Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 16 เล่าเรื่องของนายบ้างสิ
รถม้าเคลื่อนออกมาได้ระยะหนึ่งแล้วพร้อมกับเฮสต์ ไลฟ์ และเมอร์เซเดสโดยสารอยู่ภายใน ความเงียบปกคลุมอยู่ห้องโดยสารนับตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง เมอร์เซเดสที่กำลังอึดอัดเพราะยังไม่ทันได้คุยเรื่องสำคัญกับไลฟ์จนจบเขาก็ออกไปจากโรงแรมกะทันหัน แต่ด้วยไม่รู้ว่าจะบอกกับเขายังไงให้เข้าใจจึ่งได้แต่นิ่งเงียบเอาไว้อย่างนั้น เป็นไลฟ์ที่ทำลายความเงียบด้วยคำถามที่แสดงออกมาชัดเจนว่าอยากจะรู้จักตัวตนของเมอร์เซเดส
“เออนี่เมอร์เซเดส เล่าเรื่องของเธอหน่อยสิทำไมถึงมาที่ล่ะ”
แม้เมอร์เซเดสอยากจะคุยเรื่องสำคัญมากกว่าแต่ก็ต้องยอมตอบคำถามของไลฟ์เล่าเรื่องราวของตนให้ฟังไปก่อน แล้วค่อยหาโอกาสคุยเรื่องสำคัญ
“ตั้งแต่จำความได้ก็ฉันก็มีลอร่ากับลอเรนเป็นพี่เลี้ยง เพราะพ่อแม่ของฉันต้องเดินทางเกือบตลอดเวลา พอรู้ว่าเป็นผู้มีคุณสมบัติในการใช้เวทมนตร์ก็ถูกเรียกตัวให้เข้าไปเรียนที่สถาบันเวทมนตร์คาลามัค พอดีท่านลุงเป็นเพื่อนกับราชาเมอร์มอนน่ะ เขาถูกใจฝีมือการต่อสู้ของท่านลุงเลยชวนให้มาทำงานให้น่ะ พอฉันเรียนจบท่านลุงก็เรียกตัวฉันมาที่นี่น่ะ”
“เออนี่ ทำไมคนที่ใช้เวทมนตร์ได้ถึงมีน้อยล่ะ”
“อันนี้ก็ยังไม่มีใครรู้จริงๆ หรอก เท่าที่เคยฟังพวกท่านผู้เฒ่าเคยเล่าว่าเมื่อหลายพันปีก่อนโลกเราน่ะเป็นที่ซึ่งมนุษย์และเหล่าภูติอาศัยอยู่ร่วมกัน แล้วมนุษย์ที่มีคุณสมบัติในการใช้เวทมนตร์ก็คือผู้มีสายเลือดของมนุษย์และภูติอยู่ในตัว บางตำราก็บอกว่าเหล่าจอมคาถาน่ะ เป็นผู้ที่ได้รับพรวิเศษจากเหล่าเทพเจ้าโบราณ…ข้อมูลที่มีมันขัดแย้งกันจนฉันไม่รู้อันไหนคือเรื่องที่น่าจะเป็นจริงน่ะ”
“อย่างงั้นเหรอ…แล้วลุงของเธอน่ะ เขาใช้เวทมนตร์อะไรได้บ้างรึเปล่า ฉันเคยเห็นเขาชูมือขึ้นแล้วก็มีแสงสว่างวาบออกมา หลังจากนั้นพวกลูกน้องของลุงเธอก็เปิดกรงปล่อยมอนสเตอร์ออกมาน่ะ”
“ความจริงท่านลุงก็เป็นผู้มีคุณสมบัติในการใช้เวทมนตร์นะ แต่ระดับพลังเวทย์ในตัวเขามันต่ำมาก ต่ำจนได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนเวทมนตร์ที่ห่วยที่สุดในประวัติศาสตร์ของสถาบันเลยล่ะ เขาใช้ได้เพียงเวทย์ประกายแสงกับเวทมนตร์เสริมพลังเท่านั้น แต่ก็นั่นแหละท่านลุงเขาได้พรสวรรค์ด้านการต่อสู้มาชดเชย”
