Battling Records of the Chosen One บันทึกศึกผู้กล้าท้าสวรรค์ - ตอนที่ 950
ตอนที่ 950 ชายหนุ่มที่หลงผิด
หน้ายานสำเภา น้ำขุ่นในแม่น้ำซัดสาดถาโถม ม้วนตัวขึ้นราวกับคลื่นหิมะ
เสื้อผ้าของซุ่นไป๋เสวียนโบกสะบัดไปตามสายลม ผมยาวพลิ้วไหว มุมปากเหยียดโค้งเย่อหยิ่ง พูดเรียบๆ “ไป เรียกเทพมารหลินออกมา ข้าจะสู้กับเขาสักยก!”
บนยานสำเภา พวกของโค่วซิงต่างอึ้งงัน
เพิ่งโจมตีกลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์จนยับเยิน ตอนนี้ชายหนุ่มที่ดูเย่อหยิ่งอย่างมากโผล่มาอีกคน ทำให้พวกเขาเหนือความคาดหมายจริงๆ
ทว่าแตกต่างจากคราวก่อน พวกเขารู้ฐานะของ ‘คุณชายหลินซย่า’ คนนั้นแล้วว่าไม่ใช่นักชำนาญวิญญาณอะไร แต่เป็นเทพมารหลินที่ตอนนี้ชื่อเสียงสะเทือนไปทั้งแดนฐิติประจิม!
ในฐานะผู้ฝึกปราณที่โตในแดนฐิติประจิม พวกเขารู้ดีอย่างที่สุดว่าชื่อเสียงของเทพมารหลินโด่งดังเพียงใด ทำให้ผู้แข็งแกร่งแดนฐิติประจิมมากมายพูดถึงแล้วต่างหน้าเปลี่ยนสี เป็นบุคคลที่แข็งแกร่งอย่างแน่นอน
และเมื่อครู่นี้พวกเขาก็ได้เห็นแล้วว่าหลินสวินสังหารกลุ่มผู้แข็งแกร่งลัทธิเพลิงศักดิ์สิทธิ์พวกนั้นอย่างไร ในสถานการณ์เช่นนี้ ตอนที่เห็นว่าซุ่นไป๋เสวียนกระโดดออกมาประกาศกร้าวว่าจะสู้กับหลินสวิน สีหน้าของพวกเขาต่างแปลกพิกลขึ้นมา
หรือนี่เป็นคนโง่คนหนึ่ง
ไม่ใช่สิ ท่าทางดูเป็นผู้เป็นคน แต่เหตุใดจึงไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเช่นนี้
พวกเขาฉงนใจ สีหน้าอดแฝงความเวทนาไม่ได้ ราวกับกำลังมองคนซื่อที่ไม่มีความคิดคนหนึ่ง
ซุ่นไป๋เสวียนอึ้งไป รับรู้ได้อย่างฉับไวว่าบรรยากาศดูผิดปกติ คนพวกนั้นมองมาด้วยสายตาอะไรกัน น่ารังเกียจเกินไปหรือเปล่า
เขาตะคอก “นิ่งอยู่ทำไม รีบไป! ทำข้าหัวเสียเข้า ระวังจะเดือดร้อน!”
