Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 28
ท่ามกลางอากาศที่ร้อนอบอ้าวกลางป่าทึบ มีช่องแคบตัดทะลุภูเขาสูงใหญ่ปรากฏให้เห็นอย่างน่าประหลาด และทางเชื่อมปริศนานี่เองที่ไดแอนกับลูกน้องพากันแกะรอยย้อนเส้นทางของบรรดาสัตว์ร้ายจนเจอเข้าในที่สุด ส่วนไลฟ์เองก็จำใจต้องตามไดแอนออกมายังที่แห่งนี้ก็เพราะเขาเป็นเพียงคนเดียวที่รอดชีวิตออกมาจากดินแดนรกร้างที่กั้นอยู่ระหว่างมนุษย์และมอนสเตอร์ ซึ่งการเข้าไปสำรวจครั้งนี้จะต้องพึ่งพาเขาอย่างมาก เนื่องจากไลฟ์ตัดสินใจที่จะเข้าไปสำรวจเพียงคนเดียว ด้วยเหตุผลที่ว่าหากกองกำลังของไดแอนตามเขาไปด้วย กำลังป้องกันเมืองจะลดลง ที่สำคัญการสำรวจครั้งนี้จะใช้เวลานานขนาดไหนก็ไม่อาจรู้ได้
เมื่อตกลงกันได้แล้วหน่วยของไดแอนจะรออยู่ ณ จุดนี้เพียงสองชั่วโมงเท่านั้น ส่วนไลฟ์ก็มุ่งหน้าไปตามช่องแคบแห่งนี้ไปทันที หลังจากเดินทะลุผ่านทางเชื่อมมาได้ราวๆ ยี่สิบนาที ไลฟ์สัมผัสได้ถึงอากาศบริสุทธิ์ไหลผ่านเข้าปอด เป็นที่ชัดเจนแล้วว่าช่องทางพิเศษนี้เป็นจุดที่ฮาร์ดิลสร้างเอาไว้สำหรับบุกเข้าไปยังป่าศักดิ์สิทธิ์เอลีซไซส์ และด้วยความเร่งร้อนบางอย่างทำให้คนพวกนั้นไม่สามารถปิดกันช่องทางนี้ได้ ส่วนพวกมอนสเตอร์ที่หลุดข้ามเขตแดนไปได้ก็คงเพราะพวกมันเดินหลงเข้าไปยังเส้นทางนี้
ไลฟ์ตัดสินใจย้อนกลับออกมาตามเส้นทางเดิม ข้อสรุปหลังจากได้หารือกับไดแอนแล้ว จึงได้สั่งระดมพลขนหินมาปิดปากทางเข้าเอาไว้แล้วรอดูสถานการณ์สักหนึ่งสัปดาห์ หากไม่มีมอนสเตอร์หลุดมาอีกก็ถึงเวลาที่ฟราวซ์และกองคาราวานต้องเดินทางกลับเมืองหลวงเสียที
เป็นไปตามคาด ตลอดหนึ่งสัปดาห์หลังจากปิดทางเข้าออกแล้ว ไม่มีมอนส์เตอร์หลุดออกมาอีกเลย ความเคลื่อนไหวต่างๆ ถูกส่งกลับไปยังเมืองหลวง และต่อมาอีกเพียงไม่ถึงสองสัปดาห์ก็มีสาสน์เรียกตัวกองคาราวานกลับเฮฟเวนเนีย ค่ำคืนแห่งการฉลองในการลุล่วงภารกิจก็ได้เริ่มต้นขึ้น
ไลฟ์ที่นั่งดื่มอยู่ในมุมมืดเพลิดเพลินกับความสงบสุขก็ต้องมีเหตุให้ไวน์เสียรส เนื่องจากเจ้าหญิงเฮนเรียตเป็นคนแรกที่หาตัวเขาพบ “นายน่ะ รังเกียจการเข้าสังคมขนาดนั้นเลยเหรอ”
