Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 3160 ศิษย์เหนือกว่าอาจารย์
- Home
- Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์
- ตอนที่ 3160 ศิษย์เหนือกว่าอาจารย์
ตอนที่ 3160 ศิษย์เหนือกว่าอาจารย์
แดนเทพมากเร้น
โลกทมิฬ
บรรพจารย์วานรนั่งขัดสมาธิ กระบี่คู่สะพายหลังวางพาดเบื้องหน้า หนึ่งดำหนึ่งขาว ส่องประกายขับเน้นกัน
กระบี่ขาวนาม ‘ชิงผิงเล่อ’
กระบี่ดำนาม ‘เจ้อกูเทียน’
ชื่อนี้ตั้งขึ้นโดยราชันไท่ชู ว่ากันว่าเป็นชื่อป้ายในโลกปุถุชน
สำหรับบรรพจารย์วานร ชื่อไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือกระบี่มรรคคู่นี้เป็นส่วนหนึ่งของมรรคาของเขา เคียงคู่เขากรำศึกในทุกยุคสมัย และคอยอยู่เคียงข้างเขาฝึกปราณในกาลเวลาอันแสนลำบากยากเข็ญ
กระบี่ดุจชีวิตเขา
‘ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าลัทธิต้องรั้งคุณหนูไว้ที่นั่น เพราะให้คุณหนูหลบภัยหรือกังวลว่าคุณหนูจะก่อเรื่องกันแน่ หรือว่า… ทั้งสองอย่าง’
บรรพจารย์วานรลูบไล้กระบี่มรรคคู่อย่างแผ่วเบา จมสู่ห้วงคิด
ความคิดของเจ้าลัทธิลึกล้ำราวห้วงสมุทร โดยเฉพาะหลังจากมาถึงแหล่งสถานอัศจรรย์ยิ่งทำให้คนเดาไม่ออก
ถึงขั้นที่ปีนั้นหลังถูกโซ่กระบี่ของมือกระบี่ผู้นั้นกักขัง เจ้าลัทธิถึงขั้นไม่เคยพร่ำบ่นใดๆ ตรงข้ามกลับถอนหายใจเศร้าสลด กล่าวว่าบนโลกขาดคู่ต่อสู้ไปอีกหนึ่งคนช่างเศร้าเพียงใด
บรรพจารย์วานรไม่เข้าใจยิ่ง เป็นเพราะพลังของโซ่กระบี่นั่นกักขังเจ้าลัทธิไม่รู้กี่ยุคสมัย แต่เหตุใดเขากลับไม่เกลียดชังมือกระบี่คนนั้นสักนิด
กลับกัน หลังจากมือกระบี่คนนั้นเลือกฝึกปราณใหม่เข้าสู่วัฏจักรอีกครั้ง ในใจเจ้าลัทธิกลับเกิดความรู้สึกอ้างว้าง
หืม?
ทันใดนั้นนิ้วมือของบรรพจารย์วานรที่ลูบไล้บนกระบี่คู่หยุดกึก จากนั้นนัยน์ตาพลันหดรัด หว่างคิ้วเผยแววตกใจอย่างไม่อาจควบคุม
‘หลินสวินนั่นถึงกับเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคของข้าได้หรือ’
ชิ้ง! ชิ้ง!
