Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 23 อร่อยมั้ย
การเดินทางนั้นจะยังคงใช้เวลาอีกราวๆสิบวันกว่าจะถึงแอวิน เมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางของกองคาราวาน แต่ ณ เวลานี้ เป็นช่วงเวลาที่ทั้งกองต้องหยุดพัก บรรดาทหารเริ่มตั้งกระโจมและจัดการเตรียมที่พัก ส่วนไลฟ์ก็ยังคงทำเหมือนทุกครั้งที่มีการค้างแรม เด็กหนุ่มเลือกที่จะเดินสำรวจอย่างเรื่อยเปื่อยบริเวณรอบๆ ค่ายพัก เพื่อหลีกเลี่ยงการพบเจอกับเจ้าหญิงหรือผู้ติดตาม รวมถึงบรรดาราชองครักษ์ที่แสนน่ารำคาญ ทว่าวันนี้อาจจะเป็นวันอภิมหาซวยสำหรับเขา เพราะขณะที่กำลังเดินอยู่ริมธารน้ำใกล้ๆกับค่ายพัก เสียงหัวเราะอย่างมีความสุขของเหล่าหญิงสาวก็ดังขึ้นขัดความสุนทรีย์ของเขา
ระหว่างที่กำลังหงุดหงิดอยู่นั้น ภาพที่เห็นตรงหน้าของเด็กหนุ่มคือเสื้อผ้ากองโตกับหญิงอีกสาวสามคนที่กำลังเล่นสนุกอยู่ในธารน้ำ แต่แทนที่เด็กหนุ่มจะเดินหนีอย่างเงียบเชียบตามที่เคยทำเป็นประจำเมื่อบังเอิญได้พบเจอกับคนที่ไม่อย่างจะเข้าไปวุ่นวายด้วย ไลฟ์กลับร้องเตือนให้ทั้งสามกลับขึ้นฝั่ง “ขอโทษนะสาวๆ ไม่อยากจะขัดความสุขพวกเธอนักหรอก แต่รีบๆ กลับขึ้นฝั่งกันได้แล้วล่ะ”
เสียงกรีดร้องของสามสาวดังขึ้นด้วยความตื่นตระหนกเรียกให้เหล่าชายฉกรรจ์แปดคนที่คอยเฝ้าอยู่ห่างๆ กรูกันเข้ามาที่ริมฝั่งพร้อมอาวุธในมือ ไลฟ์พยายามควบคุมสถานการณ์ เผื่อทุกอย่างจะง่ายขึ้น “บ้าจริง!! เอาล่ะหยุดส่งเสียงแล้วกลับขึ้นมาได้แล้ว”
เสียงโวยวายที่คุ้นเคยดังขึ้นจากด้านหลังพร้อมปลายดาบอีกหลายเล่มจ่อมาที่ตัวเด็กหนุ่ม “แกมาทำอะไรที่นี่วะ”
“โอ้ ท่านเซอร์กับพรรคพวกเหรอ” ก่อนที่เหล่าราชองครักษ์จะไต่ถามที่มาที่ไป ไลฟ์ก็ตะโกนสั่งสาวๆ อีกครั้ง
“นี่พวกเธอน่ะ โวยวายกันซะจนมีคนมาเพิ่มแล้วนะ เอ้าเฮ้ย…ถ้าไม่อยากตายก็รีบๆขึ้นมาบนฝั่งกันได้แล้ว เดี๋ยวนี้เลย”
“พูดอะไรของแกวะ” ไลฟ์ยังคงเมินเฉยต่อคำถามของราชองครักษ์แม้ดาบทุกเล่มพร้อมที่จะเสียบเข้าร่างของเขาได้ทุกวินาที
“สาวๆ ฟังให้ดีนะ ฉันจะพูดอีกแค่ครั้งเดียวนะ เลือกเอาเองว่าจะอยู่ในน้ำแล้วตายไปซะ หรือจะกลับขึ้นบนฝั่งนี่…ให้ตายเถอะ!!”