เพียงแต่พวกโค่วซิงได้ยินเช่นนี้ ไม่เพียงไม่ตกใจ สีหน้ากลับยิ่งดูเวทนา นี่มันคนโง่ที่โผล่มาจากไหนกัน รู้ทั้งรู้ว่าคุณชายหลินสวินอยู่ ยังจะร้องเอะอะคุยโวโอ้อวด อยากตายมากนักหรือไง
“เขาคงไม่ได้มาเพราะต้องการชื่อเสียงหรอกนะ ถึงอย่างไรตอนนี้แม้พ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของคุณชายหลินสวิน พูดออกไปก็ยังเป็นเรื่องที่มีเกียรติ” เจ้าหน้าเขียวขมวดคิ้วพูด
“คงจะเป็นเช่นนั้น คนแบบนี้น่ารังเกียจที่สุด เพื่อชื่อเสียง แม้แต่ศีลธรรมก็ไม่สนใจแล้ว เกียรติของโลกผู้บำเพ็ญก็ถูกคนแบบนี้ทำลายนั่นแหละ” จงอางแดงไม่ปกปิดความเย้ยหยันของตนเลยสักนิด
“โลกเสื่อมเสียลงทุกวัน ใจคนก็ถดถอย เจ้าหมอนี่อยากมีชื่อเสียงจนบ้าไปแล้ว” โค่วซิงสีหน้าเคร่งขรึม โจมตีอย่างจริงจัง
ซุ่นไป๋เสวียนเบิกตาโพลง แทบไม่กล้าเชื่อหูตัวเอง เจ้าพวกนี้ถึงกับ… ถึงกับกล้ากล่าวโทษตนขนาดนี้
เขาโกรธจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา ฝึกปราณจนถึงตอนนี้ เขาถูกมองว่าเป็น ‘ราชันมารจอมก่อกวน’ ใครเห็นก็ต้องกลัว ไม่มีใครกล้าดูหมิ่น
แต่ตอนนี้กลับถูกมองว่าเป็นตัวตลกที่ไม่มีศีลธรรม อยากจะมีชื่อเสียง!
คนพวกนี้ไม่อยากอยู่แล้วหรือ
ซุ่นไป๋เสวียนสีหน้ามืดทะมึนลง!
ห่างออกไป ลั่วเจียที่เห็นภาพนี้ก็อดเผยสีหน้าประหลาดไม่ได้ พยายามกลั้นไม่ให้หัวเราะออกมา คิดไม่ถึงเลยว่ายังไม่เจอหลินสวินด้วยซ้ำ ซุ่นไป๋เสวียนก็ถูกกล่าวโทษโจมตีก่อนแล้ว
ในใจเขาคงกำลังจะคลั่งแล้วซินะ
ลั่วเจียรู้ดีว่าแม้ซุ่นไป๋เสวียนจะยโสโอหังและหยิ่งผยองมาก แต่กลับไม่สนใจไปสร้างความลำบากให้คนที่ไม่อยู่ในสายตาเขา จึงไม่ได้กังวลว่าซุ่นไป๋เสวียนจะคลั่งจนทำร้ายคน
“หุบปาก!” ซุ่นไป๋เสวียนตะเบ็งเสียง กลิ่นอายน่ากลัวพลุ่งพล่านทั่วร่างกาย ประกายศักดิ์สิทธิ์สีทองมากมายปรากฏขึ้น ขับเน้นให้ร่างเขาเป็นสีทองอร่ามทั้งตัว ราวกับเทพอย่างไรอย่างนั้น
พวกโค่วซิงแข็งทื่อไปทั้งตัว แต่กลับไม่ได้กลัว เพียงแค่แปลกใจมาก เจ้าโง่นี่ก็ดูเหมือนจะมีฝีมืออยู่บ้าง ถึงได้กล้ามาท้าทายคุณชายหลินสวินถึงแม่น้ำพรมแดน
“สหาย ข้าขอเตือนเจ้าสักประโยค รีบจากไปเถอะ บนโลกนี้มีวิธีที่ทำให้เจ้ามีชื่อเสียงมากมาย ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีทำให้ตนเองอับอายเช่นนี้”
โค่วซิงเตือน
“เจ้า… เจ้าบอกว่าข้าทำให้ตนเองอับอายเช่นนั้นหรือ” ซุ่นไป๋เสวียนชี้ตัวเองราวกับยากจะเชื่อ โกรธจนแผ่แสงสีทองทั่วร่างกาย แทบอยากจะฆ่าคน
