Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 24
บรรยากาศอันร่มรื่นอบอวลด้วยกลิ่นพฤกษา และสมุนไพรหลากชนิดอันเป็นเสน่ห์ของแอวินปลุกเด็กหนุ่มในเกวียนท้ายขบวนให้ตื่นจากการหลับใหล เมืองที่เปรียบเสมือนเมืองหลวงของสมุนไพรแห่งนี้ สำหรับคนอื่นแล้ววิถีชีวิตของผู้คนที่นี่สามารถเรียกความสนใจได้อย่างมาก แต่กับคนที่ไม่ยี่หระกับสิ่งที่ตนไม่ได้ให้ความสนใจอย่างไลฟ์แล้ว เมืองใหญ่ทางตอนเหนือแห่งนี้ เป็นเพียงเมืองที่เขาต้องมาพักแรมเพื่อรอให้พวกหมอกับนักพฤกษศาสตร์ทำงานให้เสร็จเรียบร้อยเท่านั้น ส่วนการขับไล่พวกมอนสเตอร์ที่ข้ามเขตมาป้วนเปี้ยนรอบๆเมืองแห่งนี้ก็อาจเป็นกิจกรรมสำหรับแก้เบื่อไปวันๆ เท่านั้น
ทันทีที่กองคาราวานเข้าสู่เขตแดนของแอวิน ไลฟ์สังเกตได้ถึงกำลังทหารที่มากกว่าปกติคอยลาดตระเวนรอบๆกำแพงเมือง แน่นอนว่าสาเหตุที่ต้องใช้กำลังมหาศาลขนาดนี้ต้องไม่ใช่แค่มอนสเตอร์ระดับทั่วไปแบบที่เขาเคยรับมือในสนามรบ ด้านผู้พันฟราวซ์เริ่มสั่งการให้แยกกำลังพลของกองคาราวานออกเป็นสองส่วน ส่วนหนึ่งคอยสนับสนุนราชองครักษ์ และคุ้มกันพวกหมอและนักวิจัย อีกส่วนหนึ่งให้ไปประจำการที่กองรบของแอวิน ส่วนไลฟ์ที่ได้รับคำสั่งให้ทำหน้าที่คุ้มกันทีมวิจัยเรียบร้อยแล้ว ก็จัดการสำรวจที่พักของตน ก่อนจะใช้เวลาที่ว่างเหลืออยู่เดินสำรวจเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับงานคุ้มกันในวันพรุ่งนี้
เสียงโวยวายของบรรดาทหารที่อยู่บนกำแพงเรียกความสนใจให้กับไลฟ์จนต้องปีนขึ้นดูว่าเกิดอะไรขึ้น ภาพของมอนสเตอร์ขนาดมหึมาสยายปีกคู่ยักษ์มุ่งหน้ามายังแอวินด้วยความเร็วสูง
“มันมาแล้ว ประจำสถานีรบ!!”
สิ้นเสียงสั่งการของพลตรีฮายลีย์แม่ทัพแห่งแอวิน เหล่าพลธนูเข้าประจำตำแหน่งตั้งท่าพร้อมยิงอย่างเร่งร้อน หน้าไม้ขนาดยักษ์บรรจุศรหัวเหล็กกล้าพร้อมยิง เล็งเป้าไปหามอนเตอร์ยักษ์ที่กำลังบินเข้าใกล้ทุกขณะ
ไลฟ์สัมผัสถึงบางอย่างที่ไม่เป็นอันตรายจากมอนเตอร์ยักษ์ตัวนั้น จึงส่งเสียงขัดจังหวะสั่งการของแม่ทัพฮายลีย์ “เดี๋ยวก่อน…อย่ายิง!!”