สถานการณ์เลวร้ายลงไปอีก เมื่อสามสาวยังคงยืนนิ่งซ่อนร่างเปลือยเล่าของพวกนางเอาไว้อยู่กลางธารน้ำ อีกทั้งไม่มีท่าทีจะรับฟังคำเตือนของเขา ไลฟ์จึงตัดสินใจย่อตัวลงอย่างรวดเร็วพร้อมดีดตัวถอยหลังลอดใต้คมอาวุธที่จ่อเข้าหาตัวจนกระแทกเข้ากับบรรดาราชองครักษ์ที่ขวางทางอยู่ ก่อนจะตั้งหลักแล้วออกวิ่งสุดฝีเท้าตามด้วยคว้าเอาท่อนไม้ที่อยู่ใหล้ตัว และอาศัยพลังข้อเท้าทะยานข้ามศีรษะของสามสาวก่อนที่จะจมหายไปกับสายน้ำ
ท่ามกลางความสับสน ทุกคนหยุดนิ่งราวกับเวลาถูกหยุดเอาไว้ ทว่าความสงบท่ามกลางความวุ่นวายก็เกิดขึ้นได้ไม่นาน หนึ่งในผู้ติดตามของเจ้าหญิงเฮนเรียตกรีดร้องขึ้นสุดเสียง พร้อมบางอย่างผุดขึ้นสู่ผิวน้ำอย่างรวดเร็ว ภาพของเด็กหนุ่มบนหลังจระเข้ขนาดใกล้เคียงกับม้าศึกสร้างความตื่นตะลึงให้กับทุกคนอย่างมาก สามสาวตะเกียกตะกายขึ้นฝั่งอย่างทุลักทุเล ในธารน้ำตอนนี้มีเพียงเด็กหนุ่มที่ใช้กำลังทั้งหมดที่มีโอบแขนกำยำสมวัยของเขารัดรอบลำคอสัตว์เลื้อยคลานตัวใหญ่ที่พยายามดิ้นรนเอาชีวิตรอดสุดขีด สัตว์ร้ายหมุนตัวไปมาตามสัญชาตญาณ กระทั่งเวลาผ่านไปครู่ใหญ่มันก็หมดแรงและเกยตื้นที่ริมฝั่งก่อนจะหมดลมหายใจไปพร้อมๆ กับไลฟ์ที่เรี่ยวแรงแทบจะไม่เหลือพอจะผลักร่างไร้ลมหายใจของสัตว์ร้ายที่ทับบนตัวเขาออกไปได้ กลุ่มคนที่เขาพยายามหลีกเลี่ยงที่จะพบเจอ บัดนี้ได้หายตัวไปจากริมธารน้ำแห่งนี้กันจนหมดแล้ว ด้วยเรี่ยวแรงอันน้อยนิดชายหนุ่มทำได้เพียงนอนหอบอยู่ใต้ร่างของจระเข้ยักษ์เท่านั้น “เออ…แบบนี้…เงียบสงบดีเหมือนกันนะ”
หลังจากที่นอนนิ่งหมดเรี่ยวแรงอยู่ได้ครู่ใหญ่ ไลฟ์ออกแรงผลักสัตว์ร้ายให้พ้นตัว เสียงฝีเท้าที่เร่งร้อนมุ่งตรงมายังบริเวณที่เด็กหนุ่มนอนอยู่ “ไงไอ้หนุ่ม ได้ยินว่ากำลังลำบาก”
ไลฟ์ขยับศีรษะมองไปทางต้นเสียง “หัวหน้า”
“ว่าไงๆ ยังต้องการความช่วยเหลืออยู่มั้ย”
ไลฟ์ชูมือขึ้นส่งสัญญาณ “อา…ช่วยดึงฉันขึ้นไปที”
ฟราวซ์ออกแรงฉุดแขนเด็กหนุ่มให้ลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว พลางชี้ไปที่จระเข้ที่นอนสงบนิ่งอยู่ใกล้ตัว “แล้วไอ้เจ้านี่ล่ะ จะเอายังไง”
ไลฟ์ส่งยิ้มแปลกๆ ให้กับหัวหน้ากองคาราวาน “หัวหน้าไปบอกพวกพ่อครัวให้ที เดี๋ยวเอาเนื้อไปฝาก”
