเคราะห์เป็นสมบัติอย่างหนึ่งที่หลินสวินได้จากเผ่าเทพนิรันดร์ตระกูลไท่เฮ่า เมื่อนำมาหลอมก็เหมือนการเข้าสู่โลกด่านเคราะห์ สามารถทำให้การเคี่ยวกรำและการตกตะกอนของมรรควิถีแห่งตนลึกขึ้นไปอีกขั้น ทั้งยังไม่ต้องกังวลเรื่องการเกิดธาตุไฟเข้าแทรก
โอสถเทพระดับนี้เม็ดเดียวก็มีมูลค่าเทียบเท่าศาสตรามรรคนิรันดร์หนึ่งชิ้น มีประโยชน์น่าเหลือเชื่อสำหรับการทะลวงขั้นล่วงกฎ
และในช่วงสั้นๆ นี้หลินสวินก็หลอมโอสถเทพฝ่าเคราะห์ไปไม่ต่ำกว่าเก้าเม็ดแล้ว มรรควิถีถึงได้ทะลวงถึงขั้นล่วงกฎสัมบูรณ์ แค่คิดก็รู้ว่ามรรควิถีของเขาแข็งแกร่งปานใด
“ขั้นต่อไปก็คือขั้นสรรสร้างแล้ว…”
หลินสวินแววตาแจ่มชัด
ขั้นสรรสร้าง ขอเพียงหลอมพลังกฎระเบียบให้มากขึ้น มรรควิถีแห่งตนก็จะเลื่อนขั้นได้อย่างไม่หยุดหย่อน
และทั้งหมดนี้สำหรับหลินสวินไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย
เพราะสิ่งที่ไม่ขาดที่สุดบนร่างเขาตอนนี้ก็คือพลังระเบียบระดับเทพหลากหลายชนิด!
แน่นอนว่าระหว่างขั้นล่วงกฎกับขั้นสรรสร้างเป็นธรณีประตูที่ใหญ่ยิ่งบานหนึ่ง คิดจะทะลวงไม่ใช่เรื่องง่ายขนาดนั้น
จุดสำคัญคือในช่วงเวลาที่เคราะห์แห่งยุคสมัยกำลังจะมาเยือนนี้ ขั้นสรรสร้างขึ้นไปล้วนต้องพบเจอภัยคุกคามร้ายแรงของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ
กลับเป็นขั้นล่วงกฎที่โอกาสในการประสบเคราะห์กลับน้อยกว่ามาก
นี่ก็คือเหตุผลที่ระดับนิรันดร์ซึ่งรั้งอยู่ในเผ่าเทพนิรันดร์สิบสองตระกูลของน่านฟ้าที่เก้าล้วนเป็นขั้นล่วงกฎ ส่วนพวกขั้นสรรสร้างขึ้นไปแทบจะหาไม่เจอสักคน
สาเหตุก็อยู่ที่ภัยคุกคามของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพรุนแรงเกินไป
ด้วยเหตุนี้หลินสวินจึงไม่อาจไม่ป้องกัน
ยามเขาแจ้งมรรคนิรันดร์ก็ถูกผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยเพ่งเล็ง ถึงตอนนี้แม้ไม่เคยเผชิญเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ แต่ใครก็ไม่อาจรับรองว่าเคราะห์นี้จะมาเยือนเมื่อไหร่
แต่เรื่องที่ยืนยันได้ก็คือ หากเขาแจ้งมรรคขั้นสรรสร้างในโลกยอดนิรันดร์ ความเป็นไปได้ที่จะเจอการโจมตีจากเคราะห์นี้ย่อมมีมากอย่างไม่ต้องสงสัย
จู่ๆ หลินสวินก็คิดเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้
ปีนั้นเฉินหลินคงเคยบอกว่าในเรือนิรันดร์ซ่อนแผนที่ดราราที่เชื่อกับประตูนิรันดร์ไว้ และในประตูนิรันดร์นั่นยังซ่อนมหาศุภโชคที่เกี่ยวกับระดับนิรันดร์ไว้ชิ้นหนึ่ง…
และตอนนี้ตนก็เป็นผู้ฝึกปราณระดับนิรันดร์ขั้นล่วงกฎสัมบูรณ์แล้ว มีศักยภาพพอไปประตูนิรันดร์ได้แล้ว
เพียงแต่หลินสวินไม่ลืมเช่นกันว่าก่อนหน้านี้นานมาแล้ว เจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ก็เคยไปตามหาประตูนิรันดร์เช่นกัน แต่ก็เป็นในตอนนั้นที่ระฆังมรรคซึ่งอบอวลด้วยไอแรกกำเนิดลึกลับชิ้นหนึ่งปรากฏออกมาจากในประตูนิรันดร์ โจมตีเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์จนบาดเจ็บสาหัส!
