Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 11 พรวิเศษ
กองหนุนของลีซเนปเดินทางมาถึงภายในหมู่บ้านพร้อมกับแสงแรกของวันใหม่สาดส่อง ภาพของชายหนุ่มที่เสื้อผ้าเปรอะไปด้วยคราบเลือดเดินผ่านกองซากศพด้วยของนักรบสโจรกาดนับสิบนายด้วยความเหนื่อยล้าตรงมายังทางออกท้ายหมู่บ้าน แม่ทัพแคสเซียลสะบัดบังเหียนส่งสัญญาณให้ม้าก้าวเดินไปหาชายปริศนาทันที
“ไอ้หนุ่ม นี่เกิดอะไรขึ้น”
ไลฟ์ชะงักเท้าเงยหน้ามองนายทหารเคราขาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง ก่อนจะก้มหน้าออกเดินต่อไป
“มาช้าไปแล้วลุง พวกนั้นหนีไปหมดแล้ว”
“หนีไป…มันยังไงกัน”
ไร้ซึ่งคำตอบจากปากของเด็กหนุ่ม มีเพียงเสียงของนักรบเฒ่าที่ลอยมาจากกลางวงล้อมของกองทหารแห่งลีซเนป
“ช่างเขาเถอะท่านแม่ทัพ”
เสียงที่เคยผ่านโสตมาหนหนึ่งแล้วทำให้ไลฟ์เงยหน้าขึ้นมองไปทางต้นเสียง นักรบเฒ่าเคลื่อนม้าออกมาจากวงล้อมเพื่อพูดคุยกับเขาอย่างช้าๆ
“เจอกันอีกแล้วนะลุง ดาบสั้นของลุงใช้ดีมากเลยล่ะ แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสได้ใช้สักเท่าไร”
สิ้นเสียงการทักทายแม่ทัพแคสเซียลตวาดสุดเสียงพร้อมชักดาบออกมา
“บังอาจ!!!”
นักรบเฒ่าตบที่ไหล่ของแม่ทัพเบาๆ พร้อมส่ายหน้าเป็นเชิงห้ามปราม เพราะไม่อยากให้ใครได้รับรู้ถึงตัวตนของเขา ก่อนจะหันมาคุยกับไลฟ์อีกครั้ง
“ทั้งหมดนี่ฝีมือเธอใช่มั้ย”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับ เพียงแต่ ณ เวลานี้เด็กหนุ่มไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกต่อไปแล้วทำเขาล้มลงหมดสติไปทันที นักรบเฒ่าออกคำสั่งกับคนของเขาอย่างรวดเร็ว
“ตัวเด็กหนุ่มคนนี้เขาเป็นผู้ดูแลวิหาร พาเขากลับไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์ซะให้เขาพักรักษาตัวที่นั่น ส่วนคนที่เหลือให้มุ่งหน้าไปสมทบกับทัพหลักที่เมืองเซเครสทันที”
“น้อมรับคำสั่ง!!”
ก่อนเคลื่อนพลนักรบเฒ่าหันมากำชับกองรบใต้บังคับบัญชาอีกครั้ง
“แล้วก็เจ้าหนุ่มนั่น เราอยากให้พวกท่านเก็บฐานะของเราเอาไว้อย่าได้เปิดเผยให้เขารับรู้เด็ดขาด ถ้าเขารับรู้เราเป็นใคร เขาคงไม่เคลื่อนไหวหรือทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับเราอีก”
“รับด้วยเกล้าฝ่าบาท”
สายลมที่พัดผ่านธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์โชยมาพร้อมกับแขกผู้มาเยือนที่เข้ามาทักทายเทพเจ้าถิ่นที่กำลังนอนพักสายตาท่ามกลางเงียบสงบอย่างเป็นกันเอง
“ท่าทางสบายใจจังเลยนะ ทั้งๆ ที่สีหน้าไม่สดใสเหมือนอย่างทุกที”
เฟอัสก์ลืมตาขึ้นอย่างช้าๆ พบกับพี่สาวของตนกำลังทรุดตัวลงนั่งข้างๆ เขา
“ไม่ใช่ว่าท่านต้องไปหาท่านพ่อหรอกเรอะ”
ฟาโนราห์เอื้อมมือไปลูบเรือนผมของน้องชายที่นอนอยู่ข้างๆ ด้วยความเอ็นดู
“ไปมาแล้ว ท่านพ่อให้มาถามว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่ มีแผนการอะไร”
เฟอัสก์ลุกขึ้นนั่งส่งยิ้มอบอุ่นให้กับพี่สาว
“ก็อย่างที่เคยนั่นแหละ ออกไปตามเมืองตามหมู่บ้าน แล้วก็ฟื้นฟูธรรมชาติ”
ฟาโนราห์จ้องมองน้องชายก่อนจะพูดถึงเด็กหนุ่มที่นางฝากความหวังเอาไว้
“ผ่านมาเกือบหนึ่งเดือนแล้วนะนับจากวันนั้น”
“ฮื่อ เร็วเหมือนกันแฮะ แต่ยังไม่มีวี่แววว่าสงครามจะจบเลยนี่สิ”
“แต่ทุกอย่างก็กำลังเป็นไปอย่างราบรื่นนี่ ระยะนี้พ่อหนุ่มนั่นเขาก็มีชื่อเสียงมากเลยไม่ใช่เหรอ”
“ก็ที่ผ่านมาเกือบเดือนนี้เล่นไปไล่กวาดล้างพวกสโจรกาดไป 5 หมู่บ้านนี่นะ แถมยังฆ่าหมดแล้วปล่อยตัวให้รอดกลับไปแค่คนเดียวทุกครั้งเลยด้วย งี่เง่าแท้ๆ ”
“เขาแข็งแกร่งได้ขนาดนั้นเลยเหรอ รึว่าเธอมอบอาวุธให้กับเขาไปกัน”
“ไม่หรอก แค่แอบใส่พรวิเศษเข้าไปกับผลอวาคว็อตที่เด็ดจากท้ายสระโน่นให้เขาไปน่ะ”
“พรวิเศษ?”