ฟราวซ์นิ่งไปชั่วครู่ “มันกินได้ด้วยเหรอ”
“ถ้าปรุงดีๆ …ก็อร่อยใช้ได้เลยล่ะ”
สีหน้าของฟราวซ์ดูจะยังไม่มั่นใจกับสิ่งที่เพิ่งได้ยินสักเท่าไร “เคยกินเหรอ”
“เคยสิ แต่ตอนนั้นทำอาหารไม่เป็น แล้วขนาดมันก็ใหญ่กว่าหม้อดินเผาที่พกไปไหนมาไหนด้วยตลอดล่ะนะ ฉันทำได้แค่ย่างมันทั้งตัวเท่านั้นล่ะ”
พอหัวหน้ากองคาราวานได้ฟังว่าเด็กหนุ่มเคยลิ้มรสของมันมาแล้วก็พออุ่นใจขึ้น “เออ เดี๋ยวจะไปบอกพวกพ่อครัวให้แล้วกัน”
ก่อนจะล่วงหน้ากลับค่ายพัก ฟราวซ์สังเกตเห็นสีหน้าของไลฟ์แปลกไปจากเดิม ไม่แน่ใจว่าเพราะแสงตะวันที่เริ่มจะเลือนหายไปจนหมดแล้ว หรือเด็กหนุ่มคนนี้มีอะไรบางอย่างในใจ ทว่าก่อนที่จะได้คิดอะไรไปมากกว่านี้ไลฟ์เองที่เป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้น “เออนี่หัวหน้า”
“มีอะไร”
“แถวนี้มันมีอะไรผิดปรกติรึเปล่า”
“ผิดปรกติ…ยังไง”
“ก็ไอ้เจ้านี่น่ะ มันตัวใหญ่กว่าที่เคยเจอน่ะ”
“ก็ไม่รู้หรอก แต่พวกสัตว์รอบๆ แอวินน่ะ จะตัวใหญ่กว่าที่อื่น”
ไลฟ์กอดอกครุ่นคิดบางอย่างขณะที่กำลังจ้องมองที่จระเข้อีกครั้ง “นี่มันใหญ่ไปรึเปล่า ดูแล้วมันยังไม่ใช่ตัวที่โตเต็มวัยเลยด้วยซ้ำ”
“คงไม่มีอะไรแปลกหรอกมั้ง” ไลฟ์หันไปมองตาของคู่สนทนาด้วยความสับสน “เอางี้นะ ถ้านี่มันปรกติ งั้นลองคิดดูว่าพวกมอนสเตอร์ที่เราต้องไปเจอมันจะตัวขนาดไหน ขนคนไปแค่นี้ก็ไม่พอแล้วล่ะมั้งเนี่ย”
หัวหน้ากองคาราวานหันหลังเดินกลับไปที่ค่ายอย่างช้าๆ “มันไม่น่ากลัวเท่าตัวที่ทำให้เราต้องเลื่อนกำหนดเดินทางหรอกน่า”
จากที่ไม่เคยสนใจว่าอะไรคือสิ่งที่ทำให้พวกเขาต้องเดินทางก่อนกำหนด พอได้ยินว่ามอนสเตอร์ตัวต้นเหตุมันน่ากลัวขนาดไหน ทำให้ ณ เวลานี้ ไลฟ์เกิดความรู้ว่าต้องมีความวุ่นวายบางอย่างรอเขาอยู่ที่แอวินอย่างแน่นอน
ความสงบของค่ายพักถูกทำลายลงด้วยเงาของสัตว์ขนาดใหญ่ที่มุ่งตรงเข้ามาอย่างช้าๆ บรรดามือธนูเรียงแถวง้างคันศรรอจังหวะกำจัดภัยที่กำลังจะมาเยือน แต่ก่อนที่จะมีการสั่งการอะไร ภาพของชายรูปร่างสันทัดก็ปรากฏขึ้นพร้อมกับสัตว์ร้ายขนาดใหญ่นั้น และเสียงร้องขอความช่วยเหลือ
“ใครก็ได้ช่วยที เอาไอ้นี่ไปให้พวกพ่อครัวหน่อย”
“ไอ้หนุ่ม!!!”