“แม้คำพูดจะไม่น่าฟังไปบ้าง แต่ยาดีมักขมปาก ข้าเองก็หวังดีกับเจ้า ฟังคำเตือนของข้าสักครั้ง เจ้ายังอายุน้อย อย่าสูญเสียศักดิ์ศรีและศีลธรรมที่เป็นพื้นฐานที่สุดเพื่อชื่อเสียง เช่นนี้แม้สามารถมีชื่อเสียงได้ แต่จะถูกคนนินทาลับหลัง”
โค่วซิงคิดไปตามสัญชาตญาณว่า ที่ซุ่นไป๋เสวียนโกรธขนาดนี้เพราะถูกตนเปิดโปงความคิด จึงอายจนโกรธ
นี่ทำให้เขาอดหดหู่ใจไม่ได้ หนุ่มสาวสมัยนี้อวดดีและฉุนเฉียวขึ้นเรื่อยๆ เก็บอาการไม่อยู่เลยสักนิด
“สหาย รีบไปเถอะ หากคุณชายหลินถูกรบกวนเข้า ผลลัพธ์จะร้ายแรงมาก”
“เจ้าอายุยังน้อย อย่าทำเรื่องโง่ๆ หลงทางผิดเพียงครั้งเดียวจะกลายเป็นความชิงชังชั่วนิรันดร์ เจ้าจะต้องยืนหยัดให้ได้ อย่าหลงผิดในช่วงเวลาเช่นนี้”
เจ้าหน้าเขียวและจงอางแดงเองก็ส่งเสียงเตือนด้วยท่าทีจริงใจ
หลงผิด… หลงผิด… หัวสมองของซุ่นไป๋เสวียนมึนงง ใบหน้าเขียวไปหมด โกรธจนมือเท้าสั่น แผ่ไอสังหารที่น่ากลัวอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ไปทั่วทั้งตัว
โดนดูถูกขนาดนี้ เขามีใจจะเปิดฉากสังหารแล้วจริงๆ น่าโมโหเกินไปแล้ว ดันเห็นเขาซุ่นไป๋เสวียนเป็นเด็กหนุ่มที่กำลังจะหลงผิดงั้นหรือ นี่หากเผยแพร่ออกไปจะต้องถูกหัวเราะเยาะอย่างแน่นอน!
ลั่วเจียไม่อาจมัวแต่มองดูความครื้นเครงได้อีก นัยน์ตาใสกระจ่างหดรัด สัมผัสได้ว่าซุ่นไป๋เสวียนกำลังจะระเบิดแล้ว หากเจ้าหมอนี่คลั่งขึ้นมา จะต้องได้เห็นเลือดอย่างแน่นอน!
แม่นางเยวี่ยที่เงียบดูอยู่ข้างๆ เองก็ไหวหวั่น ทั้งระแวงและระวังขึ้นมา
ตอนที่หลินสวินเดินออกจากห้องก็เจอเข้ากับฉากนี้
เมื่อเห็นลั่วเจียเขาอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็หันมองซุ่นไป๋เสวียน เห็นสีหน้าอึมครึมและอัดอั้นจนแทบจะกระอักเลือด ตัวเขาเองก็อดนึกขำไม่ได้
เห็นได้ชัดว่าพวกของโค่วซิงคิดว่าเจ้าหมอนี่ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของตน จึง ‘เตือนด้วยความหวังดี’ เช่นนี้
ใครจะคิดว่ากลับทำให้เจ้าหมอนี่โกรธจนจะระเบิดแล้ว
พูดตามจริง ความแข็งแกร่งของกลิ่นอายที่ซุ่นไป๋เสวียนเผยออกมาทำให้เขารู้สึกแปลกใจไม่น้อย เทียบกับอวี่หลิงคงแล้วยังไล่เลี่ยกัน
นี่เป็นบุคคลแห่งยุคอีกคนที่ไม่รู้โผล่มาจากไหนอย่างไม่ต้องสงสัย อีกอย่างดูจากท่าทาง เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่เย่อหยิ่งอวดดี
พรึ่บ!
ทันใดนั้นสายตาของซุ่นไป๋เสวียนราวกับสายฟ้าสว่างไสว จับจ้องหลินสวิน น่ากลัวราวกับคมมีด เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดพร้อมสีหน้าอึมครึม “เจ้าก็คือเทพมารหลินนั่นหรือ เจ้าปรากฏตัวได้ทันเวลามาก หากช้ากว่านี้เพียงนิด พรรคพวกเหล่านี้ของเจ้าก็คงจะประสบเคราะห์แล้ว!”
