Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 14 รางวัล
แสงแดดส่องผ่านหน้าต่าง กลิ่นยาสมุนไพรและเสียงจอแจของผู้คนปลุกให้ไลฟ์ตื่นขึ้นจากการหลับใหล ห้องโล่งๆ แห่งนี้มีเพียงเด็กหนุ่มกับหญิงสาววัยสามสิบปลายที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องเฝ้ามองเขาอยู่
“ตื่นแล้วเหรอคะนายท่าน”
เด็กหนุ่มที่ยังงุนงงว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างจึงได้แต่นั่งนิ่งจ้องมองหญิงสาวอยู่เงียบๆ
“ดิฉันเฮสต์ค่ะ…ท่านฟราวซ์เป็นคนแบกท่านมาที่สถานพยาบาลแห่งนี้ พร้อมคำสั่งกำชับให้ดูแลนายท่านค่ะ แล้วตัวท่านเองก็หมดสติมาตลอดสามวัน”
“สามวัน…”
เด็กหนุ่มก้มมองก็พบว่าเสื้อผ้าที่สวมอยู่ถูกเปลี่ยนเรียบร้อยแล้ว แถมร่างกายก็สะอาดสะอ้านไม่มีแม้แต่คราบเลือด
“ขออภัยที่ดิฉันอาบน้ำและเปลี่ยนชุดให้นายท่านขณะที่ยังหลับอยู่นะคะ”
เมื่อปะติดปะต่อเรื่องราวได้บ้างแล้วไลฟ์จึงถามถึงสถานการณ์ปัจจุบัน แม้เฮสต์จะแปลกใจกับอาการไม่ยินดียินร้ายกับการที่ผู้หญิงอย่างนางจัดการกับร่างโดยพลการของเด็กหนุ่ม แต่ในเมื่อเขาเองไม่สนใจนางเองก็คงไม่มีเหตุผลอะไรต้องใส่ใจเรื่องนี้เช่นกัน
“แล้วเกิดอะไรขึ้นบ้าง สงครามจบรึยัง”
“ทุกอย่างจบสิ้นแล้วค่ะสโจรกาดถอนทัพกลับไปแล้ว ตอนนี้เหล่านักรบของเรากำลังอยู่ในช่วงพักผ่อน และรักษาตัวเพื่อรองานฉลองที่ราชากิลเลียนทรงสั่งให้จัดขึ้นในอีกสองวันข้างหน้าค่ะ”
“แล้วมีการรุกไล่กลับไปรึเปล่า”
“องค์ราชามีรับสั่งให้ปล่อยเหล่านักรบสโจรกาดถอนทัพโดยไม่ต้องรุกไล่ค่ะ แต่ยังมีบางส่วนที่ถูกจับเป็นเชลยเอาไว้”
“งั้นเหรอ”
“องค์ชายโลริกซ์มีรับสั่งว่าหากท่านตื่นแล้วจะจัดประชุมทันทีค่ะ เมื่อครู่ดิฉันให้คนไปแจ้งข่าวกับองค์ชายแล้ว ส่วนนายท่านก็กรุณารอคุณหมอตรวจร่างกายอีกครั้งนะคะ”
เสียงเปิดประตูของหมอมาพร้อมกับหยุดบทสนทนาลง ไลฟ์ใช้เวลาไม่นานนั่งนิ่งๆ ให้หมอตรวจอาการต่างๆ
“ร่างกายของคุณแข็งแรงดีครับ แต่จากนี้ให้ทานอาหารสักมื้อ และดื่มน้ำเยอะๆ หน่อย ขอตัวนะครับ”
หมอหันไปหาเฮสต์ที่มุมห้องพยักหน้าเป็นสัญญาณว่าเด็กหนุ่มร่างกายแข็งแรงดี ก่อนจะเดินออกจากห้องไป หญิงสาวรินน้ำแก้วใหญ่ยื่นให้กับไลฟ์
