Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 4 ทางเลือกสุดท้าย
ราวกับปาฏิหาริย์ เด็กหนุ่มที่ควรจะหมดลมหายใจไปแล้วกลับขยับตัวพร้อมส่งเสียงโอดโอยโหยหวน แม้ก่อนหน้านี้ไม่นานเขาจะรับรู้ถึงความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้าใส่ในชั่วพริบตาพร้อมสติที่ค่อยๆเลือนราง ก่อนที่เขาจะไม่รับรู้ถึงความรู้สึกใดๆอีก แม้แต่ลมหายใจของเขาก็หยุดนิ่งไปแล้ว บัดนี้เขากลับรับรู้ถึงออกซิเจนที่ไหลผ่านเข้าไปยังปอด รวมถึงความเจ็บปวดจากบาดแผลฉกรรจ์ที่กลางหน้าอกค่อยๆเลือนหายไป ทว่ากลับมีความเจ็บปวดทรมานยิ่งกว่าตอนที่ถูกกะซวกด้วยดาบอันคมกริบราวกับว่าเขาถูกกรีดซ้ำไปซ้ำมาบนรอยแผลที่แขนข้างที่ขาดไป
นอกจากบาดแผลร้ายแรงถึงชีวิตบริเวณกลางอกจะไม่สามารถดึงวิญญาณออกจากร่างของเด็กหนุ่มได้แล้ว ร่องรอยสดใหม่ที่มีเลือดไหลรินออกมากลับหายสนิทราวกับไม่เคยได้รับบาดเจ็บมาก่อน นอกจากนั้นอาการดิ้นทุรนทุรายจากความเจ็บปวดที่แขนซ้ายสงบลงทีละน้อย พร้อมๆกันกับแขนที่ค่อยๆงอกกลับออกมาอยู่ในสภาพเดิม ดูเหมือนผลของการรักษาบาดแผลและฟื้นฟูอวัยวะจะทำให้เด็กหนุ่มต้องเจอกับความทรมานยิ่งกว่าตอนที่ได้รับบาดเจ็บหลายเท่านัก
เฟอัสก์หันมองพี่สาวอย่างตื่นตะลึง ทว่ายังไม่ทันได้เอ่ยปากสอบถามอะไร ฟาโนราห์ก็เผยถึงผลจากพรวิเศษที่นางมอบให้เด็กหนุ่มจนหมดเปลือก
“จากนี้ไปหนุ่มน้อยคนนี้จะไม่มีวันตาย แถมยังสามารถฟื้นฟูจากอาการบาดเจ็บได้ทุกรูปแบบ”
เด็กหนุ่มนอนจมกองเลือดที่สาดกระเซ็นออกจากมาด้วยร่างกายที่อ่อนล้าแขนซ้ายที่งอกออกมาใหม่ก็ไร้เรี่ยวแรงจนขยับได้เพียงนิ้วมือบางนิ้วเท่านั้น ไลฟ์กัดฟันพยุงตัวเองลุกขึ้นยืนตั้งท่าพร้อมสู้ แม้เบื้องหน้าจะเป็นเทพเจ้าเขาเองก็ไม่เกรงกลัวอีกต่อไปแล้ว
“หืม…ใจสู้ไม่เบาเลยนี่…โอ๊ะ…ถนัดซ้ายซะด้วย”
ฟาโนราห์พึมพำขณะที่มองดูท่าทางไม่เกรงกลัวของผู้ดูแลวิหาร รอยยิ้มผุดขึ้นบนใบหน้าของเทพแห่งสโจรกาดพร้อมแววตาและกริยาถูกอกถูกใจราวกับเด็กน้อยได้ของเล่นใหม่ ในเมื่อท่าทีของเด็กหนุ่มแข็งกร้าวถึงเพียงนี้ ก็อยากจะเล่นสนุกด้วยอีกสักนิดอยู่เหมือนกัน เพียงแต่น้องชายยังคว้าแขนเอาไว้แบบนี้เลยทำอะไรมากไม่ได้ แต่ช่างเถอะในเมื่อสถานการณ์บีบบังคับขนาดนี้ เฟอัสก์เองก็คงเข้าใจแล้วล่ะว่าพ่อหนุ่มคนนี้คือทางเลือกสุดท้ายแล้ว
“เฟ…พี่ขอคุยกับเขาสักหน่อย เธอช่วยไปรินไวน์ให้พี่สักแก้วได้มั้ย”