ไลฟ์วางแก้วไวน์ในมือลงข้างตัวก่อนจะหันไปมองเฮนเรียตด้วยความเบื่อหน่าย
“ไม่ได้รังเกียจอะไรหรอก ฉันแค่รู้สึกว่ามันน่ารำคาญน่ะ”
“เข้ากับคนอื่นไม่ได้ล่ะสิ”
“คงงั้นล่ะมั้ง อันที่จริงฉันก็รำคาญพวกที่ชอบถามโน่นนี่เซ้าซี้แบบเธอมากกว่าล่ะ”
แม้จะมีสีหน้าไม่พอใจแต่ในความมืดสีหน้าของเฮนเรียตก็ไม่สามารถแสดงให้คู่สนทนาผู้หยาบคายคนนี้รับรู้ได้ จึงทำได้เพียงกลั้นใจชวนคุยต่อไปอย่างเป็นมิตร “ถามจริงๆ เถอะ นายน่ะ คิดยังไงกับลีเลีย”
“พี่เลี้ยงเธอน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่พี่เลี้ยงย่ะ ลีเลียน่ะคนครัวส่วนตัว แล้วก็ดูแลฉันมาหลายปีแล้วด้วย”
“งั้นเหรอ ยัยนั่นน่ารักดีนี่ ทำไมเหรอ”
“แล้วเอ่อ…ลีเลียกับ…เอ่อ…”
ไลฟ์ที่เริ่มหงุดหงิดกับอาการตะกุกตะกักของเฮนเรียตก็ขัดขึ้นทันที “ไร้สาระน่า ยัยนั่นก็คือยัยนั่น เทียบกับใครไม่ได้หรอก”
“ถ้างั้น…เมอร์เซเดสล่ะ”
ไลฟ์ที่กำลังยกไวน์ขึ้นมาดื่มก็ชะงักเล็กน้อย “ก็เหมือนกันนั่นล่ะน่า อย่าเอาใครไปเทียบกับใครสิ มันไร้สาระ”
“แล้วนายเลือกใคร”
“ทำไมต้องเลือกด้วยเล่า”
“ก็ถ้าฉันจะยกลีเลียให้นายล่ะ”
“ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเธอต้องการอะไร แต่ฉันไม่ขอยุ่งด้วยดีกว่า แล้วก็อีกอย่างหนึ่งนะ เธอเป็นเจ้าของยัยนั่นตั้งแต่เมื่อไรกัน”
ไลฟ์ตั้งท่าจะลุกหนี แต่เฮนเรียตที่รู้ทันก็เรียกไดแอนที่ยืนรออยู่ห่างๆ ให้เข้ามาขวางเอาไว้ “ไดแอน จัดการเขาซะ”
“รับทราบค่ะ องค์หญิง”
ไลฟ์ที่ยืนงงอยู่กับสถานการณ์ก็เอ่ยถามเพื่อคลายข้อสงสัย “เฮ้ยๆ นี่มันอะไรกันล่ะเนี่ย”
ไดแอนตอบกลับให้หายสงสัย “นายขัดคำสั่งขององค์หญิง แล้วฉันเองก็อยากรู้ด้วยว่านายมีฝีมือระดับไหน”
“นี่ท่านอัศวิน ขอถามอีกสักข้อได้มั้ย”
“อะไร”
“เธอกับหัวหน้าฟราวซ์น่ะ ฝีมือของใครเหนือกว่ากัน”
“ก็ต้องเป็นท่านฟาวซ์สิ”
“หืม…น่าสนใจแฮะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ความรักสินะ”
“นาย!!!”