“ถ้าเรียบร้อยแล้วก็เชิญตามดิฉันมาทางนี้ค่ะ หลังจากประชุมจะมีการจัดเลี้ยงอาหารค่ะ”
ไลฟ์เดินตามเฮสต์ออกจากห้องไปติดๆ ภาพของสถานพยาบาลที่เต็มไปด้วยนักรบที่บาดเจ็บจากสงครามที่เต็มไปทว่าใบหน้านักรบเหล่านี้กลับล้วนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มแม้ร่างกายจะบาดเจ็บ ให้ความรู้สึกหลากหลายจนเขาเองก็บรรยายกับตัวเองไม่ได้ว่าเวลานี้เขาเองรู้สึกอย่างไร เวลาผ่านมาแล้วกว่าสามวันสถานการณ์ตึงเครียดเริ่มคลี่คลาย ชัยชนะที่ได้รับหมายถึงการได้กลับภูมิลำเนาของเหล่านักรบ แน่นอนว่า สิ่งเหล่านี้เป็นที่มาของรอยยิ้มแห่งความยินดี
เมื่อมาถึงลานประชุมกองทัพของอาณาจักรลีซเนป พวกเชลยศึกที่ถูกกักตัวเอาไว้อยู่บางส่วนรวมตัวกันอยู่กระโจมขนาดใหญ่ มีเพียงเหล่านักรบชั้นบัญชาการที่ถูกพาตัวมาร่วมประชุมพร้อมโซ่ตรวนหนึ่งในนั้นคือเมอร์เซเดสและสองสาวคนสนิทอยู่ด้วย
ไลฟ์ที่มาถึงก็ต้องตกตะลึงเมื่อนักรบเฒ่าที่เขาได้พบกลางป่าใกล้กับวิหารนั่งอยู่บนบัลลังก์โดยมีผู้บัญชาการกองทหารเกราะเหล็กยืนอยู่ใกล้ๆ ชายสูงอายุที่เขาคิดว่าเป็นเพียงคนใหญ่คนโตในกองทัพกลับมียศศักดิ์สูงกว่าที่คาดเอาไว้มาก นักรบเฒ่าหันมายิ้มให้กับเด็กหนุ่ม
“แข็งแรงดีแล้วใช่มั้ย”
ไลฟ์ที่แสดงอาการเงอะงะทำตัวไม่ถูกไม่รู้ว่าต้องใช้คำพูดอย่างไรจึงได้แต่โค้งคำนับ ฝ่ายนักรบเฒ่าเองก็ยิ้มกลับมาอย่างอ่อนโยน
“เอาล่ะเราจะแนะนำตัวอย่างเป็นทางการกับเธอนะ เราคือกิลเลียน ราชาแห่งอาณาจักรลีซเนปส่วนที่อยู่ข้างๆ นี่ก็คือลูกชายของเรา โลริกซ์ แต่เธอไม่ต้องมากพิธีไปหรอกนะ เรารู้ว่าเธอไม่เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เพราะงั้นก็ทำตัวตามสบายใช้คำพูดง่ายๆ แบบที่เคยเถอะ ไม่งั้นก็คุยกันไม่รู้เรื่องพอดี”
เด็กหนุ่มค้อมตัวเล็กน้อยเป็นการตอบรับ ก่อนจะเดินไปหยุดตรงที่ว่างที่เฮสต์ชี้ให้บอกทางเขาเอาไว้ เนื้อหาการประชุมก็คือการทำสัญญากับเหล่าเชลยโดยยื่นข้อเสนอให้มาเป็นประชาชนของลีซเนปหรือถูกส่งไปอยู่ในเขตแรงงานเหมือง เพราะราชากิลเลียนไม่ต้องการที่จะสร้างความบาดหมางกับสโจรกาดไปมากกว่านี้
