Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3144 กระบี่และฝักกระบี่
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3144 กระบี่และฝักกระบี่
ตอนที่ 3144 กระบี่และฝักกระบี่
ซู่หวั่นจวิน นางมารคนหนึ่งที่ทนรออยู่บนทะเลโชคชะตามาสิบสามยุคสมัยเพื่อเสาะหาพลังโชคชะตา
บุคคลน่ากลัวที่ทำให้สัตว์ประหลาดเฒ่าทุกคนหวาดกลัวอยู่สามส่วน
หน้าตานางเหมือนเด็กสาว สง่างามผ่าเผย ไปมาคนเดียวตลอด
ตอนนี้นางกลับเลือกจากไป มุ่งหน้าไปแหล่งสถานอัศจรรย์
หลินสวินไม่รู้ว่านางยอมแพ้หรือหลุดพ้นจาก ‘ความยึดติด’ แล้วกันแน่
“บนตัวเจ้ามีหินลับกระบี่คู่หนึ่งอยู่ใช่หรือไม่”
นัยน์ตาคู่งามของซู่หวั่นจวินจ้องมองหลินสวิน
“ถูกต้อง”
หลินสวินกล่าวอย่างประหลาดใจ “ผู้อาวุโสรู้ได้อย่างไร”
ซู่หวั่นจวินยื่นมือขวาออกมา กลางฝ่ามือปรากฏฝักกระบี่ที่ทำขึ้นจากหวาย ขมุกขมัว เรียบง่ายธรรมดา แผ่กลิ่นอายกาลเวลา
“มันเป็นคนบอกข้า”
นัยน์ตาซู่หวั่นจวินฉายแววอ่อนโยน “มันเหมือนกับหินลับกระบี่ในมือเจ้า มาจากนายคนเดียวกัน ตอนข้าเจอเจ้าครั้งแรกก็สังเกตเห็นแล้ว แต่กลับไม่มีโอกาสคุยเรื่องนี้กับเจ้า ตอนนี้ข้ากำลังจะจากไปแล้ว ถึงอยากคุยเรื่องนายของมันกับเจ้า”
ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน
จริงดังคาด ‘มือกระบี่’ ที่ซู่หวั่นจวินเอ่ยถึง ก็คือเจ้าของหินลับกระบี่ผู้ลึกลับยากหยั่งถึงคนนั้น!
ผู้เคยทิ้งหินลับกระบี่ทั้งสองไว้ ก้อนหนึ่งสลักว่า ‘หล่อจิตดุจหยก’ อีกก้อนสลักว่า ‘ลับจิตดั่งคม’ เคยใช้มรรคกระบี่ฟันฝ่าในวัฏจักร ก้าวเดินกลางยุคสมัยผันเปลี่ยน ผู้เคยทอดถอนใจว่าบนโลกไร้คู่ต่อกร สุดท้ายช่างเดียวดาย
ทั้งเคยเข้าสู่แหล่งสถานอัศจรรย์ เลือกนิพพานเข้าสู่วัฏจักร เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง ต้องการสร้างหนทางใหม่ก้าวเดินสู่มรรคาอีกครั้ง!