“แล้ว….ถ้าไม่มีกำไลอันนี้ล่ะจะใช้เวทมนตร์ได้มั้ย”
ไลฟ์หยิบกำไลออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ
“จริงๆ ถ้าไม่มีกำไลนั่นก็พอจะใช้เวทมนตร์เล็กๆ อย่างเวทมนตร์ประกายแสงหรือว่าเรียกลูกไฟเล็กๆ ใช้ก่อกองไฟได้อยู่หรอก แต่ว่ากำไลนั่นทำมาจากหินผลึกอาเกต หินผลึกพิเศษที่หาได้จากเมือง Latsryc (ลัทสริค) อาณาจักรคาลามัคเท่านั้น คุณสมบัติของมันคือจะช่วยขยายพลังเวทย์ในตัวทำให้ใช้เวทมนตร์ใหญ่ๆ ได้”
“เหรอ…ถ้าอย่างงั้นก็”
ไลฟ์บรรจงสวมกำไลผลึกอาเกตเข้าไปที่ข้อมือขวาของเมอร์เซเดสอย่างอ่อนโยน ฝ่ายหญิงสาวเองก็ไม่ขัดขืนซ้ำยังมีอาการเขินอาย ใบหน้าแดงระเรื่อและพยายามหลบสายตาของเขา แต่ไลฟ์เองที่สวมกำไลให้กับนางแล้วกลับไม่ยอมปล่อยมือ มือที่นุ่มนวลของหญิงสาวทำให้เขาเผลอกุมมือของนางเอาไว้อย่างทะนุถนอมราวกับว่าเขากำลังถืออัญมณีล้ำค่าที่หากว่าเขาปล่อยมือแล้วมันจะหายไปตลอดกาล เวลาที่ผ่านไปช่างแสนยาวนานสำหรับคนทั้งสอง ทว่าเสียงกระแอมของเฮสต์ปลุกให้ทั้งสองหลุดตื่นจากภวังค์
“ถ้าอย่างงั้นดิฉันขอตัวออกไปนั่งข้างนอกจะดีกว่านะคะ”
เมอร์เซเดสรีบดึงมือออกจากการเกาะกุมของชายหนุ่มทันทีพร้อมหันไปบอกกับเฮสต์ว่าไม่ต้องออกไปอยู่ข้างนอกก็ได้ ตามด้วยถามเรื่องราวของเขาบ้าง
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณเฮสต์ นั่งอยู่ข้างในนี้แหละค่ะดีแล้ว…แล้วก็นายน่ะ เล่าให้ฟังบ้างสิ เรื่องของนายน่ะ ที่บอกว่าเป็นคนพเนจรน่ะ”
ไลฟ์เอนหลังพิงเบาะนั่งของรถม้าก่อนจะเล่าเรื่องราวของเขาทั้งหมดให้คนบนรถม้าได้ฟัง
“ฉันเหรอ…ฉันเป็นเด็กกำพร้าน่ะ จำความได้อยู่สถานสงเคราะห์ที่ Llorateze (ยอร์ราตีส) แล้ว พอประมาณสี่ขวบก็ถูกใครไม่รู้พาออกไปอยู่ด้วย แต่ก็นั่นแหละ ออกไปก็ถูกเลี้ยงในไร่ในฟาร์มอะไรสักอย่างแต่ถูกฝึกให้หัดลักเล็กขโมยน้อยหรือไม่ก็งานในฟาร์มไปเรื่อยๆ แต่วันก็ได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมงหรอก ขโมยของมาให้พวกมันขายได้ก็ได้กิน วันไหนไม่มีอะไรมาหรือทำงานแล้วพวกมันไม่พอใจให้ก็อดกิน”
ชายหนุ่มมองเหม่อมองออกไปนอกรถม้าอย่างเลื่อนลอย แต่ปากก็ยังเล่าเรื่องราวของตัวเองต่อไป
