Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 2 ต้นเหตุแห่งสงคราม
ท่ามกลางลมหนาวยามค่ำคืนที่พัดโชยมาอย่างเอื่อยเฉื่อย ปรากฏเงาของชายหนุ่มรูปร่างสันทัด เดินทางมายังวิหารด้วยสภาพอ่อนล้า เมื่อแสงไฟจากวิหารต้องที่ตัวชายคนนี้ก็เผยให้เห็นบาดแผลบนร่างกายแม้จะมีไม่มากแต่ก็ยังเป็นแผลใหม่ที่ได้จากการสู้รบ ไลฟ์ที่ยังคงนั่งเบื่ออยู่ในวิหารแม้เวลาจะล่วงเลยมาถึงช่วงกลางดึกแล้วหันไปมองทางต้นเสียงของฝีเท้าปริศนาก่อนจะลุกขึ้น ยื่นมือทั้งสองข้างขยับไปจับด้ามมีดเก่าๆ ที่พกติดตัวอยู่เกือบตลอดเวลา เมื่อนักรบหนุ่มเดินเข้ามาในวิหารเขาสัมผัสได้ถึงจิตมุ่งร้ายของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ด้านในสุดของวิหารแผ่มาถึงตัวเขา การปรากฏตัวของเด็กหนุ่มแปลกหน้าสร้างความเคลือบแคลงให้กับนักรบหนุ่มจนต้องไต่ถามที่มาที่ไปของเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ด้วยท่าทีแม้ดูเผินๆ จะไม่มีอะไรแต่หากเป็นนักรบที่เจนสงครามแบบเขาก็สังเกตได้ว่าเด็กหนุ่มคนนี้พร้อมจะจู่โจมใส่เขาทุกเมื่อ
“เจ้าหนู แกเป็นใคร แล้วมาทำอะไรอยู่ในวิหารแห่งนี้”
“ฉันเป็นคนดูแลวิหารแห่งนี้น่ะ”
“ฉันมาที่นี่หลายหนแล้วแต่ไม่เคยเห็นหน้าแกเลย เพิ่งมาใหม่รึ”
“ฉันเป็นแค่คนเร่ร่อนที่เดินทางมาถึงวิหารแห่งนี้เท่านั้นแหละ พอเห็นว่าไม่มีคนดูแล เลยจะขออยู่ดูแลที่นี่แค่ชั่วคราว พอร่างกายฟื้นตัวเต็มที่แล้วจะออกเดินทางต่อแล้วล่ะ”
นักรับหนุ่มยังคงคาใจกับท่าทางพร้อมจู่โจมของเด็กหนุ่มอยู่ และอยากทดสอบฝีมือของเด็กหนุ่ม หากเขาไม่ใช่แค่คนพเนจร ก็ต้องเป็นข้าศึกแฝงตัวเข้ามา ว่าแล้วก็สืบเท้าเข้าไปพร้อมยกดาบในมือขึ้นมาเตรียมจู่โจม ไลฟ์เห็นท่าทางของผู้มาใหม่แล้วก็รับรู้ได้ถึงภัยคุกคามที่กำลังจะมาถึง เขาชักมีดทั้งสองเล่มออกมาแล้วกระโดดเข้าจู่โจมทันที
ความเร็วของไลฟ์สร้างความได้เปรียบอย่างมาก เขาเหวี่ยงมีดซ้ายและขวาสลับกับจ้วงแทงและใช้เท้าเตะหลายต่อหลายครั้ง แม้นักรบผู้มาใหม่จะสามารถใช้ดาบปัดป้องได้ แต่ก็ทำได้อย่างยากลำบาก ทันทีที่เขาปัดมีดของเด็กหนุ่มข้างหนึ่งออกไปพ้นตัว ใบมีอีกข้างหนึ่งก็แทบจะมาถึงตัวของเขาแล้ว ‘เร็วมาก’ นักรบหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเร็วในการจู่โจมแต่ละครั้งของเจ้าหนูคนจรผู้นี้ แม้ใบมีดจะเก่าและค่อนข้างทื่อมากแล้วแต่ก็สามารถสร้างรอยขีดข่วนบนเกราะไหล่ และเกราะส่วนอื่นๆ ของเขาได้