หลินสวินไม่ลืมเช่นกันว่ายามจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ไปเมืองเทพศุภโชคในปีนั้น ในเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพทั้งหมดที่เผชิญก็มีระฆังมรรคใบหนึ่งเช่นกัน
ระฆังมรรคใบนั้นยังมีชื่อที่พิเศษอย่างยิ่ง… ไท่ชู!!
นี่ทำให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ว่าระฆังมรรคในประตูนิรันดร์ เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นระฆังมรรคไท่ชูซึ่งปรากฏในเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพที่จักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์เจอ
อีกทั้งความนัยของไท่ชูสองคำนี้ก็ไม่ธรรมดาเป็นอย่างยิ่ง!
หลินสวินถึงขั้นสงสัยว่าไท่ชูเป็นชื่อของผู้บงการหลังม่านของเคราะห์แห่งยุคสมัยนั่น
ทั้งหมดนี้ล้วนทำให้หลินสวินลังเลอยู่บ้างอย่างเลี่ยงไม่ได้
ควรจะไปประตูนิรันดร์นั่นสักครั้งหรือไม่
หรือว่าจะถามซย่าจื้อได้
ถึงอย่างไรเรือนิรันดร์ก็อยู่กับจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์มาหลายปี ต่อให้ซย่าจื้อไม่เคยสืบทอดความทรงจำและสติปัญญาของจักรพรรดิเทพรัตติกาลนิรันดร์ แต่ตอนนี้ก็เท่ากับเป็นเจ้าของของเรือนิรันดร์แล้ว
ระหว่างที่หลินสวินใคร่ครวญนี้เอง จู่ๆ เสียงที่เต็มไปด้วยความร้อนรนก็ดังขึ้น…
“ท่านพี่!”
จากนั้นจ้าวจิ่งเซวียนที่ใบหน้าซีดเผือด สีหน้าตื่นตระหนกก็พุ่งเข้ามาในถ้ำสถิต กล่าวเสียงสั่นเครือ “ท่านพี่ ฝานเอ๋อร์ใช้ไพ่ตายรักษาชีพทั้งหมดแล้ว ขะ เขา… ต้องเกิดเรื่องแล้วแน่”
ในใจหลินสวินพลันสะท้าน รีบกอดจ้าวจิ่งเซวียนที่ตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก กล่าวเสียงอบอุ่น “อย่าตระหนกไป เจ้าค่อยๆ พูดว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่”
ในน้ำเสียงแฝงพลังที่ทำให้คนจิตใจสงบ
อารมณ์ของจ้าวจิ่งเซวียนถึงค่อยสงบลงไม่น้อย เพียงแต่ใบหน้ายังคงเต็มไปด้วยความกังวลเช่นเดิม กล่าวว่า “เมื่อครู่ข้ากำลังฝึกปราณอยู่ ทว่ายันต์ลับในร่างกลับ… สลายไปแล้ว…”
ขณะพูดนางก็พลิกมือ เผยยันต์ลับที่กลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยมากมาย มีมากถึงเจ็ดแปดชนิด
เมื่อยันต์พวกนี้แตก ก็หมายความว่าหลินฝานพบเจออันตรายและใช้ไพ่ตายปกป้องชีพแล้ว
นี่ก็คือเหตุผลที่ทำให้จ้าวจิ่งเซวียนรู้สึกตระหนกและลนลาน
เห็นเช่นนี้หว่างคิ้วหลินสวินผุดแววเยียบเย็นสายหนึ่ง แววตาเย็นชาน่าสะพรึง
พริบตาเดียวเขาก็มองออกมาว่าการที่สามารถบีบให้หลินฝานใช้ไพ่ตายรักษาชีพมากเช่นนี้ได้ คนที่เขาเผชิญหน้าด้วยเกรงว่าจะไม่ต่ำกว่าระดับนิรันดร์!