แต่เจ้าของหินลับกระบี่กับซู่หวั่นจวิน… มีความสัมพันธ์อะไรกัน
กลับเห็นนัยน์ตาซู่หวั่นจวินมองฝักกระบี่หวายในมือพลางกล่าว “กระบี่บนโลกนี้ไม่ว่าจะหล่อจากเหล็กทั่วไปหรือหล่อจากทองเซียนล้วนมีฝักกระบี่ มีคนใช้ร่างกายตนหล่อเลี้ยงกระบี่ ตัวเขาเป็นดั่งฝักกระบี่ บางคนใช้ของอย่างน้ำเต้าและกล่องกระบี่หล่อเลี้ยงกระบี่ สิ่งนี้มองว่าเป็นฝักกระบี่ได้ แต่สหายน้อยรู้ไหมว่าทำไมกระบี่บนโลกนี้ถึงต้องการฝักกระบี่”
หลินสวินอึ้งงัน นี่คือคำถามธรรมดายิ่งข้อหนึ่ง แต่เมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว กลับทำให้หลินสวินพบว่าคำถามนี้มีนัยลึกซึ้งมาก
เขาใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วกล่าว “จากมุมมองข้า กระบี่กับฝักกระบี่เสริมส่งกันและกัน ฝ่ายหนึ่งฆ่า ฝ่ายหนึ่งเก็บ คล้ายหนึ่งขยับหนึ่งหยุดนิ่ง ผ่อนหนักผ่อนเบา”
ซู่หวั่นจวินพยักหน้าน้อยๆ “เจ้ามีความคิดเช่นนี้ นับว่าไม่เกินความคาดหมายของข้า”
นางเว้นช่วงไป นัยน์ตาฉายแววหวนความหลัง “ยามกระบี่ออกมาย่อมสังหาร ยามกระบี่ซ่อนตัวย่อมเก็บงำ ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่บนโลกนี้คิดแต่ลับคมกระบี่ แต่ไม่เข้าใจว่าแก่นแท้ของมรรคกระบี่อยู่ที่การเก็บ”
“เก็บหรือ” หลินสวินนัยน์ตาหดรัดเล็กน้อย
“คำว่าเก็บก็คือการสั่งสม หล่อเลี้ยงสารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณ ชำระจิตกระบี่ให้กระจ่างสว่างไสว”
ซู่หวั่นจวินกล่าว “ถ้าทำไม่ได้ถึงขั้นนี้ สุดท้ายก็ยากจะประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่บนมรรคกระบี่”
หลินสวินครุ่นคิด “หากทำถึงขั้นนั้นแล้วเป็นอย่างไร”
“กวาดสายตามองทั่วหล้าล้วนคือมหามรรคแห่งกระบี่ ฟันฝ่าเหนือหมื่นมรรค มรรคใหญ่มรรคเล็กล้วนเป็นมรรคกระบี่”
ซู่หวั่นจวินเอ่ยต่อ “ถึงตอนนั้นภูเขาแม่น้ำ เรื่องทางโลก โลกีย์หมื่นลักษณ์ สรรพสิ่งทั่วหล้า… ล้วนสะท้อนจิตกระบี่ ล้วนเข้าสู่มรรคา”
“นี่คือกระบี่แห่งยอดอิสระและยอดเสรีที่แท้จริง”
“กระบี่นี้ก็คือจิตมรรค”
“ขอบเขตนี้ก็คือจุดสูงสุดของขั้นไร้ขอบเขต”
ในใจหลินสวินสะท้านไหว ยืนอึ้งอยู่ตรงนั้นครู่ใหญ่ จากนั้นจึงประสานมือกล่าวราวเพิ่งตื่นจากฝัน “ขอบคุณผู้อาวุโสที่แนะแนวทาง”
พริบตานี้เขาพลันรู้แจ้งอย่างบอกไม่ถูก ความอัศจรรย์นานัปการวนเวียนในใจ ยากจะบรรยาย มหัศจรรย์อย่างไม่อาจอธิบายได้
ยามกระบี่ออกมาย่อมสังหาร ยามกระบี่ซ่อนตัวย่อมเก็บงำ
จิตกระบี่ก็คือจิตมรรค
กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว จุดสูงสุดของขั้นไร้ขอบเขตก็อยู่ที่สภาวะจิต!
“เจ้าไม่ต้องขอบคุณข้า นี่คือสิ่งที่เจ้าของหินลับกระบี่บอกข้าก่อนมุ่งหน้าไปแหล่งสถานอัศจรรย์ ส่วนข้าก็แค่นำคำพูดเดิมมาบอกเจ้าเท่านั้น”
ซู่หวั่นจวินพูดถึงตรงนี้แล้วเผยรอยยิ้มเยาะตนเอง “น่าขันที่ข้ายึดติดกับการเสาะหามาสิบสามยุคสมัย สุดท้ายจึงพบว่านี่ก็คือกรงขังอย่างหนึ่ง กระทั่งวันนี้ถึงเข้าใจว่าเขาบอกคำตอบข้านานแล้ว”
เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็กล้ามั่นใจ ว่าซู่หวั่นจวินตัดสินใจไปแหล่งสถานอัศจรรย์ ใช่ว่าละทิ้งการเสาะหาตลอดสิบสามยุคสมัย แต่เป็นเพราะทำลายกรงซึ่งกักขังสภาวะจิตตน หลุดพ้นออกมาอย่างแท้จริงแล้ว!
