Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 21 จูบ
แม้ภายในตัวเมืองยังคงคึกคัก ผู้คนพากันออกย่ำราตรีด้วยความครึกครื้น ต่างจากความเงียบสงบที่บริเวณท้ายเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งบ้านพักของประชากรเมืองหลวงหน้าใหม่ สายตาคู่หนึ่งเบิกกว้างจ้องมองเพดานโดยที่ไม่มีวี่แววว่าจะปิดลง เพื่อที่จะพักผ่อนชายหนุ่มนอนจ้องเพดานอยู่นานเท่าไรก็ไม่อาจรู้ได้ ในใจของเขาเต็มไปได้ความตะขิดตะขวงถึงท่าทีและสีหน้าเศร้าหมองที่เทพสาวจอมเอาแต่ใจแสดงออกมาชั่วขณะ ระหว่างที่ตกอยู่ในห้วงแห่งความคิด เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นปลุกเขาให้รู้สึกตัว
“เข้ามาเถอะ”
ประตูค่อยๆ เปิดออก ลอร่าเดินฝ่าความมืดเข้ามาอย่างเงียบๆ เจ้าของห้องส่งเสียงทักทาย “มีอะไรเหรอ”
ลอร่าพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฉันแค่สงสัย”
“เรื่องอะไรล่ะ”
“ผู้หญิงคนนั้น ฉันสังเกตได้เลยว่านายมีอะไรที่ยังไม่ได้บอกท่านเมอร์เซเดส”
ไลฟ์หัวเราะออกมาเบาๆ “อันที่จริงฉันก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้พวกเธอฟังดีรึเปล่า เพราะที่ฉันกำลังกังวลยิ่งกว่าเรื่องนั้นคือท่าทีของยัยป้านั่น” ไลฟ์เงียบไปชั่วครู่ ด้านลอร่าก็ไม่มีทีท่าว่าจะสอบถามอะไรเพิ่มเติม ชายหนุ่มจึงบอกสิ่งที่ตนกังวลออกมา “ตอนที่นางบอกว่าหายป่วยแล้วน่ะ แววตาของนางเหมือนมีบางอย่างแปลกไป ราวกับว่ามีบางอย่างที่พูดอะไรออกมาไม่ได้ ซึ่งจากที่ผ่านมาไอ้ท่าทีแบบนั้น มันก็จะมีแต่เรื่องยุ่งยากตามมาทุกครั้ง”
“แล้วนายคิดจะทำยังไงกับเรื่องนี้”
ไลฟ์หลับตาลงถอนใจหนักๆ ออกมา “ทำอะไรไม่ได้หรอก นอกจากจะกลับไปถามน้องชายของนางที่ไมเอลเท่านั้น แต่ว่าฉันไม่มีเวลามากขนาดนั้นซะด้วยสิ”
ลอร่าที่เข้าใจในสิ่งที่ชายหนุ่มพูดและก็เห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ณ เวลานี้เขาทำได้แค่กังวลเท่านั้น “แล้วเรื่องที่สำคัญรองลงมาล่ะ”
ไลฟ์ลืมตาขึ้นพร้อมลุกขึ้นนั่งช้า “ยัยป้านั่น ความจริงแล้ว….นางคือฟาโนราห์ เทพเจ้าแห่งสโจรกาด”
“เทพเจ้าเหรอ!!!” น้ำเสียงร้อนรนระคนตกใจของลอร่าทำให้ไลฟ์ชะงักไป “ถ้าอย่างงั้นนายก็”
“ใช่ ฉันคือผู้รับพรวิเศษ”
เมื่อรู้ความจริงสิ่งที่กำลังสงสัยในตัวของเด็กหนุ่มก็เริ่มประกอบเป็นรูปเป็นร่างขึ้น “แผลที่สมานตัวอย่างรวดเร็วนั่นเป็นผลจากพรวิเศษอย่างงั้นเหรอ”
เด็กหนุ่มตอบรับโดยที่ไม่มีการปิดบังใดๆ “ก็ตามนั้นแหละ”