ทหารหลายนายกรูกันเข้าไปช่วยกันคนละไม้คนมือ แบกจระเข้ยักษ์ไปที่บริเวณโรงครัวชั่วคราว เหล่าพ่อครัวที่ได้เห็นวัตถุดิบสดใหม่จากธารน้ำใกล้ค่ายพักก็ตกใจอยู่พอสมควร ก่อนที่หัวหน้าคนครัวจะตัดสินใจสั่งให้ถลกหนังนำเนื้อส่วนใหญ่ไปรมควันเก็บเอาไว้เป็นเสบียงเพิ่มเติม และปรุงเนื้อสดอีกส่วนหนึ่ง นำไปส่งให้กับบรรดานายทหารยศสูงๆ ที่ร่วมเดินทางมาด้วย รวมถึงจานพิเศษสำหรับพรานผู้ล่าตามที่เขาขอเอาไว้ทันที
หลังจากที่ส่งต่อเนื้อสดให้กับพวกทหารแล้ว ไลฟ์ก็ลากร่างอันไร้เรี่ยวแรงไปที่ท้ายขบวน จัดแจงถอดเสื้อผ้าเปียกน้ำออก แล้วผลัดเปลี่ยนชุดที่ใหม่แต่ก็ยังสวมเพียงแค่กางเกงตัวเดียวเท่านั้น ก่อนจะโยนตัวเองขึ้นไปนอนในเกวียนโดยสารที่คุ้นเคยของตนและหลับไปในที่เวลาไม่นาน
ภายใต้แสงจันทร์นวลงดงาม มือบางคู่หนึ่งคืบคลานเข้าหาร่างเปลือยท่อนบนของไลฟ์อย่างเงียบงัน เจ้าของมือปริศนาบรรจงแตะปลายนิ้วชี้ลงแผ่นอกกว้างอย่างแผ่วเบา ก่อนจะค่อยๆ วาดปลายนิ้วลากไปมาตามกล้ามเนื้อและรอยแผลเป็นบนแผงอกหนา จากนั้นเปลี่ยนเป็นการสัมผัสลูบไล้จากแผงอกไล่ไปยังหัวไหล่ ลากไปจนถึงต้นแขนอย่างอ้อยอิ่ง ด้วยความเหนื่อยล้าทำให้คนที่ประสาทสัมผัสเฉียบคมอย่างไลฟ์ไม่รู้สึกถึงการถูกลวนลามครั้งนี้แม้แต่น้อย
ราวกับถูกสะกดด้วยเวทมนตร์บางอย่าง ไลฟ์ลืมตาขึ้นทางกลางความมืด ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจนไม่สามารถขยับตัวได้แม้แต่ปลายนิ้ว กองไฟขนาดเล็กทำหน้าที่ส่องสว่างให้เห็นภาพของผู้คนจำนวนหนึ่งถูกมัดมือและเท้าทั้งสองข้างเอาไว้เช่นเดียวกับตัวเขา ทว่าสภาพของเสื้อผ้าที่เปื่อยยุ่ยมอมแมมบนร่างเด็กหนุ่มนั้นต่างออกไปจากคนอื่น เสียงเอะอะดังขึ้นไม่ไกลตัวเขามากนัก กลุ่มชายฉกรรจ์ประมาณแปดคนกำลังสังสรรค์อย่างกันอย่างมีความสุข กับหญิงสาวอีกสี่คนที่ดูเหมือนหนึ่งในนั้นจะเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้กำลังพักผ่อนอย่างสบายใจ
ภาพที่เห็นอยู่ ณ เวลานี้มันช่างแสนจะคุ้นตา ขณะเดียวเรี่ยวแรงที่เริ่มฟื้นกลับมา เด็กหนุ่มเริ่มใช้วิชาสะเดาะกุญแจที่ถูกยัดเยียดให้เรียนรู้ปลดปล่อยตัวเองออกจากพันธนาการ ก่อนจะค่อยๆ พาตัวเองออกไปจากแคมป์เงียบๆ ทว่าเขากลับต้องพลาดท่าให้กับหญิงสาวพร้อมรอยสักที่ลำคอกับหอกสั้นในมือ ไลฟ์ล้มลงพร้อมหอกสั้นที่พุ่งปักกับพื้น เฉียดลำคอของเขาไปไม่มากนัก หญิงสาวใช้หัวเข่ากดหน้าอกตรึงร่างของเขาเอาไว้ไม่ให้ขัดขืน พร้อมเอื้อมมือมาจับที่ใบหน้าอันหยาบกร้าน ปฏิกิริยาตอบโต้ตามสัญชาตญาณทำงานอีกครั้ง เขาคว้าข้อมือของหญิงสาวเอาไว้ ออกแรงบีบจนแน่นพอที่จะให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการต่อต้านขัดขืน
“โอ๊ย!” เสียงร้องของหญิงสาวปลุกไลฟ์ให้สะดุ้งตื่น ดวงตาเบิกโพลง พยายามสูดลมหายใจให้ลึกที่สุด ทว่าเจ้าของมือปริศนาก็ท้วงขึ้นมาอีกครั้ง “ปล่อยนะ!”