การโจมตีของเด็กหนุ่มนั้นคล้ายไม่เป็นกระบวน การเหวี่ยงมีดซ้ายขวาสลับกับจ้วงแทงแม้สะเปะสะปะแต่กลับทรงพลังและรวดเร็ว นักรบหนุ่มสัมผัสได้ว่าแต่ละมีดที่จู่โจมเข้ามาสามารถสร้างความเสียหายให้เขาได้อย่างมาก อาจรุนแรงถึงขั้นเอาชีวิตของเขาได้เลยหากไม่สามารถปัดป้องหรือหลบหลีกได้แม้เพียงครั้งเดียว การจู่โจมที่ไร้รูปแบบตายตัวเช่นนี้ ไม่ใกล้เคียงกับการจู่โจมของทหารที่ผ่านการฝึกแล้วแม้แต่น้อย กระทั่งการจู่โจมของทหารใหม่ที่เพิ่งถูกเกณฑ์เข้ามาในกองทัพก็ยังคาดเดาได้ง่ายกว่านี้มาก แต่เด็กหนุ่มคนนี้อาศัยการโจมตีที่เกิดจากสัญชาตญาณและประสบการณ์ล้วนๆ
‘ผลั่ก’ เสียงดังสนั่น พร้อมความเจ็บแปล๊บแล่นมายังสมองของนักรบผู้มาใหม่ เด็กหนุ่มฉวยจังหวะที่นักรบหนุ่มก้าวหลบการโจมตี ตวัดเท้าเตะสุดแรงไปที่ข้อพับหัวเข่าของคู่ต่อสู้ในชั่วอึดใจที่นักรบหนุ่มจมอยู่กับความคิดและการวิเคราะห์กระบวนโจมตีของเขา ผู้มาใหม่เซถอยหลังไปเล็กน้อยก่อนจะทรุดลงกับพื้น ทันในนั้นสัญชาตญาณสั่งให้นักรบหนุ่มยกดาบในมือขึ้นมาป้องกันมีดแรกที่แทงเข้ามา ก่อนจะกลิ้งหลบการโจมตีอีกระลอกที่ตามมาได้ทันแบบฉิวเฉียด แต่การจู่โจมครั้งสุดท้ายนั่นก็สร้างรอยแผลที่แขนให้กับนักรบหนุ่มได้อย่างน่าประหลาดใจ เมื่อพอจะรับรู้ถึงระดับฝีมือของเด็กหนุ่มแล้ว ผู้มาใหม่ก็ผละออกจากการต่อสู้
“เอาล่ะหยุดมือก่อนเจ้าหนู ฉันเชื่อแล้วว่าแกเป็นเพียงคนจรที่มาพักร่างกายที่นี่”
แม้ไลฟ์ยังคงตั้งท่าพร้อมจู่โจมอยู่จะยังไม่เปลี่ยนท่าที แต่นักรบหนุ่มก็เก็บดาบในมือพร้อมเดินไปยังแท่นบูชา และปลดดาบออกจากแผ่นหลังวางลงบนพื้นก่อนจะคุกเข่าลงและเริ่มต้นสักการะเทพเจ้าทันที เฟอัสก์ที่กำลังนั่งดื่มไวน์อยู่บนขื่อของวิหารเฝ้ามองดูการต่อสู้อยู่อย่างเงียบๆ และไม่แม้แต่จะแสดงตัวออกมาให้ไลฟ์ได้เห็น อาจเพราะมั่นใจว่าการที่เด็กหนุ่มได้พบเจอผู้คนในที่แห่งนี้อาจจะเป็นผลดีกับสถานการณ์ที่ยังไม่มีทางออก ณ เวลานี้ ไม่ว่าผู้มาเยือนจะมาพร้อมอันตรายหรือไม่ก็ตาม
ท่ามกลางความเงียบงัน ไลฟ์ทรุดตัวลงนั่งที่ตรงบันไดวิหารฝั่งหนึ่ง เฝ้ามองการภาวนาของผู้มาใหม่อยู่เงียบๆ เวลาผ่านไปไม่นานนักรบหนุ่มหยิบดาบและลุกขึ้นยืน ตามด้วยชื่นชมในฝีมือของเด็กหนุ่มพลางสืบเท้าเข้าหาไลฟ์อย่างช้าๆ
“ฝีมือไม่เลวเลยนี่ ไปฝึกการจู่โจมแบบนั้นมาจากที่ไหน”