“เอาน่าๆ ก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่รึไง ฉันกำลังเป็นห่วงอยู่เลยว่าจะมีสาวที่ไหนสนใจหัวหน้าเขาบ้าง แต่เอาเถอะได้รู้ว่าหัวหน้าเก่งกว่าเธอฉันก็คงไม่ต้องออกแรงมาแล้วล่ะ”
“อวดดีนักนะ” ไดแอนพุ่งเข้าหาไลฟ์อย่างรวดเร็ว แต่ด้วยความเร็วที่เหนือกว่า ไลฟ์ก้าวเท้าหลบการจู่โจมได้อย่างง่ายดายก่อนจะตอบโต้ด้วยการชูมือขวาขึ้นชี้นิ้วไปที่ใบหน้าของหญิงสาวในระยะประชิด จากนั้นขยับนิ้วกลางดีดเข้าที่หว่างคิ้วหนึ่งที
“พอแค่นี้เถอะน่า อย่าเสียเวลาเลยจะดีกว่า ถ้าอยากจะมีเรื่องไปตามคนที่เก่งกว่านี้มาเถอะ ไม่งั้นก็แยกย้ายเถอะ”
เมื่อท้าทายกันซึ่งหน้า เฮนเรียตที่นึกสนุกก็ตอบตกลงทันที “งั้นเอางี้สิ ถ้านายสามารถเอาชนะคนที่มีฝีมือที่สุดของฉันได้ ฉันจะเตรียมเรือลำใหญ่ให้นายเดินทางไปคาลามัคภายในหนึ่งเดือนหลังจากกลับไปถึงเฮฟเวนเนียเลย”
ไลฟ์หยุดยืนนิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ “ไปคาลามัคเหรอ…น่าสนใจแฮะ”
“ว่าไงล่ะ นายน่ะจะรับข้อเสนอของฉันรึเปล่า”
“ก็เอาสิ อยากไปเที่ยวอยู่พอดี”
“ถ้างั้นก็ไปที่ลานประลองได้เลย เดี๋ยวคนของฉันจะตามไป”
“ช่วยไม่ได้ล่ะนะ” เด็กหนุ่มเดินทอดน่องไปยังลานประลอง ก่อนจะก้าวขึ้นไปไปยืนรอคู่ต่อสู้อยู่เงียบๆ พร้อมแก้วไวน์ในมือ เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจคู่ต่อสู้ของไลฟ์ก็ปรากฏตัว ชายหนุ่มผมรูปงามบลอนด์ยาวสลวยในชุดเครื่องแบบสีน้ำตาลทองงามสง่าสะพายดาบเล่มโตเดินมาที่ลานประลอง มาร์คัสราชองครักษ์หนุ่มที่รับคำสั่งให้มาประลองกับไลฟ์ ยิ่งมีเรื่องคาใจอยากจะสะสางกับไลฟ์อยู่นานแล้วทำให้ครั้งนี้ มาร์คัสมุ่งหน้ามายังลานประลองอย่างไม่ลังเล
เมื่อก้าวเข้ามาในลานประลองมาคัสปลดดาบออกมาถือเอาไว้ในมือแล้วเข้าชาร์จใส่ไลฟ์อย่างโดยไม่รอช้า ไลฟ์ตอบโต้ด้วยการเหวี่ยงเท้าขวาเตะเสยเข้าที่กลางตัวดาบเพื่อสกัดการโจมตี ดาบใหญ่ที่ถูกเตะลอยขึ้น มาร์คัสเองที่ไม่คิดว่าจะถูกหยุดการโจมตีด้วยวิธีนี้ทำได้เพียงแต่จับด้ามดาบให้มั่นคงที่สุด เพราะหากดาบหลุดมือไป ความพ่ายแพ้อาจตกเป็นของเขาในทันที