ก่อนที่พลตรีฮายลีย์จะได้สั่งการอะไรต่อไป เด็กหนุ่มชี้ไปที่มอนเตอร์ยักษ์ตัวนั้น “ดูให้ดีสิ มันไม่ได้เป็นอันตรายอะไรหรอกน่า”
มอนเตอร์ยักษ์เปลี่ยนทิศทางพุ่งตัวโฉบลงที่พื้นก่อนจะเชิดตัวขึ้นบนฟ้าอีกครั้ง พร้อมมอนสเตอร์ขนาดเท่าวัวโตเต็มวัยในกรงเล็บอันแข็งแกร่งของมัน จากนั้นก็บินหายไปในเวสต์แลนด์ พฤติกรรมที่เห็นของมอนเตอร์ยักษ์ครั้งนี้ถือเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเหล่าทหารของแอวิน เนื่องจากก่อนหน้านี้พวกเขาใช้ธนูและหน้าไม้ยักษ์ไล่มันไปก่อนที่มันจะเข้าใกล้กำแพงเมือง ไลฟ์ที่เพิ่งจะเห็นมอนเตอร์ยักษ์ตัวนี้เป็นครั้งแรก จึงอดที่จะสอบถามข้อมูลเกี่ยวกับมอนสเตอร์ยักษ์ตัวนี้ไม่ได้
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะท่านนายพล ไอ้ตัวนั้นน่ะมันอะไรกัน”
“มังกร”
เด็กหนุ่มทนคำตอบอีกครั้งราวกับตนได้ยินไม่ชัดทั้งที่นายพลฮายลีย์เองก็พูดชัดถ้อยชัดคำ “มังกรเหรอ”
“ใช่ นั่นแหละมังกร”
“มันคือสาเหตุที่กองคาราวานต้องเลื่อนเวลาเดินทางใช่มั้ย”
นายพลตัดสินใจอธิบายทุกอย่างให้เด็กหนุ่มฟัง “ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละ มันไม่เคยข้ามเขตมาให้เห็นตัวหลายร้อยปีแล้ว อยู่ๆ มันก็โผล่มา แล้วปกติเราจะไล่มันไปก่อนที่มันจะข้ามเขตเวสต์แลนด์มาได้น่ะ”
“งั้นก็ไม่จำเป็นต้องกังวลกับมันอีกแล้วล่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
จากที่เห็นทำให้ไลฟ์สามารถคาดเดาพฤติกรรมของมังกรยักษ์ได้ “ก็เห็นแล้วนี่ ว่ามันมาเพื่อจับพวกมอนสเตอร์กลับไป แล้วอีกอย่าง ถ้ามันจะโจมตีเมืองจริงๆ ล่ะก็ แค่อาวุธที่มีอยู่ตรงนี้น่ะ ไม่พอหรอกท่าน มันจะฆ่าได้ก็แค่ไอ้ตัวที่โดนหิ้วกลับไปหรือว่าใหญ่กว่านั้นไม่มากเท่านั้นแหละ”
“ว่าไงนะ”
“พวกท่านยิงมันด้วยไอ้นั่นไปกี่ครั้งแล้วล่ะ มันไม่มีอาการบาดเจ็บให้เห็นเลยใช่มั้ย เอาเถอะ คราวหน้าก็ระวังไอ้ตัวที่อยู่บนพื้นก็พอแล้วล่ะท่าน ผมไปก่อนล่ะ” พูดจบเด็กหนุ่มก็กระโดดลงจากกำแพงทันที ปล่อยให้ฮายลีย์กับบรรดาลูกน้องยืนนิ่งและครุ่นคิดกับการปรากฏตัวอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยตัวของเด็กหนุ่มปริศนาอยู่บนกำแพงทั้งอย่างนั้น
สายลมยามเย็นพัดปะทะร่างกายกำยำที่กำลังนั่งจิบไวน์อย่างสบายอารมณ์อยู่ในสวนหย่อมที่ถูกดูแลเป็นอย่างดี ความสงบหลังจากสงครามที่ยืดเยื้อกับศรัทธาของผู้คน ทำให้พลังของเฟอัสก์ฟื้นฟูพลังเทพกลับมาจนเกือบเต็มที่แล้ว ทว่าการละเมิดกฎมอบพลังให้กับไลฟ์โดยที่เด็กหนุ่มไม่ได้ร้องขอนั้น เทพผู้ปกปักอาณาจักรลีซเนปต้องทัณฑ์สวรรค์ ไม่สามารถใช้พลังได้อย่างเต็มที่เป็นเวลา 50 ปี