เด็กหนุ่มหันมองที่ต้นเสียงก็พบว่าเขากำลังกุมข้อมือของหญิงสาวที่เขาเองก็ไม่รู้แม้แต่ชื่อของนางเอาไว้ จำได้เพียงว่าเป็นหนึ่งในสามสาวที่ลงเล่นน้ำเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา ไลฟ์ปล่อยมือของนางอย่างรวดเร็ว “มาทำอะไร”
หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ “คือว่า ฉัน…”
“กลับไปซะ”
“แต่ว่า”
“ถ้างั้น…ต้องการอะไรล่ะ”
หญิงสาวนั่งนิ่ง หน้าตึงด้วยความโมโห “หยาบคาย”
“เฮ้ย นี่เธอเป็นคนย่องเข้ามาหาฉันตอนนอนเองนะ”
“ฉันแค่อยากจะมาขอบคุณ…ที่นาย….ช่วยชีวิต”
ไลฟ์ขยับแขนขยี้ศีรษะตัวเองแรงๆ “อ๋อ ใช่เรื่องนั้นสินะ เอาเป็นว่าจะลงน้ำก็ดูให้มันดีๆ ก่อนแล้วกัน น้ำนิ่งแบบนั้นอย่าลงไปเสี่ยง”
“แต่ฉันเห็นแค่ปลานี่” เสียงถอนหายใจของเด็กหนุ่มดังขึ้น พร้อมการขยับตัวลงจากเกวียนโดยสาร หยิบเสื้อมาสวม ตามด้วยมองหน้าหญิงสาวด้วยแววตาที่เลื่อนลอย ทว่าภายใต้แสงจันทร์ในความมืด หญิงสาวไม่ได้สังเกตถึงแววตาของเขาแม้แต่น้อย “มีปลาก็แสดงว่ามีอาหารไง แต่เอาเถอะ เรื่องมันผ่านไปแล้วล่ะ”
เนื้อจระเข้ปรุงสุกส่งกลิ่นหอม มาถึงท้ายขบวนพร้อมกับหนึ่งในลูกมือพ่อครัวชั้นยอด “ท่านไลฟ์ครับ อาหารที่สั่งได้แล้วครับ”
คนครัวชะงักเท้า ยืนนิ่งและแสดงอาการประหม่าจนเหงื่อตก “องค์หญิง!!!”
ไลฟ์มองหญิงสาวด้วยสายตางุนงง สมองพยายามเรียบเรียงความทรงจำ แน่นอนว่าตลอดการเดินทาง เขาไม่เคยได้สนทนากับเจ้าหญิงเฮนเรียตเลย ไม่เคยแม้แต่จะรู้จักหน้าตาของนางด้วยซ้ำ รู้เพียงแค่เป็นหนึ่งในเด็กสาวที่ลงเล่นน้ำโดยที่ไม่รู้ว่าน้ำนิ่งแบบนั้นมักเป็นที่อาศัยของสัตว์ร้าย แล้วเด็กสาวสูงศักดิ์ย่องออกมาเดินเล่นตอนกลางคืนเพื่อแค่จะมาขอบคุณที่เขาช่วยชีวิตน่ะเหรอ ฟังดูประหลาดมากสำหรับเขาจริงๆ เด็กหนุ่มเดินไปรับอาหารจากคนครัวแล้วหันหลังกลับขึ้นเกวียนไปเงียบๆ เฮนเรียตปีนขึ้นมานั่งบนเกวียนพิงหลังอย่างสบายใจจ้องหน้าไลฟ์แต่ไม่พูดอะไร ทำให้คนถูกจ้องต้องเอ่ยปาก “อะไรล่ะนั่นน่ะ”
“ฉันแค่สนใจแผลเป็นพวกนั้น” สิ่งที่ได้ยินทำให้ไลฟ์ที่กำลังหยิบเนื้อเข้าปากต้องหยุดชะงัก “อะไรนะ”
“แผลพวกนั้น”
ชายหนุ่มตัดบททันทีเพราะไม่ต้องการพูดถึงทันอีก “ไม่มีอะไรหรอก”
เฮนเรียตขยับตัว ยื่นหน้าเข้าใกล้ชายหนุ่มด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัยใคร่รู้ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้สร้างความหงุดหงิดใจให้ไลฟ์อย่างมาก เขาหยิบเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปากด้วยความหิวโหย “ใกล้เกินไปแล้ว..ยัยบ้า” ก่อนที่จะขยับมือผลักใบหน้าของคู่สนทนาให้ออกห่างจากตัวเบาๆ “ฟังนะ ฉันไม่อยากจะพูดถึงมัน”