ส่วนรางวัลสำหรับมาร์คัสผู้ในฐานะผู้สังหารแม่ทัพฮาร์ดิลจนเป็นเหตุนำไปสู่บทสรุปของสงครามก็คือเลื่อนขั้นขึ้นเป็นอัศวินชั้นบัญชาการ และสิ่งที่เจ้าตัวต้องการอีกหนึ่งประการ ซึ่งมาร์คัสเองยังไม่ได้ตัดสินใจจะร้องขอ ส่วนไลฟ์ที่เหล่านักรบต่างร่ำลือถึงการเข้าปะทะกับจิ้งจอกเฒ่าอย่างกล้าหาญแม้จะไม่ใช่นักรบของอาณาจักร และมีส่วนในการสังหารแม่ทัพใหญ่ลงได้ก็จะได้สิ่งที่ต้องการสามประการ
แม้ไลฟ์เองจะรู้ดีกว่าเป็นตัวเขาที่สังหารแม่ทัพฮาร์ดิลได้แต่ก็ไม่คิดที่รับความดีความชอบ สาเหตุเพราะเขาเองไม่ต้องการรับตำแหน่งใดๆ ให้วุ่นวายชีวิต บวกกับเมอร์เซเดสที่นั่งอยู่ในที่ประชุมยังเป็นหลานสาวของฮาร์ดิลอีกด้วย หากประกาศตนว่าเขาเองที่สังหารแม่ทัพฮาร์ดิลได้แล้ว แต่มาร์คัสที่เป็นตาอยู่ขโมยพุงปลามันไปจากเขาแล้ว เห็นทีเมอร์เซเดสคงไม่แม้แต่จะมองหน้าเขาอีก เมื่อคิดได้เขาจึงเอ่ยปากขอรับรางวัลของตนทั้งสามประการ
“เอ่อ ฝ่าบาท…ผมมีความต้องการสามประการจะร้องขอ”
ราชากิลเลียนหวังอย่างยิ่งว่าเด็กหนุ่มจะตัดสินใจเข้ารับตำแหน่งในกองทัพ ซึ่งเขาเองก็จะแต่งตั้งให้เป็นองครักษ์ประจำตัวลูกสาวที่ชอบออกไปเที่ยวเล่นนอกปราสาท จึงยินดีที่จะรับฟังคำขอของเด็กหนุ่ม
“เอาล่ะบอกเรามาเถอะรางวัลสามประการที่เธอจะร้องขอไม่ว่าอะไรเราก็จะประทานให้”
“ถ้างั้นประการแรกผมขอหญิงสาวสามคน”
“หญิงสาวเหรอ”
“ครับหญิงสาว”
“ได้สิ เราจะคัดเลือกหญิงงามมาให้เธอสามคน”
“ไม่ครับ สามคนที่ว่าต้องเป็นสามนั้นเท่านั้น หากเป็นเชลยศึกก็ไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แถมยังไม่ต้องเสียเวลาคัดเลือกด้วย”
ไลฟ์ชี้ไปทางเมอร์เซเดสกับฝาแฝดคนสนิท ไม่ใช่แค่ราชากิลเลียนเท่านั้น แต่ทุกคนในลานประชุมต่างตกตะลึงกับการร้องขอรางวัลในของเขา โดยเฉพาะมาร์คัสซึ่งหมายตาเมอร์เซเดสเช่นกันเพียงแต่ยังลังเลว่าจะขออย่างอื่นดีหรือไม่ ด้านเมอร์เซเดสเองแม้จะตกตะลึงกับชะตากรรมของตนอยู่พอสมควรแต่หากเป็นชายคนนี้นางก็มีเหตุผลต้องคัดค้าน แถมการที่อยู่สถานะเชลยแบบนี้ย่อมไม่อาจขัดขืนได้ ที่สำคัญก็คือยังดีกว่าไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าจะต้องพบเจอกับความเลวร้ายอะไรมากกว่านี้หรือไม่หากชายหนุ่มไม่เอ่ยปากของนางเป็นรางวัล