สองกระบี่ดำขาวเกิดเสียงครวญสะเทือนราวกระสับกระส่าย จากจุดนี้เห็นได้ว่าสภาวะจิตของบรรพจารย์วานรในเวลานี้ไม่สงบนิ่งปานใด
พักใหญ่บรรพจารย์วานรหยัดตัวลุกขึ้น ลังเลเนิ่นนาน สุดท้ายก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง ล้มเลิกความคิดไปหาเจ้าลัทธิและคุณหนู
‘หรือว่านี่อาจเป็นตัวแปร… ที่เจ้าลัทธิอยากเห็นหรือ’
บรรพจารย์วานรพึมพำในใจ
…
โลกแปรปุถุชน
หลังเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคของบรรพจารย์วานร หลินสวินหยุดพักครึ่งเดือนเพื่อฝึกปราณ จากนั้นจึงออกเดินทางอีกครั้ง
อาณาจักรฉี เขาพายุ
เขานี้สูงหมื่นจั้ง บนนั้นสร้างอารามหนึ่งแห่ง ในอารามประดิษฐานรูปปั้นเทพ ที่ผ่านมาควันธูปคลุ้งโขมง เหล่าผู้ศรัทธาทั้งชายหญิงล้นหลาม
ในวันนี้หลินสวินมาแล้ว
เหมือนกับนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง ปีนขึ้นบันได สงบสบายใจ มองดูผู้คนตลอดทางที่หอบครอบครัวปีนเขาขึ้นมาเพียงเพื่ออธิษฐานขอพรเหล่านั้นก็ถอนใจเบาๆ ในใจอย่างอดไม่ได้
สำหรับคนธรรมดา ยามไร้แรงเปลี่ยนแปลงเรื่องบางอย่าง ส่วนใหญ่ล้วนจะเลือกฝากความหวังในการเปลี่ยนแปลงไว้กับการจุดธูปอธิษฐาน
เพียงแต่หลินสวินในฐานะผู้ฝึกปราณรู้ดียิ่งว่าในโลกแปรปุถุชนนี้ คําอธิษฐานของสรรพชีวิตนี้ถูกกำหนดให้เป็นเพียงดอกไม้ในกระจก เงาจันทร์บนผิวน้ำเท่านั้น
ขอเทพยังไม่สู้พึ่งตัวเอง
ไม่นานเงาร่างของหลินสวินก็มาถึงยอดเขาพายุ ที่นี่มีอารามงามวิจิตรแห่งหนึ่งตั้งอยู่ สิ่งก่อสร้างตั้งสลับเรียงราย ควันธูปคลุ้งโขมง
ด้านข้างอารามมีสระน้ำสระหนึ่ง ดอกบัวเบ่งบาน มีปลาแหวกว่ายอยู่ในนั้น
และสายตาของหลินสวินก็มองไปบนดอกบัวสีดำดอกหนึ่งตรงก้นสระ
ตูม!
ครู่ต่อมาดอกบัวสีดำนั่นส่องแสง กลายเป็นเงาร่างของเด็กสาวกระโปรงดำคนหนึ่งพุ่งพาดห้วงอากาศออกมา ผมขาวราวหิมะพลิ้วไหวระเอวบาง ดวงตาดุจดั่งทับทิมคู่นั้นเฉียบคมน่าหลงใหล
อีกาดำ!
บริวารอันดับหนึ่งของราชันไท่ชู!
ในคำเล่าขาน ไท่ชูเคยใช้พลังต้นกำเนิดเก้ายุคสมัยเพื่อหลอมฐานมรรคชั้นยอดให้อีกาดำก้าวสู้ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์ในคราวเดียว
และเมื่อราชันไท่ชูถูกขัง เก้าภาคีไท่ชูพวกนั้นล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของอีกาดำ
ฮูม…
ทันทีที่เด็กสาวกระโปรงดำปรากฏตัว นิ้วหยกเรียวยาวขาวเนียนก็แผ่เพลิงดำเปลวหนึ่งออกมา ขีดวาดกลางห้วงอากาศ เปลวเพลิงกระหวัดหาง เสมือนแสงที่ฉีกแหวกหมื่นกาล ทำให้ฟ้าดินแถบนี้พลันเปลี่ยนไปกะทันหัน
กลิ่นอายมืดมิด เงียบงัน เคร่งขรึมลอยคลุ้ง ที่ตามมาติดยังมีเปลวเพลิงมหาศาลพรั่งพรูออกมาราวดวงดาว ปูแผ่ทั่วจักรวาล
เพลิงแต่ละสายล้วนเหมือนโลกใบหนึ่ง ภายในโลกปรากฏกฎระเบียบมหามรรคที่เร้นลับคลุมเครือ
เปลวเพลิงมหาศาลประดุจมหามรรคนับไม่ถ้วนส่องประกายกลางฟ้าดิน!
‘หมื่นลักษณ์แปรมรรค มรรควิวัฒน์ไร้สิ้นสุด ล้วนหลอมรวมในเพลิง ความสำเร็จเช่นนี้ช่างน่าทึ่งจริงๆ…’
หลินสวินทอดถอนใจในใจ
รูปจำลองวิชามรรคของเฉินหลินคง มรรควิถีในตัวล้วนหลอมอยู่ในมรรคกระบี่
รูปจำลองวิชามรรคของบรรพจารย์วานร มรรควิถีในตัวล้วนหลอมอยู่ในมรรคแห่งสองลักษณ์
และรูปจำลองวิชามรรคของอีกาดำก็หลอมอยู่ในมรรคแห่งเพลิง
ล้วนเรียบง่ายเป็นหนึ่งเดียว แต่กลับสามารถวิวัฒน์นัยเร้นลับมหามรรคไร้สิ้นสุด!