“หล่อจิตดุจหยก ลับจิตดั่งคม สิ่งที่หินลับกระบี่ขัดเกลาไม่ใช่กระบี่แต่เป็นใจ”
ซู่หวั่นจวินเอ่ยเสียงเบา
หลินสวินใจสั่นเล็กน้อย จมสู่ภวังค์ความคิด
สิ่งที่หินลับกระบี่ขัดเกลากลับเป็นสภาวะจิต สั่งสมและหล่อเลี้ยงสารกาย พลังชีวิต จิตวิญญาณ ชำระจิตกระบี่สว่างไสว
เช่นนี้จึงจะอิสระไร้ผูกมัด มีเสรีอย่างแท้จริง…
ครู่ใหญ่หลินสวินจึงถอนหายใจยาว “คำพูดนี้ของผู้อาวุโสตรงใจข้านัก”
ปลายทางของขั้นไร้ขอบเขตอยู่ที่ไหน
ก่อนหน้านี้หลินสวินยังมองไม่เห็น แต่ตอนนี้กลับมองเห็นเสี้ยวหนึ่งรางๆ!
“ในเมื่อเจ้ามีหินลับกระบี่ติดตัว แน่นอนว่าต้องมีวาสนากับเขา”
ซู่หวั่นจวินเก็บฝักกระบี่หวายในมือลงไปพลางกล่าว “ไม่แน่ว่ารอวันหน้ายามสหายน้อยไปแหล่งสถานอัศจรรย์ก็อาจได้เจอเขา”
หลินสวินอึ้งงัน สุดท้ายก็อดพูดไม่ได้ “ผู้อาวุโส เจ้าของหินลับกระบี่ที่ท่านกล่าวถึง ใช่ผู้อาวุโสที่เรียกตัวเองว่า ‘มือกระบี่’ คนนั้นหรือไม่”
ซู่หวั่นจวินพยักหน้าน้อยๆ
‘ที่แท้ก็เป็นเขาจริงๆ…’
หลินสวินรำพึงในใจ นึกถึงคำพูดที่ฟู่หนานหลีกล่าวเมื่อตอนนั้น…
‘คนผู้นี้คือยักษ์ใหญ่สะท้านยุคบนมรรคกระบี่ ผยองไม่ยอมคน ประกายคมแกร่งกล้า ไร้ศัตรูทัดเทียม และเจ้าตัวก็เป็นอิสรเสรี ท่องไปทั่วทุกแห่ง ลึกลับสุดขีด ไม่มีใครรู้ที่มาของเขา แต่ว่ากันว่าเขาเคยกำราบทั่วหล้าด้วยกระบี่เดียว พลังมรรคกระบี่ในตัวขับเคลื่อนเหนือยุคสมัยมากมาย จนบัดนี้ยังไม่ถูกใครแซงหน้า แต่หลังจากเขาบรรลุถึงมรรคาสูงสุด กลับเรียกตัวเองว่า ‘มือกระบี่’’
“สหายน้อย ขอลา”
ซู่หวั่นจวินไม่ได้พูดมากความ หันหลังจากไป นางสวมชุดแดงลอยหายไปกลางฟ้าดินกว้างใหญ่
“ซย่าจื้อ พวกเราก็ไปกันเถอะ”
หลินสวินพูดพลางถอนสายตากลับ
…
บนทะเลโชคชะตากว้างใหญ่ไพศาล บัวชะตามหามรรคลอยอยู่ในนั้นเงียบๆ เวลานี้กลับมีเงาร่างหนึ่งพุ่งออกมาจากบัวชะตามหามรรค
เป็นหลินสวินนั่นเอง
ชายเสื้อเขาพลิ้วไหว ยืนอยู่บนกระแสน้ำแห่งโชคชะตาที่ยิ่งใหญ่ทรงพลัง แววตาดุจเหวลึกก้มมองลงมา
ในหัวปรากฏภาพดินแดนที่ประหนึ่งคลื่นโถมโอฬารมากมายทันที ส่องประกายวับวาวดั่งดวงดาวนับไม่ถ้วนโปรยปรายใต้ทะเลโชคชะตา
นั่นคือโลกยุคสมัยนับไม่ถ้วน