“แล้วทำไม เทพเจ้าแห่งสโจรกาดถึงมอบพรวิเศษให้กับคนของลีซเนปล่ะ”
ไลฟ์พูดด้วยน้ำเสียงติดรำคาญเล็กน้อย “บอกไปตั้งหลายครั้งแล้วไม่ใช่รึไงว่าฉันไม่ใช่คนของลีซเนป เป็นแค่คนพเนจรที่เดินทางไปนอนรอความตายหน้าวิหารแห่งไมเอล รอดมาได้เพราะเทพเฟอัสก์ช่วยไว้”
“น้องชาย…”
“ใช่ นางเป็นพี่สาวของเทพเฟอัสก์ ส่วนที่นางต้องให้พรวิเศษกับฉันเพราะพลังเทพของนางลดลงจากการที่เข้าไปก้าวก่ายกับสงครามที่ยืดเยื้อ ถ้าปล่อยเอาไว้แบบนั้นนางจะดับสูญ ไอ้ฉันเองก็เลยซวยโดนยัดเยียดของที่ไม่อยากได้มาแบบนี้”
ความรู้สึกลังเลเอ่อล้นขึ้นในจิตใจขอลอร่า ชายคนนี้คือคนที่มีส่วนในการสังหารแม่ทัพฮาร์ดิล แล้วยังเข้ามาตีสนิทกับเมอร์เซเดสได้หน้าตาเฉยแบบนี้ สิ่งที่เขาต้องการไม่อาจเข้าใจได้จริงๆ แต่คำพูดของไลฟ์ทำให้หญิงสาวคิดทบทวนสิ่งที่จะตัดสินใจต่อไปทันที “ฉันก็ไม่รู็หรอกนะว่าเธอคิดอะไรอยู่ แต่ฉันมั่นใจว่ายัยนั่นน่ะ เป็นผู้หญิงที่ฉันอยากจะมอบทั้งชีวิตของฉันให้จริงๆ ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดหรืออะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องกับลุงของนางหรอก ที่ผ่านมาอาจจะไม่มีอะไรที่ฉันแสดงออกมาได้อย่างชัดเจน อาจเพราะคนพเนจรอย่างฉันมีแต่ความกลัว ฉันกลัวการถูกปฏิเสธ กลัวความสัมพันธ์ หรือแม้แต่กลัวการที่ต้องอยู่เป็นที่เป็นทาง มีเพื่อนมีคนสนิทอย่างที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้ แต่เอาเป็นว่าหลังจากนี้เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลอย่างเธอแล้วกัน ตัดสินใจไปเลยว่าเธอจะบอกความจริงเรื่องที่ฉันสังหารลุงของนางหรือว่าจะเก็บความจริงอันนี้เอาไว้ มันก็แล้วแต่เธอล่ะนะ ถ้าบอกไปแล้วยัยนั่นจะหันหลังให้ฉัน หรือแม้แต่ใช้เวทมนตร์ทำลายร่างกายที่ผิดธรรมชาตินี้ทิ้งเสีย ฉันก็พร้อมที่จะยอมรับ”
น้ำเสียงจริงจังของเด็กหนุ่มทำให้ลอร่าตัดสินใจเค้นเอาคำตอบกับเขาในทันที “สรุปแล้วนาย รู้สึกยังไงกับท่านหญิง”
ไม่มีคำตอบใดๆ จากปากของชายหนุ่ม ลอร่าต้องถามคำถามเดิมอีกครั้ง “นายรู้สึกยังไงกับท่านหญิงกันแน่”
อีกครั้งที่ยังคงไม่มีคำตอบใดๆ จากปากของชายหนุ่ม
“ฉันจะถามอีกครั้งเพื่อการตัดสินใจ สรุปแล้วนาย…รู้สึกยังไงกับท่านหญิง มอบชีวิตให้ได้มันไม่ใช่คำตอบที่ฉันอยากรู้หรอกนะ”
ในที่สุด ไลฟ์ที่นิ่งเงียบอยู่เมื่อครู่ก็คำถามเสียที “ก็บอกว่าไม่รู้ว่าเธอจะคิดยังไง แต่มันคงเป็นความรักล่ะมั้ง จะว่าไปคำว่ารักจากปากคนพเนจรมันคงไม่น่าเชื่อถือเท่าไร แถมมันอาจจะไม่ใช่ก็ได้ แต่จะให้ตัดสินใจเอาตอนนี้คงพูดได้แค่ว่า ฉันรักยัยนั่น”