น้ำเสียงที่ฟังผ่านๆ อาจจะดูนิ่งเรียบของเขา ซ่อนเจ็บปวดราวกับฝันร้ายเอาไว้ได้สำหรับคนอื่น แต่เฮนเรียตกลับจับความผิดปกติในคำพูดของเขาได้
“ขอโทษนะ ฉันคิดว่านายได้แผลพวกนั้นมาจากสงครามซะอีก” เด็กหนุ่มยื่นจานเนื้ออบหอมน่ากินให้ เฮนเรียตหยิบเนื้อเข้าปากโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันคือเนื้ออะไร
“ฉันเคยเป็นคนพเนจร แผลพวกนี้มันคือสิ่งที่เลวร้ายที่สุด ฉันไม่ใช่นักรบผู้ยิ่งใหญ่ ฉันมันก็แค่…” ไลฟ์ขยับลุกออกจากเกวียนแต่เฮนเรียตผลักเขาให้กลับลงไปนั่งที่เดิม
“ฉันขอโทษ ฉันแค่…ไม่เคยเห็นผู้ชาย…ถอดเสื้อมาก่อนเลย” ไลฟ์นั่งนิ่งหรี่ตามองเด็กสาว “อะไรวะนั่นน่ะ แล้วมันยังไงเหรอ”
“คือฉัน แค่…เห็นนาย แล้ว…. แล้วฉันก็…ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ก่อนหน้านี้ก็เคยเห็นท่านพี่โลริกซ์ถอดเสื้อหลายครั้งแล้ว แต่ว่า…”
“ไหนบอกไม่เคยเห็น”
เด็กสาวตอบกลับเสียงอ่อย งึมงำ “มันไม่ใช่แบบนั้น คือฉันไม่เคย…รู้สึกแบบนี้มาก่อนเลย”
เด็กหนุ่มนั่งนิ่ง อ้าปากค้างกะพริบตาถี่ “แล้วยังไงล่ะ”
“ฉัน…คือฉันก็ไม่รู้…ฉันแค่…ฉันควบคุมตัวเองไม่ได้ ฉันอยากรู้”
“ฟังนะเจ้าหญิง ไปปรึกษาคนสนิทของเธอซะจะดีกว่า ฉันเองไม่รู้หรอกว่าไอ้ที่เธอพูดมาน่ะมันเป็นยังไง”
เฮนเรียตขยับตัวกลับไปนั่งจ้องหน้าไลฟ์ตามเดิม “เอางี้นะ เธอกลับไปพักผ่อนเถอะ เรายังต้องเดินทางกันอีกหลายวัน”
เฮนเรียตพยักหน้าตอบรับ “งั้นฉันกลับก่อนนะ” ไลฟ์หันไปมองร่างบางของเด็กสาวเดินจากไปช้าๆ เขาตัดสินใจขัดจังหวะนางอีกครั้ง
“นี่องค์หญิง….เนื้อน่ะ”
“เนื้อเหรอ”
“อร่อยมั้ย?”
“อื้ม…อร่อย”
“เหรอ” ไลฟ์สิ่งยิ้มเฮนเรียตโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว “ดีแล้วล่ะ”
เฮนเรียตหันหลังเดินกลับไปที่รถม้าของตน ปล่อยให้ไลฟ์นั่งกอดเข่าตัวสั่นเทาอยู่เพียงลำพังในความมืด ฝันร้ายที่เขาเห็น แน่นอนว่ามันเป็นเหตุการณ์ในอดีตอันเลวร้ายจนกลายเป็นแผลลึกฝังอยู่ในจิตใจ แต่อะไรกันที่ทำให้เขาฝันถึงเหตุหารณ์อันเลาร้ายนี้อีกครั้ง อะไรที่ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ที่ตัวเขาเองไม่ได้นึกถึงมันมานานมากแล้ว แถมภาพฝันร้ายนั่นมันชัดเจนกว่าทุกครั้งที่ฝันถึง ราวกับว่ามันเพิ่งเกิดขึ้นกับเขาอีกครั้ง