‘แต่ทำไมกัน เพราะอะไรเขาถึงเลือกลอร่ากับลอเรนด้วย หรือว่าเขาเป็นแค่ผู้ชายที่คิดเอาแต่ได้อยู่ฝ่ายเดียวกันนะ แต่จะคิดอะไรมากไปกว่านี้ก็คงไม่มีประโยชน์ รอสอบถามความจริงจากปากเขาโดยตรงหลังจากนี้จะดีกว่า’
ราชากิลเลียนมองไปที่ยังแววตาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของเด็กหนุ่มแล้วก็ได้แต่ต้องยอมรับ ในเมื่อตนได้ลั่นว่าจาเอาไว้แล้วว่าไม่ว่าอะไรก็ประทานให้ แต่ในใจยังหวังให้เขาเสนอตัวเข้ารับตำแหน่งในกองทัพอยู่ลึกๆ
“เราขอฟังเหตุผลของเธอหน่อยจะได้มั้ย ทำไมถึงเลดี้เมอร์เซเดสกับคนสนิท”
“ที่นางเข้าร่วมสงครามครั้งนี้คงไม่ใช่ความตั้งใจของนางหรอก อาจเป็นเพราะเหตุผลบางอย่างที่บีบบังคับให้นางต้องใช้ความสามารถรุกรานลีซเนป ส่วนอีกเหตุผลหนึ่ง…ผมขอเก็บเอาไว้เป็นความลับจะดีกว่า”
“อย่างงั้นหรอกเหรอ เอาเถอะ ท่านฟร๊าวซ์ ช่วยไปพาทั้งสามมาแล้วปลดโซ่ตรวนให้พวกนางด้วยนะ แล้วอีกสองประการล่ะ”
นายกองฟร๊าวซ์เดินไปปลดโซ่ตรวนและเชิญให้หญิงสาวทั้งสามมายืนอยู่ข้างหลังของไลฟ์
“อย่างที่สอง ผมขอที่ดินปลูกบ้านที่ไมเอลส่วนไหนก็ได้”
“ตกลง แล้วอย่างสุดท้ายล่ะ”
“อย่างสุดท้ายผมขอ…คืนดาบสั้นคู่นี้ให้กับท่าน”
แม้จะผิดหวังที่เด็กหนุ่มไม่มีทีท่าจะเข้าร่วมกับกองทัพอาณาจักรแต่ราชากิลเลียนก็ยังคงต้องการให้เขาเข้ามารับใช้ในบางโอกาส
“เอาละตกลง…แต่มีข้อแม้อยู่หนึ่งประการ”
“ข้อแม้”
“เราจะเรียกตัวเธอเข้ามารับใช้อาณาจักรเป็นครั้งคราวจะได้รึเปล่า”
“น้อมรับพระบัญชา”
เด็กหนุ่มค้อมตัวรับข้อเสนอ ก่อนจะนำดาบคู่ไปส่งให้กับองค์ชายโลริกซ์ที่ก้าวออกมารับดาบไปเก็บเอาไว้ และดำเนินการหารือเรื่องข้อตกลงกับเหล่าเชลยศึกต่อไป
ก่อนที่จะแยกย้ายองค์ชายโลริกซ์เอ่ยปากชวนให้ไลฟ์อยู่ร่วมงานฉลองในอีกสองวันข้างหน้า
“เราจะมีงานฉลองในอีกสองวัน นายจะอยู่ร่วมงานนั้นรึเปล่า”
“คงไม่ล่ะองค์ชาย หากฉันอยู่หญิงสาวทั้งสามก็จำเป็นต้องอยู่ด้วย พวกนางและคงไม่ยินดีกับชัยชนะของเราสักเท่าไร ยิ่งไปกว่านั้นชัยชนะของเราเป็นเพราะเมอร์เซเดสสูญเสียลุงของนางไปซะด้วยสิ ฉันต้องพานางหลบไปจากบรรยากาศรื่นเริงให้เร็วที่สุดนั่นแหละ”
“ยังไงก็เถอะ ยินดีที่ได้ร่วมรบกับนายนะ ปิศาจแห่งไมเอล”
“เรียกใช้ได้เสมอนะองค์ชาย”
โลริกซ์ตบไหล่เด็กหนุ่มเบาๆ