เฟอัสก์ได้แต่ส่ายหน้าด้วยความเหนื่อยใจ
“ครั้งนี้ข้าตามแก้ให้ไม่ไหวหรอกนะพี่ เสร็จเรื่องแล้วก็หาวิธีแก้ไขเอาเองก็แล้วกัน”
ฟาโนราห์ไม่มีท่าทีจะตอบโต้น้องชายอย่างที่เคย แม้เฟอัสก์จะรู้สึกแปลกใจแต่ก็สุดจะเดาใจพี่สาวจึงได้แต่เดินไปที่แทนบูชาเพื่อรินไวน์ให้กับนาง
“ขอบคุณนะ” ฟาโนราห์ยิ้มให้น้องชายอย่างอ่อนโยนก่อนจะเดินเข้าไปหาไลฟ์อย่างช้าๆ
“มาเถอะหนุ่มน้อยฉันไม่ทำอะไรเธออีกแล้วล่ะ”
ไลฟ์ที่ ณ เวลานี้ไม่เกรงกลัวแม้แต่เทพเจ้ายังคงยืนนิ่งตั้งท่าพร้อมต่อสู้ไม่ขยับตัวหรือพูดอะไร
“หนุ่มน้อย เธอช่วยฟังฉันหน่อยได้มั้ย”
ไลฟ์ถอยฉากออกมาเล็กน้อยแต่ยังคงตั้งท่าพร้อมต่อสู้อยู่ ฟาโนราห์เองก็รู้ดีว่าหากนางยังคงดึงดันอยู่อย่างนี้ หนุ่มน้อยคนนี้จะไม่ยอมฟังนางแน่ๆ มีแต่ต้องเปลี่ยนท่าทีหรือหาวิธีให้เขาลดการป้องกันลงเท่านั้น
“หนุ่มน้อย ฉันขอร้องล่ะ ช่วยฟังฉันสักหน่อยนะ”
น้ำเสียงออดอ้อนของนางดึงความสนใจจากเฟอัสก์ได้อย่างน่าเหลือเชื่อ ท่าทีและน้ำเสียงออดอ้อนแบบนี้ถือเป็นครั้งแรกที่เขาได้พบเจอ ทำได้เพียงยืนถือแก้วไวน์สงบนิ่งอยู่หน้าแท่นบูชาอยู่เสียอย่างนั้น ส่วนไลฟ์ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะลดการป้องกันลงแต่ก็ยอมเปิดปาก
“ลากดาบมาเสียบกลางอกแถมตัดแขนกันอีก จะเอาอะไรล่ะอีกป้า”
แทนที่เทพแห่งสโจรกาดจะมีอาการโกรธเคืองกับสิ่งที่เด็กหนุ่มพูดออกมา แต่กลับไม่มีท่าทีจะขุ่นเคืองเลยแม้แต่น้อย นางกลับถอยห่างออกมาและทรุดตัวลงนั่งที่ฐานรูปปั้นสัมฤทธิ์หันมาจ้องมองน้องชายเสียอย่างนั้น
เฟอัสก์ที่งุนงงกับพฤติกรรมของพี่สาวอยู่แล้วก็ยิ่งสับสนเข้าไปอีก พี่สาวของตนนั้นไม่เพียงขึ้นชื่อในเรื่องความเอาแต่ใจ แต่ยังเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่เทพเจ้าว่านางเป็นเทพเจ้าอารมณ์อีกด้วย แต่ท่าทางที่เห็นอยู่ตรงหน้านี้เขาเองก็ไม่รู้จะต้องพูดหรือว่าทำอะไรในตอนนี้ แต่จะให้ยืนนิ่งอยู่แบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องที่ควรทำเสียด้วย หรือนี่จะเป็นการแสดงออกถึงความอัดอั้นที่นางมีกับสงครามที่ยังไม่มีวี่แววว่าจะสิ้นสุดอยู่ ณ เวลา เอาเป็นว่าเขาคงต้องทำอะไรสักอย่างกับสถานการณ์ตอนนี้ซะก่อน
เฟอัสก์นั่งลงข้างๆ พี่สาว ยื่นแก้วไวน์ให้กับนาง
“พี่คิดจะให้เขาไปจัดการกับฮาร์ดิลใช่มั้ย แล้วพี่คิดว่าหลังจากจบสงครามแล้วไอ้หนุ่มนี่จะเป็นยังไงต่อไป ต้องใช้ชีวิตยังไงเหรอ”