ทว่าสถานการณ์ไร้ซึ่งสงครามแบบนี้ ตัวเขาเองก็ไม่จำเป็นจะต้องใช้พลังเทพในตัวมากมายเท่าก่อนหน้านี้แล้ว สิ่งที่เขาต้องทำอย่างจริงจังก็คงไม่มีอะไรนอกจากการจิบไวน์และเพลิดเพลินไปกับความสุขของผู้คนได้อย่างเต็มที่เท่านั้น อย่างไรเสียวันนี้กลับเป็นวันที่ต่างออกไปจากคำว่าปกติเล็กน้อย สิ่งที่เขากำลังเฝ้ามองอยู่นั้นคือภาพของเด็กหนุ่มที่เข้าครัวลองทำอาหารจากสูตรที่คัดลอกมาจากตำราในบ้านหลังใหญ่ของตัวเองเป็นครั้งแรก
รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นที่มุมปากของเฟอัสก์ “หืมมม…มื้อเย็นเหรอ…น่าสนใจดีเหมือนกันแฮะ”
เฟอัสก์วางแก้วไลน์ลง เหยียดแขนตึงบิดตัวไล่ความเมื่อยล้าออกไป ก่อนจะลุกขึ้นยืนมองตะวันลับของฟ้าด้วยความเพลิดเพลิน
เนื้ออบฝีมือของไลฟ์ส่งกลิ่นหอมอบอวลยั่วน้ำลายของบรรดาทหารที่พักผ่อนอยู่ในอาคารเดียวกันอย่างน่าประหลาด เสียงเคาะประตูดังขึ้นเรียกความสนใจของเด็กหนุ่มให้ผละออกจากโต๊ะอาหาร ไลฟ์เปิดประตูช้าๆ ทว่าผู้มาเยือนกลับไม่อยู่ที่หน้าประตูแล้ว “หอมน่ากินดีนะไอ้นี่น่ะ”
ผู้มาเยือนนั่งอยู่ที่โต๊ะอาหารกลางห้องโดยที่เจ้าของห้องยังไม่ันได้ออกากเชิญชวน ส่งยิ้มให้กับเด็กหนุ่มที่กำลังปิดประตูด้วยความเบื่อหน่าย “ว่างมากรึไงลุง”
“ก็นะ ชีวิตแสนสงบมันช่างวิเศษสุดๆ เลยล่ะ ว่างซะจนอยากจะออกไปเที่ยวให้ทั่วโลกใบนี้เลย”
“แล้วยัยป้าหัวดื้อคนนั้นล่ะ สบายดีรึเปล่า”
รอยยิ้มอบอุ่นของเฟอัสก์หม่นลงเล็กน้อย “ก็สบายดีแหละพลังของพี่ก็ฟื้นกลับมาแล้ว”
“งั้นเหรอ…ถ้าฉันพอจะมีเวลาว่างให้ละลายเล่นแบบลุงก็อยากจะลองไปเที่ยวที่วิหารในสโจรกาดดูสักครั้งล่ะนะ”
“โอ้…ถ้าได้ไปก็อย่าไปทำตัววุ่นวายนักล่ะ”
ไลฟ์ส่ายหน้าช้าๆ “ไม่ใช่ฉันหรอกมั้งลุงที่จะทำตัววุ่นวายน่ะ”
เฟอัสก์หัวเราะเบาๆ “นั่นสินะ…แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พี่น่ะ คงก่อเรื่องไม่ได้อีกอย่างน้อยๆ ก็สองร้อยปีล่ะนะ”
คำพูดของเทพเจ้าแห่งลีซเนปสร้างฉงนให้กับเด็กหนุ่ม “หมายความว่าไงล่ะนั่นน่ะ”
“ก็อย่างที่บอกไว้ นางถูกลงทัณฑ์ฐานมีส่วนร่วมในการก่อสงคราม ไม่สามารถใช้พลังได้เต็มที่น่ะ ถึงตอนนี้จะได้รับพลังเทพกลับคืนมาจนเกือบจะเต็มพิกัดแล้วก็เถอะ”
“สองร้อยปีเหรอ มันคงไม่นานหรอกมั้ง สำหรับเทพเจ้าน่ะ”
“ก็ไม่เชิงหรอก แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันได้สิทธิ์ในการดูแลบางส่วนของสโจรกาดชั่วคราวน่ะ จนกว่าจะครบกำหนดสองร้อยปี”
“เหนื่อยแย่เลยนะ”
“ก็คงดีกว่าอยู่ว่างๆ ที่ลีซเนปล่ะน่า ว่าแต่ไอ้นี่น่ะ ยังมีอีกมั้ย”
“เนื้ออบน่ะเหรอ จานนั้นลุงกินไปเถอะ ยังมีอีกเยอะ”