“เรื่องที่ดินท่านพ่อสั่งให้คนที่เกี่ยวข้องไปจัดหาเอาไว้แล้วพรุ่งนี้น่าจะรู้ตำแหน่ง ส่วนเรื่องก่อสร้างคงต้องรอหลังจากงานฉลองสิ้นสุดลงแล้ว”
“งั้น..ถ้ายังไงก็ไปแจ้งข่าวได้ที่กระท่อมหลังวิหารก็แล้วกันนะ”
ไลฟ์หันไปหาสามสาวบอกให้รออยู่ตรงนี้สักครู่
“เอาล่ะเราก็ออกไปจาก Czakras (เซเครส) กันดีกว่า แต่ก่อนหน้านั้นพวกเธอต้องเปลี่ยนชุดสักหน่อย”
ชายหนุ่มเดินไปคุยกับเฮสต์ครู่ใหญ่ก่อนที่หญิงสาวจะเดินเข้ามาพาตัวทั้งเมอร์เซเดสกับคนสนิทไปชำระร่างกายรวมถึงเปลี่ยนไปสวมเสื้อผ้าตามแบบชาวลีซเนป ส่วนไลฟ์ก็ยึดกำไลหินผลึกเอาไว้ก่อน
“เอาล่ะฉันขอยึดเจ้านี่เอาไว้ก่อนก็แล้วกันนะ ออกไปจากเซเครสเมื่อไรค่อยคืนให้ ตอนนี้พวกเธอไปเปลี่ยนชุดก่อนก็แล้วกัน”
ระหว่างที่รอพวกสาวๆ เปลี่ยนชุด ไลฟ็ก็ออกไปเตรียมม้า มาร์คัสที่รู้สึกขัดหูขัดตาเด็กหนุ่มตั้งแต่ขอหญิงสาวเป็นรางวัลก็ตั้งใจจะเข้าไปหาเรื่อง ด้วยหวังว่าอาจจะสร้างบารมีให้เหล่าทหารชั้นล่างได้รับรู้ แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อแม่ทัพมาร์ควินเข้าไปพูดคุยกับเด็กหนุ่ม ทำให้เขาต้องวางมือและเดินจากไป
“จะไม่อยู่ร่วมงานฉลองจริงๆ เหรอพ่อหนุ่ม”
ไลฟ์หันไปมองตามเสียงก่อนจะทำความเคารพมาร์ควิน
“ต้องพาเมอร์เซเดสไปจากที่นี่น่ะลุง”
“หลานของฮาร์ดิลสินะ อืมเข้าใจล่ะ แล้วทำไมนายไม่ท้วงล่ะว่านายเป็นคนสังหารเขาไม่ใช่ลูกชายฉัน”
ไลฟ์ยิ้มให้กับแม่ทัพเฒ่า
“แบบนี้แหละดีแล้ว ท้วงไปก็มีแต่ต้องรับตำแหน่งอัศวิน ชีวิตไม่มีอิสระอย่างที่เคยเป็นมันคงไม่ค่อยสนุกเท่าไร ว่าแต่ลุงรู้ได้ไงว่าฮาร์ดิลตายก่อนจะโดนแทง”
มาร์ควินที่กำลังลูบหัวม้าอยู่หันมาตอบกลับเด็กหนุ่มให้หายสงสัย
“ฉันสู้กับเจ้านั่นหลายครั้ง มันไม่เคยยืนนิ่งในสนามรบแบบนั้นหรอก ต่อให้บาดเจ็บสาหัสแค่ไหนมันก็จะเคลื่อนที่เคลื่อนไหวตลอดนอกซะจากมันจะตายไปแล้วนั่นล่ะ แต่เอาเถอะ ต่อจากนี้ท่านกิลเลียนคงมีอะไรอีกหลายอย่างให้นายได้จัดการล่ะนะ ถึงแม้จะไม่ใช่อัศวินของอาณาจักรแต่ก็ถือเป็นกำลังสำคัญที่จะคุ้มครองลีซเนปแห่งนี้ อ้อพรุ่งนี้เฮสต์จะไปเชิญนายมาที่นี่นะ เหมือนท่านกิลเลียนมีบางอย่างจะรับสั่ง”
“ถ้ามันไม่ทำให้ชีวิตวุ่นวายมากเกินไปก็ไม่มีปัญหาหรอกลุง”