“ควรสะสางให้จบสิ้นได้แล้ว…”
หลินสวินกล่าวเสียงเบา
จากนั้นเงาร่างเขาเดินไปบนทะเลโชคชะตา ไม่นานก็หายไปเหมือนแสงเลือนรางสายหนึ่ง
ผ่านไปสองชั่วยาม
โลกมาร
บนภูเขาเทพสูงตระหง่านลูกหนึ่ง ที่นี่มีสัตว์ประหลาดเฒ่ายุคมารอย่างพวกอิงเทียนเซิงอยู่
“อิงเทียนเซิงอยู่ไหม”
เสียงราบเรียบหนึ่งดังก้องกลางฟ้าดินทันใด
ครู่ต่อมาเงาร่างน่ากลัวสิบกว่าสายพุ่งออกมาจากภูเขาเทพ ผู้นำคืออิงเทียนเซิงนั่นเอง
“หลินสวิน! เจ้าเข้ามาในโลกนี้ได้อย่างไร”
เมื่อเห็นเงาร่างหลินสวินซึ่งยืนอยู่กลางอากาศที่ห่างออกไป พวกอิงเทียนเซิงหน้าเปลี่ยนสีทันที ล้วนไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง
รอบทะเลโชคชะตามีอารยธรรมแห่งยุคสมัยมากมายกระจายอยู่ แต่ด้วยการตรึงของพลังทะเลโชคชะตา ทำให้ไม่มีใครเข้าไปในโลกยุคสมัยอื่นได้
แต่ตอนนี้หลินสวินกลับมาแล้ว!
นี่ทำให้พวกอิงเทียนเซิงล้วนสังหรณ์ถึงความไม่เข้าที
“หากข้าไม่มา ความแค้นระหว่างพวกเราก็ไม่อาจสะสางอย่างแท้จริง”
หลินสวินเอ่ยเสียงเรียบ
ขณะกล่าวเขายกมือโบก กระบี่มรรคเล่มหนึ่งตกลงสู่มือ จากนั้นค่อยฟันกระบี่ออกไป
ฟ้าดินพลันมืดสลัว เหลือเพียงเจตกระบี่กว้างใหญ่ไพศาลแถบหนึ่งอัดแน่นกลางอากาศ!
กระบี่เดียวพวกอิงเทียนเซิงก็รู้สึกสิ้นหวัง
เปรียบเทียบกับสามร้อยกว่าปีก่อน พลังที่หลินสวินเผยออกมายามนี้แข็งแกร่งกว่าไม่รู้เท่าไร แม้แต่ขั้นไร้ขอบเขตอย่างพวกเขายังรู้สึกว่า ‘ภัยร้ายมาเยือนอย่างไม่อาจหลบหนี’!
“ฆ่า!”
อิงเทียนเซิงตาแดงก่ำ เสียงคำรามสะท้านฟ้า
ไม่มีใครนั่งรอความตาย ในช่วงอันตรายหาใดเปรียบนี้ทุกคนล้วนสู้สุดชีวิต
แต่เมื่อกระบี่นี้ฟันลงมา…
ปัง! ปัง! ปัง!
เงาร่างสายแล้วสายเล่าระเบิดออกภายใต้เจตกระบี่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น สลายกลายเป็นธุลี
คนพวกนี้ล้วนเป็นขั้นไร้ขอบเขตเล็ก แบกรับแรงกดดันของเจตกระบี่นั้นไม่อยู่โดยสิ้นเชิง ร่างกายไม่เหลือสภาพเหมือนกระดาษเปื่อย
เมื่อพลังกระบี่นี้ซ่านสลาย ในที่นั้นเหลือแค่ขั้นไร้ขอบเขตใหญ่อย่างอิงเทียนเซิงเพียงสี่คน แต่ละคนล้วนสภาพยับเยินบาดเจ็บ
อานุภาพของกระบี่เดียวน่ากลัวเพียงนี้เชียวหรือ!