เมื่อได้คำตอบที่พอใจแล้วลอร่าก็เดินออกจากห้องพร้อมปิดประตูเบาๆ “นอนซะเถอะ ดึกมากแล้ว”
แสงแดดยามบ่ายสาดลงมาผ่านม่านเวทมนตร์ที่คลุมลานกว้างเอาไว้ ให้ความรู้สึกไม่ต่างอะไรกับแดดอ่อนๆ ยามเช้า ไลฟ์ที่พบกับความยากลำบากในการฝึกต่อสู้โดยไร้ผ้าปิดตาต้องบ่นออกมาด้วยความหงุดหงิดตัวเอง “ทำไมมันยากอย่างนี้วะ”
เฮสต์ที่เป็นทั้งครูฝึกและคู่มือในการต่อสู้ก็ส่ายหัวอย่างอ่อนใจ “ก็บอกแล้วนี่คะว่านี่คือส่วนที่ยากที่สุดในการฝึก”
“เพราะเปิดตาใช่มั้ยเลยเคลื่อนไหวไปตามที่ตามองเห็น”
“ถ้าเข้าใจแล้วก็พยายามนึกถึงความรู้สึกตอนที่ปิดตาให้ออกสิคะ” การฝึกอย่างทุลักทุเลดำเนินต่อไปอีก ราวสี่วัน โดยที่ไม่มีความคืบหน้า แถมดูเหมือนว่าการเคลื่อนไหวของไลฟ์จะแย่ลงกว่าตอนปิดตาเสียด้วยซ้ำ ซึ่งมันย่ำแย่ถึงขนาดที่ผู้บัญชาการสตราซสั่งให้เด็กหนุ่มหยุดพักการฝึกไปหนึ่งวันเต็มๆ เพื่อลดความเครียดที่เกิดจากการฝึกอย่างไร้พัฒนาการติดต่อกันหลายวัน
ไลฟ์ใช้เวลาเกือบครึ่งวันไปกับการนอนเฉยๆ อยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ริมน้ำบริเวณหลังบ้าน ส่วนเมอร์เซเดสที่เพิ่งกลับจากกองพลาธิการ เพื่อเตรียมตัวออกเดินทางกลับบ้านเกิดก็เดินเข้ามาสมทบกับชายหนุ่มพร้อมมีดสั้นและกรรไกรในมือ
“เป็นไงบ้างวันหยุด” ไลฟ์หันไปมองทางต้นเสียงและหลับตาลงช้าหลังจากเห็นมีดสั้นกับกรรไกรในมือของหญิงสาว
“ก็พักแต่ร่างกายนั่นแหละ สมองมันยังคิดแต่เรื่องฝึกอยู่ตลอดเลยน่ะ ไม่รู้ทำไมถึงทำไม่ได้สักที”
เมอร์เซเดสเดินมาหยุดแล้วทรุดตัวลงนั่งที่ข้างตัวของชายหนุ่ม “ก็ลองไม่คิดอะไรดูสักหน่อยสิ เขาให้หยุดแค่วันเดียวไม่ใช่รึไง ถ้าไม่คิดถึงมัน วันพรุ่งนี้อาจจะนึกอะไรออกขึ้นมาบ้างก็ได้นะ”
“ก็คงจะเป็นอย่างงั้น”
เมอร์เซเดสเอื้อมมือมาลูบที่เรือนผมของไลฟ์เบาๆ “ผมเริ่มยาวแล้วนะ ลุกขึ้นๆ เดี๋ยวฉันตัดผมให้”
ไลฟ์ลุกขึ้นนั่งอย่างว่าง่าย เมอร์เซเดสบรรจงใช้กรรไรตัดแต่งทรงผมที่รวบเอาไว้ด้วยมือซ้ายออกทีละนิด ใช้เวลาครู่ใหญ่ทรงผมของไลฟ์ก็เข้าที่ หลังจากปัดเศษผมออกจากศีรษะหมดแล้วไลฟ์ก็ล้มตัวนอนลงบนตักของหญิงสาวทันที สองมือเจ้าของตักนุ่มลูบไล้ไปตามใบหน้าชายหนุ่ม ก่อนจะหยิบมีดขึ้นมาบรรจงโกนหนวดเคราออกจากใบหน้าคมเข้มของเขาช้าๆ ก่อนจะเก็บมีดเอาไว้อย่างมิดชิด “นี่ อีกไม่กี่วันแล้วนะ”