เพียงแต่เป็นฝีมือใครกันแน่
ในตอนนี้ยังมีใครกล้าเป็นศัตรูกับตนอีก
“ท่านพี่ ท่านรีบหาวิธีเถิด ถ้าฝานเอ๋อร์เกิดเรื่องขึ้น ข้า… ข้า…” ใบหน้างามของจ้าวจิ่งเซวียนเป็นกังวล ทั้งร่างอยู่ในสภาพอกสั่นขวัญหาย
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ตบไหล่นางเบาๆ กล่าวว่า “ไม่เป็นไร มีข้าอยู่ ฝานเอ๋อร์ไม่มีทางเกิดเรื่องอะไรขึ้นแน่นอน”
เสียงสงบนิ่งแต่กลับเผยแววหนักแน่นหาใดเปรียบ
ปีนั้นหลังจากเด็กน้อยที่ไม่เคยฝึกปราณอย่างถังเจียงประสบเคราะห์เหลือเพียงเลือดหยดหนึ่ง ยังถูกเขาใช้พลังของระเบียบนิพพานช่วยกลับมาได้
ตอนนี้ต่อให้หลินฝานลูกชายของตนจะประสบเคราะห์ ต่อให้เหลือพลังชีวิตแค่เสี้ยวเดียว หลินสวินก็จะช่วยเขากลับมาสุดชีวิตเช่นกัน!
แน่นอนว่านี่เป็นแผนในกรณีที่เลวร้ายที่สุด
เรื่องเร่งด่วนคือตรวจสอบสถานการ์ให้ชัดเจนโดยเร็วที่สุด
คิดถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็กระตุกวูบ เอ่ยว่า “จิ่งเซวียน ตอนที่ฝานเอ๋อร์จากไปปีนั้นได้พกสมบัติที่ทำให้พวกเราหาร่องรอยของเขาพบหรือไม่”
จ้าวจิ่งเซวียนแววตาวาบประกาย “มี! ตอนนั้นผู้อาวุโสเสวียนเฟยหลิงเคยมอบหยกประดับชิ้นหนึ่งให้ฝานเอ๋อร์ จากที่ผู้อาวุโสเสวียนเฟยหลิงว่า หยกนี้นามว่า ‘รอยวิญญาณไร้รูป’ ไม่ว่าฝานเอ๋อร์อยู่ที่ไหน บนทางที่เขาเดินผ่านล้วนทิ้งกลิ่นอายสายหนึ่งของหยกประดับนี้ไว้ นี่ก็หมายความว่าตอนนี้ขอแค่พวกเราตามกลิ่นอายสายนี้ไปก็จะหาเขาพบ!”