แม้ไร้คำตอบจากเด็กหนุ่มแต่เขาก็ยังคงอยากจะรู้ที่มาที่ไปของเด็กหนุ่มพเนจรคนนี้ และไม่แน่ว่าบางที หากได้คนมีฝีมือแบบนี้มาฝึกฝนเพิ่มเติมอีกสักระยะอาจเป็นประโยชน์ในสงครามที่ยืดเยื้อก็เป็นได้ และดูเหมือนว่าเขาเองต้องเปลี่ยนวิธีสนทนาเสียหน่อยเริ่มจากแนะนำตัว ก่อนน่าจะสามารถดึงความสนใจของผู้ดูแลวิหารหนุ่มคนนี้ก็เป็นได้
“ไม่ต้องกังวลไปหรอก ฉันชื่อว่า ฟราวซ์ เป็นหัวหน้ากองทหารราบที่สิบเอ็ดของกองทัพอาณาจักรลีซเนปฉันมาที่นี่เพียงเพื่อขอให้องค์เทพอำนวยพรในการรบวันพรุ่งนี้เท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาจะทำร้ายใคร”
ไลฟ์จ้องในแววตาของหัวหน้ากองทหารราบ แต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร ฟราวซ์เพียงแค่ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะเริ่มสอบถาม “ถ้าแกเพิ่งมาอยู่ที่นี่ได้ไม่นานก็คงจะได้พบกับพวกที่เพิ่งมาขอพรจากเทพเจ้าเมื่อช่วงบ่ายนี้ใช่มั้ย”
ได้ผล การพูดถึงเหตุการณ์เมื่อช่วงบ่ายดูเหมือนจะดึงความสนใจของผู้ดูแลวิหารได้จริงๆ และท่าทางของเขาก็เหมือนจะรอฟังสิ่งที่เขากำลังจะพูดต่อจากนี้มากกว่าก่อนหน้านี้เสียด้วย
“กองรบของฉันน่ะเพิ่งจะตั้งขึ้นมาใหม่และรวบรวมผู้ที่ได้รับการอำนวยพรจากเทพเจ้าเอาไว้ ตอนนี้ถ้ารวมคนเมื่อตอนบ่ายด้วยก็มีคนแบบนั้นอยู่สามคนแล้วล่ะ และอีกสองรึสามวันจะมีคนพาตัวผู้ถูกเลือกมารับการอำนวยพรและของวิเศษจากเทพเจ้าอีกหนึ่งคน ถ้ารวบรวมผู้ที่ได้รับการอำนวยพรจากเทพเจ้าได้หลายคนสงครามงี่เง่านี่ก็อาจจะจบลงเสียที เจ้าหนูสนใจจะเข้าร่วมรบกับเรารึเปล่า คนมีฝีมือแบบแกน่ะ มาร่วมกับเราโอกาสจะชนะก็เพิ่มขึ้นมาแน่ๆ”
ไลฟ์จ้องมองหัวหน้ากองฟราวซ์แบบเลื่อนลอย ในความคิดของเขาตอนนี้คือยังยืนยันที่จะไม่เอาชีวิตไปทิ้งในสนามรบแน่ๆ แต่ด้วยความใคร่รู้ในต้นตอแห่งสงครามที่ยืดเยื้อจนเดือดร้อนกันทั่วอาณาจักรอยู่จนถึงตอนนี้ หากปฏิเสธไปเขาเองก็คงไม่ได้รับรู้ความเป็นมาแน่ๆ ถ้าอย่างงั้นก็ขอถามที่มาที่ไปก่อนก็แล้วกัน
“นี่น้า สงคราม….มันเกิดขึ้นเพราะอะไร เล่าให้ฟังหน่อยสิ”
“น้าเลยเหรอ” นายกองฟราวซ์ค่อนข้างตกใจกับคำเรียกของผู้ดูแลวิหารหนุ่ม แต่ก็ไม่ได้อยากจะต่อล้อต่อเถียงอะไรมากมาย
“ฉันเพิ่งจะยี่สิบสี่เองนะโว้ย อย่าเรียกน้าสิวะ”
นี่เราหน้าแก่ขนาดนั้นเลยรึไงนะ ท่านนายกองถอนใจเบาๆ
“เอาเถอะถามเรื่องต้นเหตุของสงครามใช่มั้ย ฉันเองก็เกิดไม่ทันหรอกนะ แต่ว่าพอจะได้ยินจากพ่อมาบ้าง”
“เล่าๆ มาเถอะน่า…แค่อยากรู้ที่มาที่ไปน่ะ อะไรทำให้รบกันจริงจังขนาดนี้”