ไลฟ์ลืมตาขึ้นช้าๆ จ้องมองดวงตาสดใสของอีกฝ่าย ก่อนจะเอื้อมมือไปหยิกแก้มนุ่มอย่างเบามือ “งั้นวันนี้ ตอนนี้ก็อยู่ที่นี่สิ อยู่กับฉันนานๆ หน่อย”
ชายหนุ่มหลับตาลงอีกครั้ง “ถ้าฉันไม่อยู่…”
เพียงเพราะไม่ต้องการจะได้ยินคำพูดที่ฟังเหมือนจะไม่ได้พบกันอีก ชายหนุ่มจึงพูดตัดบทเอาเสียดื้อๆ “ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอกน่า เธอน่ะ ทำงานของตัวเองให้เต็มที่เถอะ จะได้กลับมาที่นี่เร็วๆ”
“มันไม่ง่ายแบบนั้นหรอก”
“ก็ถึงบอกว่าไม่ต้องห่วงอะไรไง ฉันเชื่อนะว่าเธอทำได้อยู่แล้ว” ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันใต้ร่มไม้ใหญ่หลังบ้านตลอดบ่าย ก่อนหญิงสาวจะกลับเข้าบ้านเพื่อช่วยคนสนิทในครัวอย่างเช่นทุกวัน ปล่อยให้ไลฟ์พักสมองอยู่กับบรรยากาศสดชื่นยามเย็นอีกครู่ใหญ่
การฝึกของไลฟ์เริ่มกระเตื้องขึ้นหลังจากได้พักสมองหนึ่งวันเต็มๆ เฮสต์ที่รับรู้ถึงพัฒนาการของเขาก็ค่อยๆ ขยับระดับการฝึกให้ยากขึ้นทีละน้อยเพื่อที่จะไม่กดดันเด็กหนุ่มมากเกินไป และไม่ปล่อยการพัฒนานี้หยุดนิ่ง ไลฟ์ที่เคลื่อนไหวติดต่อกันมาหนึ่งชั่วโมงกว่าๆ แสดงอาการเหนื่อยน้อยกว่าก่อนหน้าที่จะได้หยุดพักหนึ่งวัน “พักสักหน่อยเถอะค่ะ แล้วค่อยมาฝึกต่อในช่วงบ่าย”
เด็กหนุ่มหยุดมือแล้วเดินไปพักอย่างว่าง่าย “ว่าแต่ พรุ่งนี้ท่านไลฟ์ไม่ต้องมาฝึกก็ได้นะคะ”
ไลฟ์เงยหน้าขึ้นมองครูฝึกอย่างงุนงง “ก็ท่านเมอร์เซเดสจะเดินทางนี่คะ หรือว่า…นางยังไม่ได้บอกอะไรหรอกเหรอคะ”
ไลฟ์นิ่งไปครู่ใหญ่ ก่อนจะขยับทรุดตัวลงนั่งเหยียดขา เอนหลังพิงขาโต๊ะสำหรับตั้งถังน้ำดื่ม “ก็บอกอยู่นะ แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้”
“ถ้างั้นก็ตามนั้นนะคะ ไปส่งท่านเมอร์เซเดสเถอะค่ะ ถือว่าได้พักอีกสักหนึ่งวัน” ไลฟ์พยักหน้าตอบรับก่อนจะคว้าผ้าผืนใหญ่ชุบน้ำมาคลุมศีรษะตัวเอาไว้
การฝึกช่วงในบ่ายเป็นการฝึกพิเศษที่ผู้บัญชาการสตราซ ผบ.กองอัศวินที่สองเป็นคู่ต่อสู้และครูฝึกให้เด็กหนุ่มด้วยตัวเอง ผลจากการได้ครูฝึกมากประสบการณ์ทำให้ไลฟ์จับความรู้สึกของร่างกายได้อย่างชัดเจน ในทุกๆ การเคลื่อนไหวเขารับรู้ได้ถึงกำลังที่ส่งต่อจากกล้ามเนื้อส่วนล่างผ่านไปยังลำตัวและไหลเข้าสู่มือซ้าย ด้วยกำลังมหาศาลจากพรวิเศษที่ได้รับจากเทพเฟอัสก์ รวมกับศาสตร์ที่ทุ่มเทฝึกฝนทำให้เด็กหนุ่มปล่อยหมัดสังหารออกไปโดยไม่รู้ตัว
ตูม!! เสียงหมัดสังหารกระแทกเข้ากับโล่เวทมนตร์ล่องหนสายป้องกันที่ผบ. สตราซร่ายออกมาในเสี้ยววินาทีที่ไลฟ์ออกหมัด ทว่ากำลังเหนือมนุษย์ของเด็กหนุ่ม ก็ส่งร่างของผู้อาวุโสลอยละลิ่วไปตามแรง