ขณะพูดนางดึงแขนเสื้อของหลินสวินจะออกไปนอกถ้ำสถิต “ท่านพี่ เร็วเข้า พวกเราไปหาผู้อาวุโสเสวียนเฟยหลิง”
กลับเห็นหลินสวินตบไหล่นางเบาๆ คราหนึ่ง “จิ่งเซวียน สภาวะจิตของเจ้าปั่นป่วนแล้ว อยู่ที่นี่พักผ่อนให้ดีสักหน่อย รอตอนเจ้าตื่นมาข้าต้องพาฝานเอ๋อร์มาพบเจ้าแน่นอน”
คำพูดยังคงสะท้อนอยู่ จ้าวจิ่งเซวียนก็หลับลึกไปแล้ว ร่างบางทิ้งตัวเอนลงกลางอกหลินสวิน
เขาวางจ้าวจิ่งเซวียนบนตั่งยาว แล้วสูดหายใจลึกคราหนึ่งระงับไอสังหารในใจ ขณะกำลังวางแผนจากไป กลับเห็นซย่าจื้อเดินออดมาจากเรือนิรันดร์ “ข้าไปกับเจ้าด้วย”
“เจ้าได้ยินหมดแล้วหรือ” หลินสวินอึ้ง
ซย่าจื้อพยักหน้า กล่าวด้วยเสียงกระจ่าง “ด้วยพลังของข้าตอนนี้ การฆ่าขั้นล่วงกฎน่าจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่”
หลินสวินสังเกตซย่าจื้อปราดหนึ่ง พบว่ากลิ่นอายของนางเปลี่ยนไปไม่เหมือนกับก่อนหน้านี้ดังคาด มีความคลุมเครือและเร้นลับยิ่งขึ้น
“ได้”
หลินสวินไม่อยากชักช้าอีก มุ่งหน้าไปหาเสวียนเฟยหลิงพร้อมกับซย่าจื้อ
และเมื่อรู้เจตนาของหลินสวิน เสวียนเฟยหลิงก็ตระหนักได้ถึงความหนักหน่วงของปัญหาเช่นกัน รีบนำม้วนหยกม้วนหนึ่งส่งให้หลินสวินพลางกล่าว “นี่เป็นวิชาลับที่ใช้จับสัมผัสกลิ่นอายของยันต์รอยวิญญาณไร้รูป เจ้าเอามันไป แล้วก็เรื่องนี้ข้าจะจะช่วยเจ้าปกปิดไม่ให้คนอื่นรู้ พวกเจ้าไปหาฝานเอ๋อร์อย่างวางใจเป็นพอ”
“รบกวนผู้อาวุโสแล้ว”
หลินสวินหยิบม้วนหยกและหมุนตัวจากไป
วันนั้นเขากับซย่าจื้อออกจากลัทธิแรกกำเนิดไปอย่างเงียบๆ
…
น่านฟ้าที่หก
เหนือทะเลที่คล้ายไร้สิ้นสุดผืนหนึ่ง เกาะที่ไม่มีหญ้าขึ้นสักต้นเกาะหนึ่งกำลังลอยล่อง
“พี่จี้ ท่านแน่ใจหรือว่าหลินสวินจะมา”
ชายชุดดำเกาหยางหลีดื่มเหล้าไปพลางถามอย่างเกียจคร้านไปพลาง เขานอนเอนบนหินก้อนหนึ่ง ท่าทางอิสระเสรี
“มาแน่”
ผู้พูดคือชายรูปร่างผึ่งผายสวมชุดขาวยิ่งกว่าหิมะ เขาเอามือไพล่หลัง ใบหน้าหล่อเหลาราวใช้มีดแกะสลัก ในดวงตาลุ่มลึกที่มองตรงไปเบื้องหน้ามีภาพฟ้าดารามากมายปรากฏอยู่ลึกเข้าไป
ทั้งร่างเขาแผ่อานุภาพกดดันผู้คน
จี้กุยเจิน!
มาจากเผ่าเทพตระกูลจี้ยุคทวยเทพ!