นายกองฟราวซ์แอบถอนใจเล็กๆ ‘ไอ้หนุ่มนี่มันอยากรู้ถึงขนาดนั้นเลยรึ’ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวที่เขาได้ยินผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีชีวิตในช่วงที่เป็นต้นเหตุความขัดแย้งให้กับเด็กหนุ่มได้ฟัง
“เรื่องราวมันเกิดจากความโลภกับทิฐิของเจ้าชาย ไม่สิต้องเป็นราชาเมอร์มอนตอนนั้นยังเป็นแค่รัชทายาทเสเพลของสโจรกาด… เดิมทีก็อยากจะขยายอำนาจมายึดครองดินแดนแห่งแสงสีและการค้าอย่างลีซเนปอยู่แล้ว ยิ่งไม่ค่อยจะกินเส้นกับกษัตริย์องค์ปัจจุบันของที่นี่อยู่แล้วด้วย เรื่องมันก็เลยยิ่งไปกันใหญ่”
นายกองฟราวซ์เดินไปที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมวิหารก่อนรวบรวมเศษไม้รอบๆ เพื่อจะก่อกองไฟ แต่ก็ยังคงบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ต่อไป โดยมีไลฟ์เดินตามมาติดๆ
“ราชากิลเลียนเคยเป็นเจ้าชายของอาดัลน่า อาณาจักรเล็กๆ เพื่อนบ้านของทั้งลีซเนปและสโจรกาดทั้งสามเป็นพันธมิตรกันมายาวนาน ทั้งท่านกิลเลียนกับราชาเมอร์มอนก็เคยได้เรียนรู้ศาสตร์ต่างๆ ที่สถาบันแห่งเดียวจากดินแดนโพ้นทะเล ราชากิลเลียนเป็นคนแข็งกระด้างและรักสงบ พระองค์ไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่ราชาเมอร์มอนนั้นนิสัยตรงกันข้าม ชอบเข้าสังคม ยิ่งเป็นหนุ่มรูปงามผมสีน้ำตาลทองแบบนั้น แม้จะเป็นคนที่มีความสามารถแต่ราชาเมอร์มอนก็ไม่ค่อยจะใส่ใจเรื่องการเรียนมากนัก ส่วนราชากิลเลียนตั้งใจศึกษาทั้งศาสตร์และศิลป์เพื่อจะได้กลับมาดูแลประชาชน แต่ก็นั่นแหละ…ในเมื่อได้ร่ำเรียนอยู่ในสถาบันเดียวกัน…การแข่งขันของรัชทายาททั้งสองอาณาจักรในต่างแดนย่อมเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง แต่ก็เป็นราชากิลเลียนที่ชนะอยู่ทุกครั้ง”
นายกองฟราว์เงียบลงชั่วครู่ก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งที่ข้างกองไม้บนลานดินใต้ต้นใหม่ใหญ่แล้วเริ่มก่อไฟ พร้อมกับเล่าสิ่งที่ยังค้างคาเอาไว้
“พอทั้งสองกลับมายังอาณาจักรของตนก็ไม่ได้พบปะกันอีก อีกทั้งลีซเนปแห่งนี้ก็ไม่มีทายาทสืบทอดบัลลังก์ มีเพียงท่านฟรีเซียราชินีองค์ปัจจุบันเท่านั้นที่เป็นทายาทของราชาองค์ก่อน ราชาเมอร์มอนเองก็พอจะรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว จึงมองว่าเป็นหนึ่งในช่องทางการขยายอำนาจของตน ยิ่งเหตุบังเอิญเกิดขึ้นในช่วงเทศกาลแห่งสุราและการเก็บเกี่ยว เมื่อเกือบราชาเมอร์มอนเดินทางมาท่องเที่ยวในเขตเมืองท่าของลีซเนปในช่วงที่ได้พบกับท่านฟรีเซียเข้า”