ฝ่ายพี่สาวเงียบอยู่ชั่วครู่
“ไม่ใช่ว่าเขาจะเป็นวีรบุรุษในสงครามครั้งนี้รึไง”
“นั่นมันก็ใช่อยู่หรอก แต่พี่ลืมไปรึเปล่าว่ามนุษย์น่ะ ไม่ได้มีความซื่อสัตย์กันทุกคนหรอกนะ”
ไม่มีแม้แต่คำพูดใดๆ ออกจากปากของฟาโนราห์ ซ้ำยังนั่งก้มหน้ารอฟังว่าน้องชายจะพูดอะไรต่อไป
“พี่ลองคิดตามนะ ต่อให้ไอ้หนุ่มนี่สังหารแม่ทัพใหญ่ได้สำเร็จ แต่ถ้ามีใครสักคนแอบอ้างผลงานของเขาล่ะ ในสงครามมันชุลมุนวุ่นวายมากนะ ใครทำอะไรผลงานใครมันดูไม่ออกง่ายๆ หรอกนะ พี่คิดว่าเด็กอายุแค่นี้จะรับมือกับเรื่องพวกนี้ได้รึเปล่า แล้วยิ่งเป็นคนพเนจรแบบนี้ ชีวิตเขาคงไม่ค่อยได้เจอเรื่องสมหวังสักเท่าไรหรอกนะ”
เมื่อใช้เวลาทบทวนพักใหญ่ๆ ความอึดอัดที่อยู่ในใจของฟาโนราห์ก็ถูกระบายออกมาในรูปแบบของน้ำตา
“พี่ก็แค่อยากให้ทุกอย่างมันจบลงเสียที ไอ้สงครามยืดเยื้อนี่มันไม่ใช่แค่น่าเบื่อหน่าย แต่เหมือนกับว่ามันลดทอนพลังของพี่ไปทีละนิด พี่ไม่รู้จะทำยังไงแล้วจริงๆ”
คำพูดที่อยู่ในใจของนางมีมากมายแต่กลับไม่อาจพูดออกมาทั้งหมด ความเงียบงันจากเหตุวุ่นวายที่เทพเจ้าอารมณ์ก่อขึ้นเมื่อครู่ทำให้บัดนี้เสียงร้องไห้ของนางดังชัดเจน เฟอัสก์เองแม้จะไม่ถูกผลด้านลบจากสงครามลดทอนพลังเทพในตัวลงเหมือนกับที่พี่สาวของเขาต้องพบเจอ แต่เขาเองก็เข้าใจความอัดอั้นและปวดร้าวที่นางมีอย่างดี เพราะเขาเองก็รู้สึกหดหู่ อึดอัดไม่ต่างกัน และแน่นอนว่าหากปล่อยเอาไว้แบบนี้ อีกไม่นานนางก็คงจะลงไปอาละวาดในสนามรบของมนุษย์จนทั้งสองอาณาจักรต้องพินาศลงเป็นแน่
“เอางี้นะพี่ เราเรียกเจ้าหนุ่มนั่นมาแล้วก็คุยกับเขาดีๆ ข้าจะช่วยพูดกับเขาให้อีกแรงหนึ่ง”
ในเมื่อสิ่งที่น้องชายเสนอมาอาจเป็นวิธีที่ดีกว่า ฟาโนราห์ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ปฏิเสธจึงจำใจตอบรับข้อเสนอนี้ และปล่อยให้น้องชายจัดการทุกอย่างต่อจากนี้
“เจ้าหนู มาเถอะไม่มีใครทำอันตรายแกแล้ว เข้ามาใกล้ๆ เรามีเรื่องจะขอร้อง”
เทพเจ้าของวิหารส่งยิ้มอ่อนโยนพร้อมเรียกไลฟ์เข้าไปเพื่อรับฟังคำขอของพี่สาว เด็กหนุ่มลดการป้องกันลงและเดินเข้าไปหาแต่ยังคงยืนทิ้งระยะจากเทพสองพี่น้องอยู่พอสมควร แม้เขาจะมั่นใจว่าเฟอัสก์เป็นเทพที่มีเหตุผลและไม่ทำอันตรายเขา แต่กับฟาโนราห์ที่แทงเขาไปแล้วหนหนึ่ง จะให้ไว้ใจอีกเห็นทีคงเป็นเรื่องยากมากๆ