“ก็แค่ทำให้เขามีกำลังและความคล่องตัวมากขึ้นกว่าเดิมน่ะ แต่ก็ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าเขาทรงพลังและรวดเร็วจนเกินกว่าระดับที่มนุษย์ทั่วไปจะรับรู้ได้แล้ว”
“เพราะงี้หรอกเหรอ เธอถึงได้ดูโทรมขนาดนี้”
“ก็อาจจะใช่มั้ง”
“แล้วเขารู้ตัวรึเปล่า”
“น่าจะรู้ตัวแล้วล่ะ เพียงแค่ยังไม่รู้ว่าได้รับพรวิเศษจากข้าไปมั้งนะ ตอนนี้คงกำลังคิดว่าพี่แอบทำอะไรบางอย่างกับเขาแล้วไม่ยอมบอกนั่นแหละ แต่ปัญหามันไม่ได้อยู่ตรงนั้นหรอกจริงมั้ย”
พี่สาวทำสีหน้าเป็นกังวลขึ้นมาทันทีเพราะหากเมื่อไรที่น้องชายบอกว่ามีปัญหา นั่นหมายความว่าต้องเป็นเรื่องใหญ่อยู่พอสมควร
“ปัญหา…งั้นเหรอ”
“ใช่ เราดันไปมอบพลังที่ยิ่งใหญ่ให้กับปิศาจคลุ้มคลั่งเข้าให้แล้วน่ะสิ”
“ปิศาจ…”
“คืองี้ เขาสติหลุดไปครั้งหนึ่ง แล้วเกิดคลุ้มคลั่งอาละวาดสังหารทุกคนที่อยู่รอบตัวอย่างโหดร้าย ข้ากลัวว่าถ้าไปเผชิญหน้ากับฮาร์ดิล…เขาอาจจะ….เกิดคลุ้มคลั่งขึ้นมาจนแยกไม่ออกว่าใครเป็นใคร แล้วอีกอย่างคือตอนนี้เจ้าหนูนั่นกลายเป็นฮีโร่ของชาวเมืองไมเอลทั้งห้าหมู่บ้านไปแล้วซะด้วยสิ ถ้าเขาเดินหน้าเข้าสนามรบไปเรื่อยๆ ก็ต้องออกไปจากเมือง ความหวาดกลัวก็จะกลับมาปกคลุมไมเอลแห่งนี้อีกครั้งแน่ๆ”
เทพสองพี่น้องต่างมองตาและถอนหายใจพร้อมๆ กันด้วยความบังเอิญ ด้วยความคิดที่ตรงกันอย่างน่าเหลือเชื่อ ก่อนที่พี่สาวจะเอ่ยปากในสิ่งที่คิดออกมา “ถ้าอย่างงั้น ชาวเมืองก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้พ่อหนุ่มน้อยอยู่เป็นผู้คุ้มครองเมืองแบบนี้ไปเรื่อยๆ ใช่มั้ย”
“ก็คงจะเป็นอย่างงั้น”
ฟาโนราห์เอื้อมมือมาลูบศีรษะน้องชายอีกครั้ง
“ไม่ต้องกังวลมากไปหรอก เธอก็บอกเองนี่ว่าให้เขาตัดสินใจเอง แล้วพี่เองก็คิดว่าเขาสัญญากับเราแล้วว่าจะทำให้ทุกอย่างจบลงให้เร็วที่สุด เพราะงั้น ตอนนี้พวกเราก็ทำได้แค่เชื่อใจเขาไม่ใช่เหรอ”
เฟอัสก์พยักหน้าตอบรับความเห็นของพี่สาว ฝ่ายฟาโนราห์เองก็ยิ้มให้น้องชายด้วยความเอ็นดูก่อนจะร่ำลากลับไปวิหารของตน
“เอาล่ะพี่ต้องไปแล้ว ดูแลตัวเองให้มากกว่านี้ล่ะเข้าใจมั้ย”
“พี่เองก็อย่าไปก่อเรื่องอะไรอีกก็แล้วกัน”