“เฮ้ยๆ ท่านราชองครักษ์ ไม่รู้หรอกนะว่าฉันไปทำอะไรให้แกไม่พอใจ แต่ไอ้ดาบนั่นน่ะ ถึงตายได้เลยนะเฮ้ย”
มาร์คัสแสยะยิ้มด้วยความอัดอั้น “อันที่จริงฉันก็ไม่ได้รังเกียจอะไรแกหรอก ก็แค่ได้รับคำสั่งมาว่าอย่าออมมือ”
“งั้นเหรอ”
“นี่ไอ้หนู ขอพูดตรงนี้เลยแล้วกันว่าฉันคงต้องฆ่าแกแล้วล่ะ”
ไลฟ์หันไปมองความคึกคักรอบๆ ลานประลอง เสียงเชียร์ดังกึกก้องซะจนฟังไม่ได้ศัพท์ มีเพียงฟราวซ์และลีเลียเท่านั้นที่สีหน้าเรียบเฉย ไม่ตื่นเต้นกับการต่อสู้ครั้งนี้ ตัวฟราวซ์ดูเหมือนจะเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำ อาจเพราะคาดเดาผลการต่อสู้ครั้งนี้ได้อยู่แล้ว ไลฟ์ยกมือเกาศีรษะเบาๆ
“นี่ท่านราชองครักษ์ อยู่ที่นี่มาเจ็ดเดือน สู้กับมอนสเตอร์ก็ไม่เคยสักครั้ง จะสู้ใครไหวเหรอนั่นน่ะ”
“คิดจะถ่วงเวลาหรือยังไง รึว่าแกกำลังดูถูกฉันอยู่”
“เออ…เอาตรงๆ เลยแล้วกันนะ ฉันไม่อยากจะฉีกหน้าแก หรือว่าอะไรหรอก แต่ขอโทษด้วยนะ ฉันต้องใช้เรือจริงๆ ว่ะ เห็นทีต้องเอาจริงซะแล้ว”
“อะไรนะ”
ไลฟ์เดินไปคว้าถุงมือเหล็กมาสวม “ขอโทษจริงๆ” พูดจบก็กระโจนเข้าใส่มาร์คัสอย่างไม่เกรงกลัว เด็กหนุ่มอาศัยความคล่องตัวหลบดาบใหญ่ที่ฟาดฟันใส่อย่างง่ายดาย แม้จะบอกว่าเอาจริงแต่ไลฟ์ก็ยังไม่ใช้ฝีมืออย่างเต็มที่อย่างปากว่าจู่โจมใส่มาร์คัสแบบไม่เต็มกำลัง
จังหวะเหมาะมาร์คัสเงื้อดาบฟันใส่ที่ขาซ้าย ไลฟ์ตอบสนองอย่างรวดเร็วกระโดดเหยียบดาบของราชองครักษ์หนุ่มเอาไว้ ก่อนจะรัวหมดซ้ายสลับขวาเข้าใส่ลำตัวจนคู่ต่อสู้เซถอยหลังไปสามก้าว
ไดแอนที่จับจ้องการเคลื่อนไหวของเด็กหนุ่มก็เกิดความประทับใจกับความเร็วที่ได้เห็น “เร็วมาก แค่เสี้ยววินาทีเขารัวหมัดใส่ท่านมาร์คัสได้ถึงสี่หมัด”
ดูเหมือนความเร็วของเด็กหนุ่มทำเมื่อครู่จะมีเพียงสายตาของฟราวซ์เท่านั้นที่สามารถติดตามได้ทัน
“ไม่หรอก เมื่อกี้น่ะ มันหกหมัด”
“หกหมัด!”