มาร์ควินยิ้มให้กับเด็กหนุ่มก่อนจะหันหลังเดินจากไป ส่วนไลฟ์ก็ก้มหัวทำความเคารพและเงยหน้ายืนมองแม่ทัพเฒ่าเดินจากไปอย่างเงียบๆ
ระหว่างที่เมอร์เซเดสและสองสาวคนสนิทกำลังกลับออกมาหลังจากตามเฮสต์ไปอาบน้ำเปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วก็ได้พบกับราชินีฟรีเซียที่ทางเดินก่อนจะถึงคอกม้า
“เธอคือเลดี้เมอร์เซเดสใช่มั้ย”
เฮสต์ทำความเคารพราชินีฟรีและแนะนำให้สามสาวได้รู้จัก
“องค์ราชินี ท่านนี้คือเลดี้เมอร์เซเดสและคนสนิท ท่านลอร่ากับท่านลอเรนเจ้าค่ะ”
“เฮสต์ขอเวลาสักเดี๋ยวนะเรามีเรื่องจะปรึกษากับเลดี้เมอร์เซเดส”
เฮสต์ตอบรับและถอยหลบไปรอที่ทางออก
“เลดี้เมอร์เซเดส เรามีความคิดที่จะจัดตั้งโรงเรียนเวทมนตร์ขึ้นมา และอยากให้เธอกับคนสนิทมาช่วยเป็นผู้คัดเลือกผู้มีคุณสมบัติที่เหมาะสม”
“โรงเรียนเวทมนตร์เหรอคะ”
“ใช่แล้ว เราเชื่อมั่นว่าเวทมนตร์สามารถทำได้มากกว่าการเป็นอาวุธสงคราม และอยากให้เธอเดินทางกลับไปที่อาณาจักร Kèlāmǎk (คาลามัค) เพื่อรวบรวมตำราเวทมนตร์และนำกลับมาเพื่อปรับปรุงและใช้สอนในโรงเรียนเวทมนตร์ที่เราจะก่อตั้งขึ้น”
“แต่การเดินทางและรวบรวมตำราเวทมนตร์มันต้องใช้เวลานะคะ”
“เราให้เวลาเธอสามปี ก็น่าจะเพียงพอแล้วสำหรับจอมเวทอัจฉริยะแห่งสถาบันเวทมนตร์แห่งคาลามัค”
เมื่อเห็นหญิงสาวมีท่าทีลังเลราชินีฟรีเซียจึงให้เวลานางกลับไปพิจารณา
“ไม่ต้องรีบให้คำตอบเราตอนนี้ก็ได้ อีกหนึ่งสัปดาห์เราจะส่งคนไปรับพวกเธอมาที่ปราสาทของเราก็แล้วกัน ส่วนพ่อหนุ่มจากไมเอลคนนั้น เราจะพูดคุยเรื่องนี้กับเขาภายหลัง ในเมื่อพวกเธอเป็นคนในปกครองของเขาก็คงต้องไปขออนุญาตเป็นเรื่องเป็นราวล่ะนะ”
เมื่อราชินีฟรีเซียเอ่ยถึงชายหนุ่มที่รอคอยอยู่เมอร์เซเดสก็เริ่มมีอาการหน้าแดงขึ้นมาเล็กน้อย
“เอาเป็นว่าพวกตอนนี้เธอกลับไปพักผ่อนก่อนก็แล้วกัน เราขอตัวก่อนนะ”
ท่ามกลางความวุ่นวายเสียงของเฮสต์ เรียกความสนใจของเด็กหนุ่มที่กำลังเล่นกับม้าอย่างเพลิดเพลิน ซึ่งเป็นครั้งแรกที่ทำให้ทั้งเมอร์เซเดสและฝาแฝดได้รู้จักกับชื่อของชายที่เข้ามาวุ่นวายกับพวกนางอย่างมากในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