“แต่อยู่ได้แค่สามเดือนพวกพี่ชายที่อายุเยอะกว่าก็พาฉันหนีออกมา แล้วก็เร่ร่อนไปเรื่อยๆ จนพวกเขาค่อยๆ แยกตัวปักหลักเริ่มชีวิตใหม่ มีครอบครัวในเมืองที่พวกเขาถูกใจ เหลือก็แต่ฉันที่ยังเร่ร่อนไปเรื่อยๆ ”
เมื่อฟังเรื่องราวคร่าวๆ ของชายหนุ่มแล้ว สีหน้าของเมอร์เซเดสก็เปลี่ยนเป็นเศร้าหมองขึ้นมาทันที
“นี่นายจะบอกว่า…นายเร่ร่อนจากเมืองชายขอบของ Mexuorg (เมซเซิร์ก) จนมาข้ามอาณาจักรมาถึงที่นี่เลยน่ะเหรอ”
ไลฟ์ที่ยังคงมองออกไปนอกรถม้าก็ตอบคำถามของหญิงสาวโดยที่ไม่หันกลับมามอง
“ก็นั่นแหละ จริงๆ ก็ไม่ควรจะมาโผล่ที่ลีซเนปหรอก แต่สามปีก่อนฉันโดนจับได้…ไม่สิเรียกว่าถูกเจอตัวมากกว่า”
“หมายความว่ายังไง”
“ก็ฉันเร่ร่อนไปเรื่อยๆ แล้วก็หมดแรงนอนรอความตายอยู่ที่ทุ่งร้างเขตเมือง Marfyni (มาร์ฟีนนี) น่ะ แล้วพวกพ่อค้าทาสก็มาเจอตัว แล้วพวกมันก็เอาน้ำ เอาอาหารมายัดใส่ปากเลยรอดตายมาได้”
“แล้วนายหนีออกมาได้ยังไง”
“ก็พอตกกลางคืนเรี่ยวแรงฟื้นแล้วฉันก็พยายามหนีออกจากค่ายพักแรม แต่ฉันคนเดียวก็สู้ไม่ค่อยจะได้หรอก เท่าที่จำได้ก็สู้ไปหนีไปแล้วอยู่ๆ ก็ถูกหน้าไม้ยิงใส่สะบักขวาจนล้มคว่ำไป พอพวกมันเข้ามาใกล้ก็ฉวยมีดที่เอวของพวกมันคนนึงแทงใส่กลางอกมันไป และก็วิ่งหนีต่อแล้วก็โดนทั้งแส้ทั้งมีด รุมฟาดใส่แล้วจำอะไรไม่ได้อีกเลย ตอนนั้นรู้แค่ว่าฉันต้องรอด ต้องหนีออกมาให้ได้ไม่ยอมกลับไปเป็นทาสอีกแล้ว พอรู้ตัวอีกทีฉันก็….”
ไลฟ์เงียบไปเพราะไม่อยากจะเล่าเรื่องสะเทือนใจให้เมอร์เซเดสได้ฟังอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นฝ่ายหญิงเองที่ยังรบเร้าให้เขาเล่าเรื่องราวของเขาต่อไป
“นายรอดมาได้ยังไงกันเล่า”
“ถ้าเล่าไปเธอคงกลัวจนไม่อยากจะเข้าใกล้ฉันอีกเลยล่ะมั้ง”
“บอกฉันมาเถอะน่า”
ไลฟ์ถอนหายใจหันไปสบตาเมอร์เซเดสอยู่ครู่ใหญ่
“พอรู้ตัวอีกทีฉันก็เห็นแต่กองเลือดแล้วก็ศพของพวกพ่อค้าทาส กับเด็กที่ถูกจับมาอีก 7-8 คน ตัวฉันเองก็ชุ่มไปด้วยเลือดกับแผลเต็มตัวไปหมด แถมในมือยังถือมีดสั้นกับดาบที่ชุ่มเลือดอยู่ด้วย…ตกใจก็ใช่อยู่…แต่ฉันก็กลัวด้วยเหมือนเลยลากสังขารไปหยิบเสบียงเท่าที่พอจะแบกไหวออกไปจากที่พักแรมของพวกมัน แล้วก็ค่อยๆ รักษาตัวไปพร้อมกับเดินทางมาเรื่อยๆ จนถึงวิหารที่ไมเอล”