นายกองฟราวซ์เงยหน้ามองท้องฟ้ายามราตรีเล็กน้อย ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวของฉนวนเหตุสงครามอันยาวนานนี้อีกครั้ง
“ความงามของนางสะกดให้รัชทายาทเจ้าสำราญหลงใหลจนไม่สนใจหญิงอื่นอีก ความคิดที่จะยึดลีซเนปแบบไม่เสียเลือดเสียเนื้อก็เลยออกมาในรูปแบบของการส่งสารมาสู่ขอท่านฟรีเซียหวังจะรวมอาณาจักร แต่ท่านฟรีเซียก็ปฏิเสธไป เพียงเพราะนางไม่ต้องการให้ลีซเนปรวมกับอาณาจักรที่ไม่ให้โอกาสกับผู้หญิงเท่าที่ควร ยิ่ง ณ เวลานั้น ราชาเมอร์มอนเองก็มีชายาที่พากลับมาจากโพ้นทะเลอยู่แล้วสามคน ก็ยิ่งไม่มีเหตุผลให้ตอบรับการสู่ขอ แต่ราชาเมอร์มอนเองก็ยังไม่รามือ ยังสรรหาสารพัดวิธีมากกดดันทางการทูต แต่ก็ยังไม่สำเร็จ กระทั่งท่านฟรีเซียได้ใกล้ชิดกับท่านกิลเลียน ด้วยความรักที่มีทั้งสองพระองค์ทรงอภิเษกด้วยเงื่อนไขที่อาดัลน่าของราชากิลเลียนจะยอมเข้าร่วมเป็นอาณาจักรเดียวกับลีซเนปแม้จะขึ้นเป็นกษัตริย์แต่อำนาจทั้งหมดจะยกให้กับท่านฟรีเซีย”
นายกองฟราวซ์หยิบถุงน้ำที่พกติดตัวขึ้นมาเปิดดื่มดับกระหาย ก่อนจะเหลือบไปพบกับสายตาที่นิ่งลึกแต่ก็สังเกตได้ว่าผู้ดูแลวิหารกำลังรอคอยเรื่องราวที่เขายังเล่าค้างเอาไว้
“อาจจะเพราะความแค้นต่อท่านกิลเลียนที่ฝังแน่นมานาน แถมยังมาถูกชายที่ตนเคียดแค้นชิงท่านฟรีเซียไป เมื่อราชาเมอร์มอนขึ้นครองราชย์ได้ไม่นานก็ยกไพร่พลมาบุกหมายยึดครองดินแดนแห่งนี้”
นายกองฟราวซ์ขยับมือไปหยิบกิ่งไม้มาเขี่ยกองไฟ แล้วเงยหน้ามามองผู้ดูแลวิหารหนุ่ม
“ยังไงก็ช่วยทบทวนสักหน่อยก็แล้วกันนะ ฉันไม่รีบร้อนขอคำตอบหรอก ยังไงก็เริ่มดึกแล้วฉันขอพักผ่อนตรงนี้ก็แล้วกัน รุ่งสางค่อยกลับไปร่วมกลุ่มกับลูกน้อง”
ด้วยหวังว่าคนมีฝีมือแบบนี้จะตอบตกลงเป็นกำลังรบให้ แม้จะยังสรุปอะไรไม่ได้แต่การมีคนเก่งมาเพิ่มสักคนก็นับเป็นเรื่องดี ไลฟ์เดินกลับเข้าไปในวิหารหยิบผลไม้ และเทไวน์แก้วนำออกมาให้นายกองที่เตรียมจะพักผ่อนอยู่นอกวิหาร จากนั้นเขาก็เดินเข้าไปยังกระท่อมที่เตรียมไว้ค้างแรมโดยไม่พูดจาอะไร ในใจของเขาก็รู้คำตอบดีว่าเขาจะไม่เอาชีวิตไปทิ้งในสนามรบเป็นแน่ แม้ส่วนลึกจะรับไม่ได้กับสภาพน่าหดหู่ที่เห็นในหลายวันมานี้ กับเรื่องราวที่เป็นต้นเหตุแห่งสงครามเองก็ทำให้เขาเองรู้สึกสงสารผู้คนที่ต้องมารับผลอย่างไม่เป็นธรรมก็ตาม แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องเอาตัวเข้าไปเสี่ยง