หลินสวินขมวดคิ้ว “พูดเช่นนี้ เจ้ามาหาเรื่องงั้นหรือ”
ระหว่างที่พูดเขาเหลือบมองลั่วเจียแวบหนึ่ง ผู้สืบทอดอริยะกระบี่ที่มาจากตำหนักปรกอุดมแห่งแดนประมุขพิภพคนนี้ สร้างความประทับใจให้เขาอย่างลึกซึ้ง
เพียงแต่ตอนนี้เขากลับไม่แน่ใจว่าอีกฝ่ายมาอยู่ที่นี่เพราะเหตุใด
‘ลั่วเจียคารวะคุณชาย’ ห่างออกไป ลั่วเจียสื่อจิตมา น้ำเสียงแฝงความจนปัญญา เล่าความเป็นมาเป็นไปให้กับหลินสวิน
หลินสวินเพิ่งจะเข้าใจ ที่แท้เจ้าคนที่ชื่อซุ่นไป๋เสวียนนี่ก็เล็งสมบัติของตนไว้ จึงจะมาแย่ง
‘คุณชาย อุปนิสัยของเจ้าหมอนี่ก็ไม่ได้แย่ หากมีอะไรที่ล่วงเกินโปรดอย่าถือสา’ ลั่วเจียถอนหายใจเบาๆ
แก้ตัวกับหลินสวินเช่นนี้ ทำให้นางเองก็อดอึดอัดไม่ได้
และกับเรื่องนี้ หลินสวินเพียงยิ้มน้อยๆ ไม่พูดอะไร อีกฝ่ายถึงขั้นจ้องสมบัติของตนจนวิ่งมาปล้นแล้ว หากเปิดศึกจริงๆ เขาจะไม่เกรงใจแน่!
“เทพมารหลิน เป้าหมายที่ข้ามาครั้งนี้ง่ายมาก ได้ยินว่าพลังต่อสู้ของเจ้าไม่เลว จึงคันไม้คันมือจนทนไม่ไหว อยากจะดวลกับเจ้า หากข้าชนะ เจ้าต้องให้ข้ายืมสมบัติอริยะในมือเจ้ามาเล่นสักหน่อย หากข้าแพ้ เจ้าจะจัดการอย่างไรก็ย่อมได้ เป็นอย่างไร”
ซุ่นไป๋เสวียนในตอนนี้ดูไม่มีความอดทนอย่างมาก บอกเจตนาโดยตรง เพราะเขากำลังจะควบคุมความโกรธของตนไม่ไหวแล้ว
ถูกคนเหยียดหยามและสั่งสอนเช่นนี้ แทบจะกลายเป็นคนหนุ่มที่หลงผิด การดูถูกเช่นนี้เขาจะทนได้อย่างไร
เขาต้องการที่ระบาย!
และหลินสวินคือที่ระบายที่ไม่เลวอย่างไม่ต้องสงสัย
“ถ้าข้าไม่ตอบรับล่ะ” หลินสวินเลิกคิ้วถาม เจ้าหมอนี่อวดดีจริงๆ เข้ามาท้าทายถึงที่ยังเย่อหยิ่งและมั่นใจเช่นนี้
“ไม่รับก็ต้องรับ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเจ้า!” ซุ่นไป๋เสวียนพูดอย่างไม่พอใจ “แม้เจ้าจะกลัว ก็ต้องสู้ก่อนค่อยว่ากัน!”
พวกโค่วซิงอึ้ง เจ้าโง่คนนี้อาการหนักจริงๆ สมองระดับนี้คงไม่มีใครอีกแล้ว
หากซุ่นไป๋เสวียนรู้ความคิดของพวกเขาคงเดือดดาลจนคลั่งแน่ พูดตามจริง ตั้งแต่เขาฝึกปราณมายังไม่เคยโดนดูถูกเช่นนี้มาก่อน!