ผบ. สตราซใช้เวทย์ลดแรงเหวี่ยงส่งตัวเองลงพื้นอย่างนุ่มนวลก็จะเดินเข้าไปหยุดยืนตรงหน้าของเด็กหนุ่มที่กำลังงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ เขาเอื้อมมือไปลูบศีรษะของไลฟ์อย่างเอ็นดูพร้อมหัวเราะออกมาอย่างถูกใจ
“ดีมากไอ้หนุ่ม แบบนั้นแหละที่ฉันต้องการ”
ไลฟ์ที่ได้ยินสิ่งที่ ผบ.เฒ่าพูดแล้วก็พอจะเข้าใจผลลัพธ์ของการฝึกนี้บ้างแล้วก็ตั้งท่าพร้อมต่อสู้อีกครั้ง ผบ. สตราซเริ่มจู่โจมอีกครั้ง การฝึกดำเนินไปอย่างเข้มข้น ไลฟ์ที่เริ่มคุ้นเคยกับการเคลื่อนไหวเท่าที่จำเป็นเท่านั้นก็เริ่มออกอาวุธได้รวดเร็ว แม่นยำ และควบคุมกำลังที่ใช้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ เขาสังเกตการเคลื่อนไหวของผบ. สตราซที่ปัดป้องการโจมตีแล้วเริ่มต้นลอกเลียนการเคลื่อนไหวนั้น ปัดหมัดขวาออกก่อนจะสวนกลับด้วยหมัดซ้าย พอผบ. สตราซหยุดหมัดของเขาเอาไว้ได้ เด็กหนุ่มก็โถมตัวไปข้างหน้าดึงหมัดกลับพร้อมฟันศอกซ้ายอย่างรวดเร็ว การรุกจู่โจมของไลฟ์ยังคงดำเนินไปอย่างไม่เป็นกระบวน ซึ่งผบ. สตราซเองไม่คิดที่จะฝึกให้เขาต่อสู้อย่างมีรูปแบบ เพราะว่านี่คือสิ่งเป็นจุดแข็งของไลฟ์หากต้องเจอกับคู่ต่อสู้ที่ฝีมืออยู่ในระดับเดียวกัน
การฝึกครั้งนี้ทำให้เขานึกถึงการต่อสู้กับจิ้งจอกเฒ่าฮาร์ดิล เมื่อเกือบสองเดือนที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของผบ. สตราซนั้นแทบจะไม่ต่างอะไรกับจิ้งจอกเฒ่าคนนั้นเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่การเคลื่อนไหวของผู้อาวุโสท่านนี้รวดเร็ว แม่นยำ และนุ่มนวลกว่า เฮสต์ที่ยืนดูการฝึกของไลฟ์มาครู่ใหญ่ก็รู้สึกได้ทันทีว่า ณ เวลานี้ นางไม่สามารถเอาชนะเด็กหนุ่มคนนี้ได้อีกแล้ว ในฐานะผู้ฝึกสอนของตนนั้นถือว่าการขาดประสบการณ์อย่างมากมายจริงๆ เด็กหนุ่มที่ใช้เวลาร่วมหนึ่งเดือนเศษพัฒนามาได้ถึงระดับนี้ด้วยการเคี่ยวกรำค่อนข้างหนักพอควร เทียบกับผู้เป็นพ่อแล้ว เขาใช้เวลาเพียงไม่นาน ยกระดับฝีมือของเด็กหนุ่มจนก้าวข้ามความสามารถของนางไปแล้ว หากไลฟ์ได้ฝึกกับพ่อของนางตั้งแต่วันแรก ป่านนี้เขาคงได้ฝึกการใช้อาวุธแล้วแน่ๆ
เวลาล่วงเลยไปอย่างรวดเร็ว ผู้บัญชาการกองอัศวินที่สองหยุดมือเอาไว้ ก่อนจะส่งสัญญาณให้เด็กหนุ่มหยุดมือ
“เอาล่ะพอแค่นี้ เอาไว้มาฝึกกันใหม่วันหลัง คนแก่ไม่ไหวแล้วล่ะ”