“เฮ้อ ถ้าไม่ใช่ว่าร่างมีพันธนาการ ข้าก็อยากอยู่โลกยอดนิรันดร์นี่ไปตลอด ที่นี่ดีกว่าแหล่งสถานศุภโชคที่ประหนึ่งคุกนั่นเป็นไหนๆ”
เกาหยางหลีถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
จี้กุยเจินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ตราบใดที่อยู่ที่นี่ก็หนีไม่พ้นการโจมตีของเคราะห์ดับสิ้นไร้ชีพ ยิ่งกว่านั้นไม่เกินเก้าร้อยปี หลังจากเคราะห์แห่งยุคสมัยมาเยือนโลกนี้ก็จะพินาศจนหมด หากโชคดีอารยธรรมยุคนี้ก็ยังรอดต่อไปในแหล่งสถานศุภโชคได้ หากโชคร้าย ทั้งหมดก็จบสิ้นแล้ว”
เกาหยางหลีอึ้งไป ก่อนยิ้มระรื่นกล่าว “พูดเช่นนี้ สำหรับพวกเราแล้วแหล่งสถานศุภโชคนี่นอกเสียจากเหมือนกับคุก กลับเป็นสถานที่ที่ดีแห่งหนึ่ง”
จี้กุยเจินไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ
และยามนี้เจียงเจวี๋ยที่นิ่งเงียบมาตลอดพลันใช้ดวงตาคล้ายคมมีดคู่นั้นจ้องมองไปไกลๆ ดวงหน้างดงามเย็นชาปานน้ำแข็งยังคงไม่มีคลื่นอารมณ์สักเสี้ยว
“เขามาแล้ว”
เจียงเจวี๋ยเอ่ยปาก
เกาหยางหลีพลิกร่างหยัดตัวขึ้นจากก้อนหิน ยิ้มกล่าว “ข้าอยากเจอจริงๆ ยามหนีจากเมืองเทพศุภโชคเจ้าหมอนี่เพิ่งมีมรรควิถีขั้นอายุขัยเทียมฟ้า ในเวลาสั้นๆ ไม่ถึงร้อยปีกลับแจ้งมรรคนิรันดร์ได้อย่างไร ทั้งยังใช้พลังของตนคนเดียวกวาดล้างเผ่าเทพนิรันดร์ในน่านฟ้าที่เก้าได้อย่างไร นี่แม้แต่ในยุคทวยเทพยังเรียกได้ว่ามหัศจรรย์ไม่เคยมีมาก่อนได้”
ขณะพูดดวงตาเขาก็มองออกไปไกลเช่นกัน
“ระวังไว้หน่อย ถ้าไม่ลงมือได้ก็ไม่ต้องลงมือ”
จี้กุยเจินกล่าวเสียงเบา เขายืนไพล่หลัง ชุดขาวโบกพลิ้ว มองออกไปไกลๆ เช่นกัน
ห่างไปไกลโพ้นมีเงาร่างสูงโปร่งสายหนึ่งเคลื่อนย้ายผ่านห้วงอากาศเข้ามา ไม่กี่พริบตาก็มาปรากฏตัวหน้าเกาะนี้
เป็นหลินสวิน!
“เป็นพวกเจ้าที่ลักพาตัวลูกชายข้าหรือ”
นัยน์ตาดำหลินสวินลุ่มลึกเย็นชา ไอสังหารที่สั่งสมในใจใกล้จะคุมไม่อยู่
เขามองปราดเดียวก็ดูออกว่ากลิ่นอายของชายสองหญิงหนึ่งนี่ไม่ธรรมดา ต่อให้ข่มไว้เต็มที่ แต่ต้องเป็นพวกที่ก้าวสู่มรรคานิรันดร์แล้วอย่างไม่ต้องสงสัย
“สหายยุทธ์หลินโปรดระงับโทสะ”
เกาหยางหลีเอ่ยยิ้มๆ “ข้ารับรองกับเจ้าได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นศิษย์ของเจ้าซูไป๋หรือลูกชายของเจ้าหลินฝาน ล้วนไม่ได้รับอันตรายสักนิด ที่พวกเราทำเช่นนี้ไม่มีอะไรมากไปกว่าอยากเจอสหายยุทธ์หลิน จากนั้นปรึกษาเรื่องหนึ่งกับสหายยุทธ์หลินก็เท่านั้น”
……………………..