“ดูท่าจะยากหน่อย” เฟอัสก์กระซิบพี่สาว “ต้องดิ้นรนเอาชีวิตรอดมานาน โดนดาบปักกลางอกไปครั้งหนึ่งแล้วคงไม่ไว้ใจง่ายๆ อยู่แล้วล่ะ”
เฟอัสก์กุมมือพี่สาวเอาไว้ บีบเบาๆแล้วก็หันมาคุยกับเด็กหนุ่ม
“เจ้าหนู ฟังข้าหน่อยจะได้มั้ย”
ไลฟ์พยักหน้าตอบรับ แต่ยังคงจ้องไปที่ฟาโนราห์อย่างไม่วางตา
“ขอโทษแทนพี่สาวข้าด้วยนะ”
เด็กหนุ่มหันมามองเจ้าของวิหารพร้อมท่าทีที่อ่อนลงกว่าเดิม
“นี่ลุง จะให้ไปสู้กับแม่ทัพอะไรนั่นข้าไม่เอาหรอกนะ ไอ้การตายแล้วฟื้นแบบนั้นโคตรทรมานเลย”
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกนะ”
ฟาโนราห์รีบอธิบายถึงผลจากพรวิเศษของนาง ในเมื่อเด็กหนุ่มยอมเปิดปากแล้วก็จะไม่ปล่อยให้โอกาสนี้หลุดไป
“หลังจากนี้ไม่ว่าเธอจะได้รับบาดเจ็บร้ายแรงสักแค่ไหนก็จะไม่ตาย เพราะพลังของฉันลดลงไอ้การตายแล้วฟื้นนั่นจะเกิดขึ้นเฉพาะครั้งแรกเท่านั้น แต่…”
ฟาโนราห์ชะงักเล็กน้อยเพื่อดูท่าทีของเด็กหนุ่ม แต่ในเมื่อเขาไม่ตอบโต้อะไรนางจึงชี้แจงต่อไป
“การฟื้นฟูอาการบาดเจ็บนั้น ร่างกายของเธอจะเร่งการเติบโตของเซลล์ในชั่วพริบตาเธอรับรู้ถึงความเจ็บปวดทั้งหมดในชั่วอึดใจจึงรู้สึกว่ามันรุนแรงกว่าตอนที่ได้รับบาดเจ็บ แต่ก็ไม่แน่ว่าเธอ…อาจจะทนกับผลความเจ็บปวดได้สักวันนึง”
สีหน้าของเด็กหนุ่มแสดงออกถึงความกังวล อาการครุ่นคิดจนคิ้วที่แทบจะขมวดผูกเข้ากันเป็นปม เมื่อเฟอัสก์เห็นท่าทางกังวลของเด็กหนุ่มเขาจึงอธิบายสถานการณ์ทั้งหมดให้เขาได้รับรู้
“คืองี้นะ ดูเหมือนสงครามที่ยืดเยื้อมันส่งผลเสียต่อพี่สาวของข้ามากมายจริงๆ พลังเทพของนางค่อยๆ ลดลงแล้ว อาจเพราะความโศกเศร้าของมนุษย์มันกลายเป็นพิษร้ายต่อนาง ที่นางทำไปก็อาจเป็นเพราะทางเลือกมีเหลือไม่มากแล้วจริงๆ อีกอย่างพฤติกรรมที่นางแสดงออกมาเมื่อครู่นี้ ข้าเองก็เพิ่งจะเคยเห็นเป็นครั้งแรกเหมือนกัน ยิ่งถ้าไม่ทำอะไรสักอย่างนางก็คงทำลายอาณาจักรทั้งสองด้วยตัวเองเพื่อจะหยุดสงคราม ถึงเวลานั้นไม่ใช่แค่เพียงพลังเทพของนางจะลดลงไปเกินครึ่งแล้ว นางยังต้องทัณฑ์ร้ายแรง จองจำในหอคอยลอยฟ้าอีกหลายร้อยปี”
เฟอัสก์ถอนใจด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม
“ไอ้หนู…ดูเหมือนแกจะเป็นทางเลือกสุดท้ายของนางแล้วล่ะ”
“แล้วลุงล่ะ พลังลดลงบ้างรึเปล่า”
“ก็…ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะลดลงเพียงแต่ตัวข้าเองยังไม่รู้สึกตัว หรืออาจจะไม่เป็นอะไรเลยล่ะมั้ง”