“นายท่านไลฟ์คะ ทุกอย่างเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ไลฟ์หันไปมองยังที่มาของเสียงเรียกก็พบกับสามสาวที่เดินตามหลังเฮสต์มา
“เหมาะกับชุดของที่นี่เหมือนกันนะพวกเธอน่ะ”
สามสาวขอบคุณเฮสต์และเดินมาที่คอกม้าก่อนที่ลอร่าจะเอ่ยถามที่หมายกับไลฟ์
“เราจะไปไหนกัน”
ไลฟ์จัดแจงส่งบังเหียนให้สามสาวก่อนจะขึ้นม้าและเริ่มออกเดินทาง
“ไปหาที่พักแถวๆ นี้กันก่อนพรุ่งนี้ฉันยังมีธุระที่นี่อยู่ หลังจากนั้นเราค่อยกลับไปที่วิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งไมเอลกัน”
“ทำไมต้องไปที่นั่น”
“ก็ฉันเป็นคนดูแลวิหารน่ะ ที่นั่นมีที่พักอยู่ พวกเธอใช้กระท่อมนั้นเป็นที่พักก่อนก็แล้วกันส่วนจะไปไหนหรือยังไงต่อไปก็แล้วต่พวกเธอก็แล้วกัน”
คำตอบของไลฟ์ทำให้เมอร์เซเดสสับสนอยู่พอสมควร
“หมายความว่ายังไง”
ไลฟ์หัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะตอบคำถาม
“นี่พวกเธอคิดว่าฉันขอพวกเธอมาเป็นรางวัลเพื่ออะไรกันเล่า ฉันแค่อยากให้อิสระกับพวกเธอก็เท่านั้นแหละ”
“ไม่ใช่ว่า….”
ก่อนที่เมอร์เซเดสจะเผยสิ่งที่คิดออกมานางก็หยุดพูดไปเฉยๆ ทำให้ไลฟ์เองก็แสดงความสงสัยออกมา เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่งเอียงคอพร้อมยื่นหน้าเข้ามาใกล้เมอร์เซเดสเพื่อให้นางพูดต่อ
“ไม่ใช่ว่าอะไรเหรอ”
หญิงสาวหลบตาเบือนหน้าหนีด้วยความเขินอาย ‘ใกล้เกินไปแล้ว’
แต่เหมือนไลฟ์ยังคงดึงดันอยากได้คำตอบยื่นหน้าเข้าไปหาหญิงสาวเซ้าซี้อยู่อย่างนั้น เมอร์เซเดสจึงใช้มือผลักใบหน้าของชายหนุ่มออกไป
“ไม่มีอะไรหรอกน่า เซ้าซี้จริง”
เมอร์เซเดสเผยรอยยิ้มและอาการเขินอายออกมาอย่างชัดเจนเพียงแต่ไลฟ์นั้นไม่ทันสังเกตเพราะมัวแต่หันไปมองฝาแฝดเผื่อว่าทั้งสองจะรู้ว่าท่านหญิงพวกนางคิดอะไรอยู่ ทว่าไม่ได้คำตอบอะไรนอกจากรอยยิ้มจากสองสาว
เวลาผ่านไปราวสามชั่วโมงก็ถึงหมู่บ้าน Grishka (กริชกา) หมู่บ้านเล็กๆ ในเมืองเซเครส แม้สภาพของเมืองจะได้รับผลกระทบจากสงครามจนผู้คนส่วนใหญ่จะอพยพออกไปจากหมู่บ้านแล้ว แต่ก็ยังเหลือผู้คนที่เชื่อมั่นและใช้ชีวิตอยู่ในเมืองกันต่อไปตามปกติ และเหมือนจะเป็นโชคดีเล็กๆ ที่โรงแรมยังคงเปิดให้บริการอยู่ ไลฟ์จึงเลือกโรงแรมแห่งนี้เป็นที่พัก