“ลูกหลานตระกูลซุ่นเปลี่ยนเป็นคนเกินเหตุขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” จู่ๆ แม่นางเยวี่ยก็พูดขึ้น เสียงแฝงความเยียบเย็นสายหนึ่ง
“อย่าเอาฐานะของข้ามาพูด สำหรับข้า ชื่อเสียงของตระกูลเป็นเพียงแค่ภาระหนึ่ง ไม่มีก็ไม่เห็นเป็นไร!” ซุ่นไป๋เสวียนตะคอก ดูหยิ่งผยองอย่างมาก ก็ไม่รู้ว่าเมื่อบรรพบุรุษของเขาได้ยินเข้าจะโกรธจนไม้โลงศพยังกดไม่อยู่หรือไม่
แม้แต่แม่นางเยวี่ยยังอึ้ง ผู้แข็งแกร่งตระกูลซุ่นในความทรงจำของนางไม่ใช่แบบนี้เด็ดขาด บอกว่าเขาเป็นคนโง่ยังเป็นการชื่นชมเกินไป
ลั่วเจียยิ้มขื่น เพราะมีเพียงนางที่รู้ดีที่สุดว่าที่ซุ่นไป๋เสวียนพูดเป็นความจริง เขาเป็นราชันมารจอมก่อกวนที่ทำอะไรตามอำเภอใจ ไม่เกรงกลัวใครจริงๆ แม้แต่คนในตระกูลยังปวดหัวกับเขา หลายปีมานี้เพราะเขาก่อเรื่อง คนในตระกูลตามเช็ดตามล้างให้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว
“หลินสวิน เจ้าจะสู้หรือไม่สู้กันแน่ เจ้าเลื่องชื่อว่าเป็นเทพมารไม่ใช่หรือ เอามาดของเทพมารออกมา เข้ามาสู้สักยก!” ดวงตาเย็นเยียบของซุ่นไป๋เสวียนปลดปล่อยสายฟ้า อานุภาพชวนกดดัน
“ในเมื่อเจ้าจะสู้ อย่างน้อยก็ต้องรอหลินสวินฟื้นตัวก่อน เจ้าทำเช่นนี้ถือว่าชนะอย่างไม่โปร่งใส” แม่นางเยวี่ยเหมือนดูนิสัยของคนผู้นี้ออก จึงพูดเสียงเย็น
ซุ่นไป๋เสวียนอึ้ง ครู่หนึ่งจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอ เวลาหนึ่งก้านธูปพอหรือไม่”
คำพูดนี้ออกจากปาก ถือว่าทำให้ทุกคนเปลี่ยนภาพจำต่อเขาไปไม่น้อย แม้เจ้าหมอนี่จะหยิ่งผยอง แต่กลับมีความเที่ยงตรง ไม่ฉวยโอกาสรังแกคน
ที่เหนือความคาดหมายของทุกคนคือ ตอนนี้เอง จู่ๆ เสียงใสเย็นที่พาให้คนใจสั่นพลันดังขึ้นในบริเวณนั้น
“ไม่ต้องยุ่งยากขนาดนั้น ข้าเล่นเป็นเพื่อนเจ้าเอง” พร้อมๆ กับเสียงนั่น ซย่าจื้อในชุดคลุมสีดำตัวหลวมปรากฏตัวในที่นั้น ทั่วร่างแผ่ระลอกอันมืดมนที่เงียบสงัดออกมา
หลินสวินลอบอุทานว่าแย่แล้ว เมื่อครู่นี้ถูกขัดจังหวะการสนทนากับตน ทำให้นางหนูนี่ไม่ชอบใจมาก ตอนนี้เห็นได้ชัดว่านางไม่พอใจซุ่นไป๋เสวียนนี่อย่างที่สุด ถึงขั้นเป็นฝ่ายก้าวออกมาเองแล้ว
ในเวลาเดียวกัน นัยน์ตาลั่วเจียหดรัดลง ในใจสั่นสะท้าน เป็นนาง!
เพียงชั่วพริบตาเท่านั้น นางก็นึกถึงภาพนองเลือดที่เกิดขึ้นบนแท่นมรรคในเทศกาลโคมกถามรรค ตอนนั้นเด็กสาวคนนี้ราวกับเทพที่มาจากความมืด สังหารภายในการโจมตีเดียว กวาดล้างบุคคลแห่งยุคอย่างพวกมู่เจี้ยนถิง หลี่ชิงฮวนราวกับเชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้นางเองยังรู้สึกหวาดกลัวอย่างที่สุด
พูดได้ว่า อย่าเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเพียงแค่เด็กสาวที่ร่างกายแบบบางอ่อนโยน ทว่าแท้จริงแล้วเป็นบุคคลที่อันตรายเสียยิ่งกว่าเทพมารหลินอย่างแน่นอน!