เมื่อมองสีหน้าของพวกอิงเทียนเซิงอีกครั้ง ทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก
ไม่ว่าใครต่างไม่อาจจินตนาการว่าเวลาแค่หลักร้อยปีเท่านั้น พลังต่อสู้ของหลินสวินกลับแข็งแกร่งถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเช่นนี้!
“ถ้าพวกเรายอมก้มหัวตอนนี้ ยังแลกโอกาสรอดเสี้ยวหนึ่งได้หรือไม่”
อิงเทียนเซิงกล่าวเสียงต่ำลึก เจือความขมขื่นอย่างบอกไม่ถูก
“วันนี้หากข้าคนแซ่หลินยอมก้มหัว ทุกท่านจะยั้งมือไว้ไมตรีหรือไม่”
หลินสวินถามกลับ
พวกอิงเทียนเซิงพลันเงียบไป
จากนั้นความหวาดกลัวในสีหน้าพวกเขาเปลี่ยนเป็นความเคียดแค้น ก่อนลงมือพร้อมกัน
รู้อยู่ว่าต้องตายก็สู้สุดชีวิต
เสียงกัมปนาทดังก้องกลางฟ้าดิน เจตกระบี่ตัดสลับไขว้ขนาน
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง
พวกอิงเทียนเซิงล้วนร่างแหลกสลาย
ชิ้ง!
กระบี่มรรคในมือหลินสวินกลายเป็นแสงสายหนึ่งหายลับไป
…
โลกธรรม
“สำหรับอาจารย์ของเจ้า เจ้าคือตัวแปรล้มล้างอดีตอนาคต สำหรับพวกเรา เจ้าคือเคราะห์ที่นำพาความพินาศมาด้วย…”
ตู้เฟิงเผยสีหน้าหดหู่ พนมมือ เงาร่างกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่องหายไป
วันนั้นเหล่าศัตรูยุคธรรมถูกสังหารจนหมด
…
โลกพ่อมด
“แหล่งสถานอัศจรรย์จะเป็นสถานที่ฝังร่างของเจ้า!!”
เสียงคำรามเปี่ยมความไม่ยินยอมดังก้องฟ้าดิน
นัยน์ตาเวิงซิงไห่เปี่ยมความคั่งแค้นและอาฆาต จากนั้นร่างกายเขาแตกออกทุกกระเบียด
หลินสวินส่ายหัวพลางหันหลังจากไป
…
ช่วงเวลาต่อจากนั้นเงาร่างหลินสวินปรากฏตัวในโลกยุคสมัยต่างๆ เมื่อเขาจากไป ศัตรูที่กระจายอยู่ในโลกยุคสมัยเหล่านี้ล้วนพินาศย่อยยับ
ตอนนี้ในใจเขาไร้พันธนาการอีก จิตใจปลอดโปร่งโล่งสบาย
เดิมหนทางแห่งการแก้แค้นก็เป็นเช่นนี้ ไม่ตายไม่เลิกรา เมื่อตายจึงวางใจ
หนึ่งปีผ่านไป
หลินสวินกลับมาโลกวิญญาณยุทธ์
“แค่รอโลกบัวชะตามาเยือนครั้งหน้า ข้าก็จะไปแหล่งสถานอัศจรรย์”
หลินสวินไปพบเหล่าศิษย์พี่แห่งคีรีดวงกมล พร้อมบอกการตัดสินใจของตนออกมา
พวกจ้งชิวและรั่วซู่ไม่รู้สึกผิดคาด คิดอยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนี้
แต่เมื่อรู้ข่าวนี้จากปากหลินสวินก็ยังกังวลและอาลัยอย่างอดไม่ได้อยู่บ้าง
ยี่สิบปีต่อมา
บัวชะตามหามรรคปรากฏบนทะเลโชคชะตา เงาร่างของหลินสวินกับซย่าจื้อหายลับเข้าไปในโลกบัวชะตาพร้อมกัน โดยมีทุกคนบนภูเขาเทพถกมรรคคอยส่ง