“อืม หก เออนี่ฉันจะบอกให้เธอได้รู้ก็แล้วกัน ไอ้หนุ่มนี่น่ะ ณ เวลานี้ มันคือคนที่เก่งที่สุดเท่าที่ฉันเลยเจอเลยล่ะ อ่า…แต่ว่านะ…อย่าไปบอกคนอื่นล่ะ เดี๋ยวมันจะไม่สนุก”
ไดแอนขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ไม่สนุก…เหรอคะ”
ฟราวซ์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะชี้ให้ไดแอนหัวไปดูการต่อสู้บนลานประลองอีกครั้ง การต่อสู้เริ่มดุเดือนขึ้นเรื่อยๆ มาร์คัสที่เห็นว่าดาบใหญ่ของตนโจมตีได้ช้าเกินไปจึงบิดกลไกที่โคนของด้ามดาบ เสียงแกร๊กดังขึ้นก่อนจะสลัดส่วนคมด้านนอกทิ้งไป กลไกพิเศษที่ติดต้้งเอาไว้ทำให้ขนาดและความยาวของดาบลดลงหนึ่งในสามส่วน ความคล่องตัวและความเร็วในการโจมตีจึงเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว ทำให้ไลฟ์ต้องเอาจริงขึ้นมาอีกนิด
“หืม…ลูกเล่นเยอะดีแฮะดาบของแกเนี่ย”
มาร์คัสไม่ตอบโต้อะไรนอกจากรุกไล่อย่างบ้าคลั่ง ฝั่งไลฟ์เองก็ใช้ถุงมือเหล็กปัดตัวดาบเบี่ยงวิถีการโจมตีออกไปได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะเข้าประชิดตัวง้างหมัดซ้ายเตรียมชกเข้าที่ปลายคาง แต่มาร์คัสเองก็ไม่ใช่นักรบที่ไร้ประสบการณ์ ราชองครักษ์หนุ่มสัมผัสได้ถึงจิตสังหารที่เด็กหนุ่มเผลอปล่อยออกมาจนต้องผงะทิ้งระยะห่างออกมาอย่างรวดเร็ว
หยาดเหงื่อไหลออกมาทั่วร่างของมาร์คัส ณ เวลานี้ไม่ใช่เหงื่อเพราะความเหนื่อยล้าจากการต่อสู้ แต่เพราะจิตสังหารเด็กหนุ่มมันทำให้เขารู้สึกเย็นวาบไปทั่วทั้งร่าง เหงื่อออกมากอย่างผิดธรรมชาติ แถมมือที่จับดาบยังสั่นเทาอย่างน่าประหลาด
เมื่อตั้งสติได้มาร์คัสก็กัดฟันพุ่งเข้าจู่โจมอย่างสุดกำลังหมายจะพิชิตการต่อสู้ครั้งนี้ให้จบในดาบเดียว ทว่าความหวาดกลัวทำให้อัศวินหนุ่มเคลื่อนไหวไม่ได้อย่างใจคิด ไลฟ์ที่เห็นว่ามาร์คัสต้องการจะตัดสินการต่อสู้ด้วยการโจมตีครั้งนี้จึงกระโจนสวนการโจมตีเข้าไปใช้มือซ้ายปัดดาบที่ฟันเข้าใส่ให้พ้นตัว ก่อนจะเหวี่ยงเท้าขวาเตะใส่ที่ก้านคอของมาร์คัสเข้าเต็มรัก
เสียงเชียร์ที่ดังสนั่นเงียบลง ทุกอย่างหยุดนิ่ง เหล่าทหารกล้าที่ล้อมรอบลานประลองอยู่ต่างตกตะลึง ไม่มีใครคาดว่าการต่อสู้จะจบลงในลักษณะนี้ ราชองครักษ์หนุ่มนอนหมดสติอยู่กับพื้น ไลฟ์หันหลังเดินแหวกฝูงชนออกจากลานประลองท่ามกลางความเงียบงัน หยิบเนื้อย่างชิ้นโตกับไวน์อีกหนึ่งเหยือกใหญ่ๆ ติดมือหายไปในความมืด ส่วนคณะแพทย์ก็กรูกันเข้าไปดูอาการของมาร์คัสทันที
ฟราวซ์ตบไหล่ของไดแอนเบาๆ “ก็อย่างที่เห็นนั่นแหละนะ”
“รู้ผลอยู่แล้วเหรอคะ”
“ก็นะ แค่ไม่คิดว่าเจ้านั่นมันจะบ้าจี้ตอบโต้ไปจนจบลงแบบนี้น่ะ”
“สัญชาตญาณสินะคะ”
“ก็…คงงั้นแหละมั้ง เห็นช่องว่างแล้วร่างกายคงจะขยับไปเองนั่นล่ะ เป็นฉันเองก็คงทำแบบเดียวกัน แต่เอาเถอะ ฉันว่า…เราไปหาอะไรดื่มกันดีกว่า”
คำชวนจากชายที่ตนแอบปลื้มอยู่ทำให้ไดแอนหน้าแดงขึ้นมาทันที แต่ก็ยังสามารถเก็บซ่อนความดีใจเอาไว้ได้อย่างรวดเร็ว “ค่ะ”