ไลฟ์ที่เพิ่งจะรู้ตัวว่าเมอร์เซเดสและสองฝาแฝดมายืนดูการฝึกของเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่อาจทราบได้ก็เริ่มทำตัวไม่ถูกขึ้นมาเอาดื้อๆ เฮสต์เห็นว่าผบ. สตราซหยุดมือแล้วจึงแนะนำสาวๆ ให้ผู้เป็นพ่อได้รู้จัก
“ท่านผบ. สตราซคะ ท่านนี้คือท่านหญิงเมอร์เซเดสค่ะ ส่วนอีกสองท่านคือท่านลอร่ากับท่านลอเรน คนสนิทค่ะ”
ผู้บัญชาการกองอัศวันที่สองหันมาทางสาวๆ แล้วยิ้มตอบรับอย่างอบอุ่น
“นี่น่ะเหรอหลานสาวของเจ้าจิ้งจอกนั่น” เมอร์เซเดสโค้งคำนับอย่างนอบน้อม
“ยินดีที่ได้พบค่ะท่าน”
ผู้อาวุโสหันไปส่งยิ้มให้เด็กหนุ่มที่ยืนเงียบอยู่ใกล้ตัว “รีบกลับบ้านซะ เขามาตามแล้ว”
ไลฟ์ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะโค้งคำนับและเดินกลับบ้านไปพร้อมกับสามสาวทันที เฮสต์ที่เห็นท่าทางผิดสังเกตก็เอ่ยปากถามผู้เป็นพ่อว่าเกิดอะไรขึ้น “มีอะไรเหรอคะ”
ผู้บัญชาการกองอัศวินพลาธิการที่ยืนมือไพล่หลังอยู่ตั้งแต่เมื่อครู่ใหญ่ก็สารภาพออกมาด้วยเสียงที่สั่นเครือ “ปิศาจชัดๆ เจ้าหนุ่มนั่น”
“ยังไงกันคะนั่นน่ะ”
ผู้เป็นพ่อชูมือขั้นระดับอกให้ลูกสาวได้เห็นอาการชาและสั่นเทาอย่างชัดเจน “ดูนี่สิ…ถ้าไม่ใช่เพราะเวทย์ป้องกันที่ร่ายเอาไว้ ป่านนี้แขนพ่อคงแหลกไปแล้ว เจ้าจิ้งจอกนั้นรับมือกับเด็กหนุ่มคนนี้ได้ยังไงกัน”
แสงอันอบอุ่นเรืองออกจากมือของผบ. สตราซ ก่อนจะหายไปพร้อมอาการชา “เอาล่ะ กลับบ้านกันดีกว่า พ่อใช้เวทมนตร์มากเกินไป ต้องรีบหาอะไรกินแล้วล่ะ” ลูกสาวรับคำก่อนสองพ่อลูกจะเดินกลับเข้าไปในอาคารบัญชาการ
กลิ่นหอมอบอวลไปทั่วห้องครัวของบ้านหลังใหญ่ท้ายเมือง เมอร์เซเดสที่กำลังง่วนอยู่กับงานครัวสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อถูกวงแขนแข็งแรงคู่หนึ่งรวบเอวของนางเอาไว้
“เล่นอะไรของนายเนี่ย”
“ไม่มีอะไรหรอก”
“ไปนั่งที่โต๊ะรอเฉยๆ เลย ใกล้เสร็จแล้ว”
แม้ชายหนุ่มได้ยินจะคำบอกกล่าวเชิงสั่งการของอีกผ่านอย่างชัดเจน แต่ดูเหมือนเขาไม่ต้องการที่ปล่อยร่างบางในอ้อมแขนนี้ให้กลับไปจัดการกับอาหารที่อยู่ตรงหน้าแม้แต่วินาทีเดียว อ้อมกอดแน่นแต่เปี่ยมไปด้วยความทะนุถนอมทำให้หญิงสาวหลับตาลง พิงศีรษะเข้ากับใบหน้าที่แนบอยู่ข้างแก้มอย่างไม่ถือตัว
“มีอะไรรึเปล่า”
“ไม่หรอก…แค่อยากจะกอดเธอเอาไว้แบบนี้”
รอยยิ้มสดใสของเมอร์เซเดสปรากฏให้เห็นทันทีชายหนุ่มพูดจบ “อะไร…ไม่หิวรึไงกัน”
“ตอนนี้ยัง”
“แปลกคน”
ชายหนุ่มหัวเราะออกมาเบาๆ “ว่าแต่ทำไมไม่บอกว่าพรุ่งนี้จะเดินทางแล้ว”
“ก็บอกไปตั้งแต่เมื่อวานแล้วไง”
“ก็ฉันไม่คิดว่าจะเป็นพรุ่งนี้นี่”