นี่ก็คือหมื่นมรรครวมเป็นหนึ่ง หนึ่งวิวัฒน์หมื่นมรรค มีเพียงยามมรรคาไร้ขอบเขตบรรลุถึงขั้นน่าเหลือเชื่อเท่านั้นจึงสามารถหล่อมรรควิถีเช่นนี้ได้
ตูม!
เปลวเพลิงมหาศาลสั่นไหว เส้นสายเร้นลับพุ่งเข้าใส่หลินสวินด้วยอานุภาพแผ่ครอบฟ้าดิน
หลินสวินไม่กล้าละเลย จดจ่อเพ่งสมาธิเข้าต่อสู้
…
แดนเทพมากเร้น
ในโลกมืดมนราวแรกกำเนิดแถบหนึ่ง
บนกิ่งไม้จู่ๆ อีกาดำร้องเอ๋เสียงเบา จากนั้นเสียงผึงดังคราหนึ่ง กลายเป็นเด็กสาวกระโปรงดำ ผมขาวราวหิมะนุ่มสลวยทิ้งตัวลงมาราวน้ำตก
หัวคิ้วนางขมวดเข้าหากัน นิ้วหยกเรียวยาวขาวเนียนกำเป็นประทับแปลกประหลาดชิ้นหนึ่ง ทันใดนั้นพลังแห่งกฎกรรมโชคชะตาที่คลุมเครือเร้นลับเป็นสายๆ ก็ไหลหลั่งออกมา
กลางฝ่ามือของนางค่อยๆ ผุดม่านแสงพร่าเลือนดั่งมายาขึ้นสายหนึ่ง บนนั้นปรากฏการต่อสู้ดุเดือดบนยอดเขาพายุของอาณาจักรฉีในโลกแปรปุถุชน
แต่ไม่ทันรอให้ม่านแสงชัดเจนก็แตกกระจายสลายไปอย่างปุบปับ
เด็กสาวกระโปรงดำส่งเสียงอู้อี้ออกมา ริมฝีปากหลั่งเลือดสายหนึ่ง
ดวงตาแดงประหลาดของนางพลันเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบน่าสะพรึง พลังขับเคลื่อนทั้งตัวล้วนส่อแววพลิกตลบ
“เหอะ อีกาน้อย นี่เรียกว่าเจ้าหาเรื่องใส่ตัว”
ทันใดนั้นส่วนลึกใต้พื้นนั่นมีเสียงหัวเราะสายหนึ่งดังขึ้น “ในแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้ อาศัยแค่มรรควิถีน้อยนิดนั่นของเจ้ายังกล้าฝันเฟื่องถึงจุดเปลี่ยนอีกหรือ”
เด็กสาวกระโปรงดำก้มหน้ากล่าวว่า “เจ้าลัทธิ ข้าเพียงแค่อยากดูว่าตอนนี้หลินสวินนั่นมีฝีมือแค่ไหนแล้ว แต่ใครจะคาดคิด…”
“ที่นี่คือแหล่งสถานอัศจรรย์ เจ้าทำเช่นนี้เท่ากับหาเรื่องใส่ตัว อย่าว่าแต่เจ้า แม้แต่ข้าก็ไม่อาจไปฝืนอนุมาน หาไม่กฎกรรมย่อมเกิด จุดเปลี่ยนย่อมมา เคราะห์สังหารต้องปรากฏ ดึงผมเส้นเดียวสะเทือนไปทั้งตัว”
เสียงของไท่ชูเปลี่ยนเป็นอ่อนลง “เจ้าน่ะแค่สงบใจรออยู่ที่นี่ รอดูว่าตัวแปรนั่นจะก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนในตอนสุดท้ายก็พอ มีข้าอยู่ ไยต้องให้เจ้ามากังวลเรื่องอื่นด้วยเล่า”
“แต่พวกบรรพจารย์วานร เก้าภาคีไท่ชูล้วนอยู่ที่นั่นกันหมด หากว่าพวกเขา…”
เด็กสาวกระโปรงดำอดกล่าวไม่ได้
แต่พูดไม่ทันจบก็ถูกไท่ชูตัดบท “บนมหามรรคต่างคนต่างมีเส้นทางต้องเดิน รู้หรือไม่ว่าเหตุใดจอมมรรคชะตาสวรรค์เก้าภาคีนั่นจึงยังไม่อาจเหยียบย่างขั้นสัมบูรณ์ในขอบเขตพลังนี้ ก็เพราะไม่อาจตัดขาดการพึ่งพาที่มีต่อข้าในหัวใจได้!”