“ที่ฝึกทำอาหารนี่ เพราะต้องอยู่คนเดียวหรือจะเอาใจใครรึเปล่า”
ไลฟ์ยิ้มเจื่อนๆ ด้วยความเขินอาย “ก็…คงจะ…ทั้งสองอย่างนั้นแหละ”
“อ่า…สรุปแล้วฉันต้องหาผู้ดูแลวิหารคนใหม่แล้วสินะ”
“คงจะอย่างนั้นล่ะลุง ฉันได้บ้านที่เฮฟเวนเนียแล้วน่ะ”
“หืม…ได้ยศได้งานด้วยล่ะสิ”
ไลฟ์ส่ายหน้าช้าๆ “เปล่าเลย…งานน่ะได้ แต่ยศเนี่ย..ฉันไม่เอาด้วยหรอก”
“แต่ก็ได้ค่าตอบแทนใช่มั้ยล่ะ”
“อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่าต้องเร่ร่อนอีกครั้งนั่นแหละ..มั้งนะ”
“เหรอ เอาเถอะ เรามากินเนื้ออบหอมๆ นี่ดีกว่า เรียบร้อยแล้วฉันก็จะกลับล่ะ”
เด็กหนุ่มยกเนื้ออบที่เหลือมาวางเอาไว้กลางโต๊ะอาหาร “ขอบคุณนะลุง ขอบคุณมากจริงๆ”
เฟอัสก์มองหน้าเด็กหนุ่มด้วยสายตาประหลาดใจ
“ขอบคุณที่เป็นห่วง” เด็กหนุ่มกล่าวขอบคุณด้วยความจริงใจ
เทพผู้อบอุ่นส่งรอยยิ้มแห่งความห่วงใยให้เด็กหนุ่มอีกครั้ง “ไม่ต้องขอบคุณหรอกน่า ฉันต่างหากที่ต้องขอบคุณ นายช่วยพี่สาวฉันเอาไว้เลยนะ” ก่อนจะเสกไวน์เหยือกโตออกตั้งเอาไว้ที่กลางโต๊ะ และค่อยๆรินไวน์ส่งให้มนุษย์ที่นั่งอย่างตรงหน้า
“ยังไงก็ต้องขอบคุณล่ะน่า” ไลฟ์รับแก้วไวน์ขึ้นมาจิบด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เสียงหัวเราะของเทพเจ้าดังขึ้น “เอาน่า ช่างมันเถอะ รีบๆกินให้อิ่มซะดีกว่ามั้ย” ก่อนที่เขาจะยกแก้วไวน์ในมือชูขึ้นเหนือศีรษะเล็กน้อยพร้อมหันหน้าไปทางประตูห้องโดยที่คนตรงหน้าไม่ทันสังเกต
และแล้วอาหารมื้อแรกในแอวินของไลฟ์ก็เริ่มขึ้น และจบลงด้วยความอบอุ่นที่ได้จากเทพเจ้าผู้เคยช่วยชีวิตเขาไว้แล้วครั้งหนึ่ง ท่ามกลางมื้ออาหารอันอบอุ่น ถึงอย่างนั้น ใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องก็ได้ยินทุกถ้อยคำในบทสนทนาของทั้งสองอย่างชัดเจน ก่อนที่จะจากไปอย่างเงียบๆ ไร้ร่องรอย “ฉันคงบอกเธอไม่ได้จริงๆ สินะว่าเราคงไม่ได้เจอกันอีกพักใหญ่ๆเลยน่ะ ขอให้โชคดีนะ หนุ่มน้อย”
สี่วันแห่งความน่าเบื่อหน่ายของไลฟ์ผ่านพ้นไปอย่างเอื่ยเฉื่อย ทั้งที่เขาตามเหล่านักวิจัยออกมานอกเขตเขากำแพงเมือง แต่กลับมีมอนสเตอร์ข้ามเขตมาให้เล่นสนุกด้วยเพียงแต่ประเภทตัวเล็กๆเท่าสุนัข หรือเสือตัวเต็มวัยเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้น มีเพียงนักวิจัยที่สนุกกับการเก็บพืชพันธุ์ต่างๆ แต่ความเงียบสงบอย่างที่เป็นอยู่นี้ สำหรับไลฟ์แล้ว มันคือสัญญาณหายนะ เด็กหนุ่มหยุดฝีเท้ายืนนิ่งสอดส่ายสายตาไปรอบๆ พร้อมเพ่งสมาธิ ปรับสภาพทุกประสาทสัมผัสให้เฉียบคมจนถึงขีดสุด
“นี่พี่ชาย ขอยืมไอ้นั่นหน่อยสิ แล้วก็ไปพาพวกเจ้านั้นกลับเข้าเมืองด้วย รีบไปซะ”