“ไปนั่งที่ซะ เดี๋ยวค่อยคุยกัน” ไลฟ์ผละออกจากร่างบางอย่างอย่างอ้อยอิ่ง และหันหลังเดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหาร ก่อนที่ไม่นานมื้อเย็นจะเริ่มขึ้น
ร่างของใครบางคนเคลื่อนที่ผ่านความมืดอันเงียบสงบยามค่ำคืนก่อนจะปรากฏขึ้นที่หน้าต่างห้องนอนของเมอร์เซเดสที่เปิดรับลมเอาไว้ เป็นไลฟ์ที่บุกรุกพื้นที่ส่วนตัวของหญิงสาวขณะกำลังพักผ่อนเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการเดินทางในเช้าวันใหม่ ชายหนุ่มเลือกที่จะนั่งจ้องมองใบหน้าอันคมเข้มของหญิงคนรักที่ต้องแสงจันทร์ยามค่ำคืนอยู่เงียบๆ ที่มุมหนึ่งของห้องทั้งคืน ก่อนหายตัวไปจากห้องนั้นก่อนรุ่งสาง
เสียงจอแจที่ท่าเรือของกองทัพเรือแห่งลีซเนป ทำให้ไลฟ์รู้สึกเหงาขึ้นมาจับใจ ลอร่าที่เข้าใจถึงความรู้สึกของชายหนุ่มก็ลากน้องสาวฝาแฝดแยกตัวออกไปตรวจความพร้อมบนเรือทันที “ท่านหญิง พวกเราขอแยกตัวไปก่อนนะคะ แล้วก็”
‘ใช้เวลาอยู่กับเขาให้นานอีกสักหน่อยเถอะค่ะ’ แฝดผู้พี่กระซิบข้างหูของเมอร์เซเดส ก่อนเดินจากไป
ไลฟ์ฉวยมือทั้งสองของคนรักขึ้นมาเกาะกุมเอาไว้ “ไม่ต้องห่วงอะไรนะ มีสมาธิให้มากๆ”
“คงไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกมั้ง กลับบ้านคราวนี้ครอบครัวฉันคงวุ่นวายกันน่าดู”
“ยังไงก็เถอะ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกน่า เธอเป็นคนที่ต้องเดินทางนะ”
“เข้าใจแล้ว”
ไลฟ์กอดเมอร์เซเดสเอาไว้ ฝ่ายหญิงสาวเองก็ซบหน้าเอากับแผ่นอกอันแข็งแกร่ง ตอบรับอ้อมกอดของเขาด้วยความรู้สึกอบอุ่นหัวใจ เวลาผ่านไปนานเท่าไรก็ไม่สำคัญแล้วสำหรับคนทั้งสอง สัญญาณพร้อมออกเรือของกัปตันส่งต่อไปยังลูกเรือทุกนาย เมอร์เซเดสลืมตาขึ้นเห็นลอเรนส่งสัญญาณให้กับนางจึงผละออกจากอ้อมกอดอันอบอุ่น
“ต้องไปแล้วล่ะ”
ไลฟ์เอื้อมมือสัมผัสแก้มนุ่มของคนรักอย่างเบามือ “สัญญาแล้วนะว่าจะกลับมา”
“ฉันสัญญา”
ใจที่เต้นรัวสั่งให้ชายหนุ่มคว้าตัวหญิงสาวเอาไว้ ก่อนจะบรรจงประทับรอยจูบลงบนริมฝีปากอันเย้ายวนของอีกฝ่าย วงแขนของเมอร์เซเดสรัดเข้าที่รอบเอวของชายหนุ่มพร้อมส่งความรู้สึกจากก้นบึ้งของหัวใจกลับไปหาอีกฝ่ายผ่านรสจูบอันเร่าร้อน ก่อนที่ทั้งคู่จะถอนจูบด้วยความเคอะเขิน พร้อมกับฝ่ายหญิงที่เดินจากไปเงียบๆ ไม่มีคำบอกลาใดๆ นอกจากรสจูบที่เป็นสัญญาทางใจที่มอบให้กัน สัมผัสอันหอมหวานสะกดให้ไลฟ์ยืนมองเรือที่แล่นออกจากท่าไปอย่างช้าๆ จนหายลับไปจากสายตาพร้อมๆกับสติที่เลื่อนลอย