“สำหรับพวกเขา ข้าก็คือพันธะของพวกเขา ล้วนครอบครองมรรควิถีเช่นในปัจจุบันแล้ว หากแม้แต่จุดนี้ยังมองไม่ออก ชาตินี้ทั้งชาตพวกเขาก็อย่าหวังจะก้าวหน้าอีกเลย!”
กล่าวถึงตรงนี้เสียงของไท่ชูเปลี่ยนเป็นอ่อนลงอีกครั้ง “ส่วนบรรพจารย์วานร เจ้าไม่ต้องกังวล ล้วนเหยียบย่างขั้นสัมบูรณ์ของขอบเขตนี้กันหมด มีคุณสมบัติประชันหมากในแหล่งสถานอัศจรรย์แห่งนี้แล้ว”
เด็กสาวกระโปรงดำพยักหน้าน้อยๆ ในใจกลับมีข้อสงสัยอย่างหนึ่งที่ไม่อาจเอ่ยออกมาได้
เหตุใดบรรพจารย์วานรสามารถปฏิบัติภารกิจที่โลกภายนอกได้ มีแต่ข้าที่ต้องอยู่ที่นี่
นางไม่กล้าถาม
“อีกาน้อย เจ้าว่าหลินสวินคนนี้สามารถเอาชนะลำดับหนึ่งในระเบียบมรรควัฏจักรได้มากน้อยแค่ไหน” จู่ๆ ไท่ชูกลับเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม
“นี่…”
เด็กสาวกระโปรงดำเริ่มครุ่นคิด
“ค่อยๆ คิด ไม่ต้องรีบ”
ไท่ชูกล่าวเสียงเบา
เวลาเคลื่อนคล้อยทีละนิด เนิ่นนานกว่าเด็กสาวกระโปรงดำจะเอ่ยขึ้น “เจ้าลัทธิ โดยส่วนตัวข้าย่อมไม่ยินดีให้หลินสวินเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคลำดับหนึ่งของใครก็ตาม เพราะหากเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ว่าตัวแปรอย่างเขาอันตรายเกินไป”
“เช่นนี้ก็อันตรายแล้วหรือ”
จู่ๆ เสียงของไท่ชูก็เปลี่ยนเป็นละเอียดอ่อน “ไม่ เช่นนี้ยังห่างไกลไม่เพียงพอ”
เด็กสาวกระโปรงดำอึ้งไป
และในเวลานี้ในใจนางสั่นสะท้าน หน้าเปลี่ยนสีกะทันหันแล้วกล่าว “เขา… เขา…”
“เขาเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคของเจ้าได้แล้วหรือ”
ไท่ชูกล่าว
เด็กสาวกระโปรงดำพยักหน้าฝืดเฝื่อน “ใช่”
“ปีนั้นยามเจ้าอยู่โลกแปรปุถุชนก็เป็น ‘จอมมรรคไร้ขอบเขต’ ห่างจากขั้นสัมบูรณ์เพียงก้าวเดียว หากสันนิษฐานเช่นนี้ มรรควิถีที่เจ้าหลินสวินนี่ครอบครองในปัจจุบันก็อยู่ในระดับนี้เช่นกัน”
ไท่ชูกล่าว “แต่นี่ยังไม่พอ ในเมื่อเป็นตัวแปรที่ไม่เคยมีมาก่อนในหมื่นกาล ย่อมต้องมีพลังที่ต่างออกไปจึงจะได้… เช่นนั้นก็ค่อยๆ ดูไปก่อน… อย่าทำให้ข้าผิดหวังเด็ดขาด…”
ฟังถึงตรงนี้เด็กสาวกระโปรงดำยังอึ้งงัน เหตุใดเจ้าลัทธิเขาจึงหวังให้หลินสวินนั่นยิ่งแข็งแกร่งยิ่งดี
…
หลินสวินชนะแล้ว
ไม่ถึงกับง่ายดาย แต่ก็ไม่ถึงขั้นเสี่ยงวิกฤตมากนัก