เด็กหนุ่มยื่นมือส่งสัญญาณ ทหารหนุ่มนายหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลนักค่อยๆ ยื่นขวานด้ามยาวในมือส่งให้ตามคำขอ ทว่าเสียงเอะอะจากบนกำแพงเมืองกลับดังขึ้นพร้อมแรงสะเทือนกับบางอย่างที่พุ่งแหวกชายป่าด้านหลังของไลฟ์ออกมา เด็กหนุ่มผละจากจุดที่ยืนอยู่ หันหลังกลับตั้งท่ายืนรอรับการปะทะอย่างรวดเร็ว
ตึง!!!!! ฝุ่นควันฟุ้งกระจายไปทั่วบริเวณ การจู่โจมกะทันหันสร้างความสะพรึงให้กับนักวิจัยและกองกำลังคุ้มกันจนไม่มีใครกล้าส่งเสียง หรือแม้แต่ขยับตัว สายตาทุกคู่จับจองไปยังจุดศูนย์กลางของกลุ่มควันอย่างไม่ละสายตา เมื่อฝุ่นควันเริ่มจากหาย ปรากฏเงาขนาดใหญ่ คะเนได้จากสายตาก็ถือว่ามโหฬารกว่าช้างเต็มวัยอยู่เกือบเท่าตัวก็ไม่ผิดนัก ขนสีน้ำตาลเทาดูแข็งและหนา เขี้ยวขนาดใหญ่ของมันขนาดระมาณฝ่ามือที่ทั้งยาวและโง้ง ทว่าไร้ซึ่งความแหลมคม มอนสเตอร์ตัวนี้หยุดนิ่งอยู่กับที่ มีเพียงเสียงลมหายใจหืดหาดให้ได้ยินเท่านั้น
เหตุการณ์ที่คล้ายจะสงบลงแล้ว สร้างความโล่งใจให้กับทุกคนต่างอย่างมาก ทว่าเสียงตะโกนของชายคนหนึ่งก็ดังขึ้นดึงสติของทุกคนให้เริ่มขยับตัว
“กลับเข้าเมืองไปสิโว้ย…อยู่รอให้ใครมาอุ้มเข้าเมืองไปรึยังไงเล่า”
ไลฟ์ตะโกนสุดเสียงขณะที่เขาใช้กำลังทั้งหมดคว้าเขาคู่งามวาววับของมอนส์เตอร์ยักษ์เอาไว้ แม้เด็กหนุ่มจะหยุดการเคลื่อนไหวของมันเอาไว้ได้ แต่ปลายเขาข้างหนึ่งปักเข้าที่ต้นขาซ้ายของเด็กหนุ่มจนเลือดเริ่มไหลซึมออกมาจากปากแผลแล้ว
“ยืนรออะไรอยู่เล่ารีบๆ กลับเข้าเมืองไปสิโว๊ย เร็ว……” เหล่านักวิจัยและทหารกล้าต่างพากันกลับเข้าเขตเมืองไปอย่างเร่งร้อน เหลือเพียงทหารนายหนึ่งที่สืบเท้าเข้าไปหามอนสเตอร์ยักษ์ด้วยอาการสั่นสะท้านไปทั้งร่าง เงื้อดาบในมือขึ้นเหนือหัว
“เฮ้ยๆ อย่านะเว้ย!!!” เด็กหนุ่มพยายามปรามเอาไว้แต่ไม่ทันเสียแล้ว ดาบถูกฟันลงที่ลำคอของสัตว์ยักษ์สุดแรง
เพร้ง!!! เส้นขนสีน้ำตาลเทาแตกกระจายราวกับผลึกแก้ว มอนสเตอร์ยักษ์ตอบสนองต่อการโจมตีด้วยการสะบัดศีรษะ เหวี่ยงทั้งเด็กหนุ่มและเขาของมันไปกระแทกกับทหารกล้านายนี้ลอยเคว้งไปตามแรงเหวี่ยง
สถานการณ์เริ่มแย่ลงเมื่อเงามืดปกคลุมท้องฟ้า กรงเล็บแหลมคมโฉบเอามอนสเตอร์ยักษ์ลอยขึ้นฟ้าไปพร้อมกับร่างของเด็กหนุ่ม ซึ่งก็ด้วยเหตุบังเอิญที่ร่างของไลฟ์ปะทะกับทหารหนุ่มนายนั้น ทำให้เขาของมอนสเตอร์ยักษ์เสียบทะลุไหล่ขวาของเด็กหนุ่มในไม่กี่อึดใจต่อมาด้วยเช่นกัน ในเมื่อลอยเคว้งคว้างอยู่กลางอากาศแถมยังมีเขาของสัตว์ประหลาดเสียติดหัวไหล่อยู่แบบนี้สิ่งเดียวที่ไลฟ์ทำได้ก็คืออยู่นิ่งๆไปก่อน เพื่อรอเวลาและจังหวะเหมาะๆที่จะดึงตัวเองออกจากเขาสัตว์ร้ายแล้วลงไปยืนบนพื้นได้อย่างมั่นคง