ต่างกับการเอาชนะเฉินหลินคงและบรรพจารย์วานร การเอาชนะอีกาดำหลินสวินไม่ได้เสียเวลามากเกินไปนัก เพราะทันทีที่เริ่มการต่อสู้ก็ต่อสู้อย่างดุเดือดที่สุด ไม่ยอมให้หลินสวินออมมือใดๆ
ห้ำหั่นดุเดือดเช่นนี้เกือบหนึ่งชั่วยาม หลินสวินที่สู้จนบาดเจ็บหนักไปทั้งตัวถึงเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้
เวลานี้ย้อนนึกถึงการต่อสู้ก่อนหน้านี้โดยละเอียด และเทียบกับเฉินหลินคงกับบรรพจารย์วานรอีกครา หลินสวินถึงค่อยเข้าใจว่าเหตุใดยอดบุคคลสามคนนี้จึงอยู่ลำดับหนึ่งร่วมกัน
สาเหตุอยู่ที่แม้ว่ามรรคาของพวกเขาจะไม่เหมือนกัน ทว่ามรรควิถีที่ครอบครองในปีนั้นล้วนพบเจอปัญหาคอขวดที่คล้ายคลึงกันในขั้นพลังนี้!
และปัญหาคอขวดนี้ก็คือจุดสำคัญที่จะก้าวสู่ขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์!
‘ดูท่า มรรควิถีในตอนนั้นของพวกเขาน่าจะเป็นจอมมรรคไร้ขอบเขต อีกเพียงก้าวเดียวก็สามารถก้าวสู่ขั้นสัมบูรณ์…’
หลินสวินท่าทางคล้ายขบคิด
ถึงขั้นที่เขารู้สึกรางๆ ว่าอย่างอาจารย์หรือจักจั่นทอง หลังมาถึงโลกแปรปุถุชนในตอนนั้นก็อยู่ในขั้นพลังเช่นนี้เหมือนกัน
หาไม่ย่อมเป็นไปไม่ได้เด็ดขาดที่จะเกิดเหตุการณ์อยู่ลำดับหนึ่งร่วมห้าคน
ทว่าหลินสวินรู้ดียิ่งว่าตนและพวกเขาไม่เหมือนกัน
อย่างน้อยมรรควิถีในตอนนี้ของเขาน่าจะถือว่าอยู่ขั้นไร้ขอบเขตขั้นกลางสัมบูรณ์ ยังไม่เคยเข้าสู่ขั้นปลาย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์
‘ในระเบียบมรรควัฏจักรไม่เห็นเพียงรูปจำลองวิชามรรคของไท่ชู เฉินซี และมือกระบี่คนนั้น หรือว่าปีนั้นหลังจากพวกเขามาถึงที่นี่ มรรควิถีในตัวก็เหยียบย่างขั้นไร้ขอบเขตสัมบูรณ์แล้ว เป็นผลให้วิชามรรคของพวกเขาไม่อาจปรากฏในระเบียบมรรควัฏจักรนี้หรือ’
‘หรือกล่าวได้ว่า ในหมู่พวกเขามีคนที่เหมือนกับข้า ที่ต่อให้เอาชนะรูปจำลองวิชามรรคลำดับหนึ่งได้ก็ยังชักนำผลมรรคแรกกำเนิดไม่ได้’
คิดถึงตรงนี้ในใจหลินสวินก็ผุดอารมณ์ซับซ้อนระลอกหนึ่ง
กรำศึกต่อสู้มาจนบัดนี้ กลับไม่สามารถชักนำผลมรรคแรกกำเนิดมาได้ นี่ทำให้หลินสวินประหม่าอยู่บ้างอย่างไม่อาจเลี่ยงเช่นกัน ถึงอย่างไรซย่าจื้อก็รอคอยที่โลกภัยพิบัติอยู่ตลอด
แต่ก็มีความรู้สึกรอคอยที่บอกไม่ถูกอีกอย่าง
นั่นก็คือหากตนสามารถเอาชนะรูปจำลองวิชามรรคที่อาจารย์ทิ้งไว้ปีนั้นในโลกนี้ได้ นี่น่าจะพอเรียกได้ว่า ‘ศิษย์เหนือกว่าอาจารย์’ ได้กระมัง