เมอร์เซเดสขยับตัวเข้าไปใกล้กับชายหนุ่มเอื้อมมือมากุมมือขวาของเขาเอาไว้ แล้วใช้มืออีกข้างเอื้อมไปจับที่ใบหน้าของเขา
“ฉันมีเรื่องสำคัญจะคุยกับนาย เรื่องสำคัญที่เรายังคุยกันไม่จบ”
ไลฟ์หลับตาลงทำใจอยู่ครู่ใหญ่เพราะมั่นใจว่าเมอร์เซเดสคงไม่อยากจะเจอกับเขาอีกแล้ว
“เรื่องอะไรหรอ”
“ก็ที่ฉันบอกว่าจะกลับไปที่คาลามัคน่ะ”
“อื้ม เข้าใจแล้ว”
“ฟังให้จบก่อนสิ” มอร์เซเดสเอื้อมมืออีกข้างไปจับใบหน้าของชายหนุ่มเอาไว้อย่างอ่อนโยน
“นี่ฟังฉันให้ดีนะ ฉันจะกลับไปคัดลอกตำราเวทมนตร์ แล้วเอากลับมาเปิดสถาบันเวทมนตร์ที่ Heavenya (เฮฟเวนเนีย) เมืองหลวงของลีซเนป ฉันไปแค่สามปีเอง นายช่วยรอฉันได้มั้ย”
เมื่อบอกสิ่งที่ต้องการไปแล้วเมอร์เซเดสก็ได้แต่หลับตาลุ้นคำตอบของเขา แม้ไม่มีคำตอบจากปากของไลฟ์แต่การที่เขากุมมือซ้ายของนางเอาไว้ไม่ยอมปล่อยตลอดการเดินทางก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนจนทำให้หัวใจของหญิงพองโตขึ้นมาด้วยความสุขที่เอ่อล้นอยู่เต็มหัวใจ
รถม้าหยุดนิ่งหลังจากเคลื่อนที่มาตลอดสามชั่วโมง เสียงเปิดประตูรถม้าดังขึ้น เฮสต์ขยับตัวลงจากรถม้าก่อนเป็นคนแรก
“ถึงที่แล้วค่ะ”
ทันทีที่ไลฟ์และเมอร์เซเดสก็พากันลงจากรถม้า เฮสต์ก็บอกทางให้กับไลฟ์ ก่อนจะแยกตัวไปนำทางเมอร์เซเดสไปเข้าเฝ้าราชินีฟรีเซีย
“ท่านไลฟ์คะ องค์ราชาทรงรอท่านอยู่ที่ลานกว้างหน้ากระโจมหลวงด้านโน้นนะคะ ส่วนท่านหญิงเมอร์เซเดสเชิญตามดิฉันทางนี้ค่ะ”
เมอร์เซเดสหันไปสบตากับชายหนุ่มอีกครั้งก่อนเดินตามเฮสต์ไป ส่วนไลฟ์ก็ยืนมองนางแยกตัวออกไปด้วยรอยยิ้มเจื่อนๆ แล้วหันหลังเดินไปที่ลานหน้ากระโจมหลวง
ด้านเมอร์เซเดสที่เดินตามเฮสต์ไปอย่างเงียบก็มีแววตาเศร้าหมองลงเล็กน้อยก่อนจะนางจะปัดเรื่องราววุ่นวายในหัวออกไปจนแววตากลับมาสดใสตาเหมือนเดิม ทว่าแววตาที่แสดงถึงความกังวลเมื่อครู่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของเฮสต์ไปได้
“กำลังกังวลเรื่องอะไรอยู่เหรอคะท่านหญิง”
แม้เมอร์เซเดสจะมั่นใจว่าเขาจะรอนางกลับมา แต่ก็แอบกังวลอยู่เหมือนกันเพราะแม้เวลาสามปีที่อ่านจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว แต่มันก็อาจเป็นช่วงเวลาที่แสนยาวนานเช่นกัน แต่ก็นั่นแหละไม่ใช่เรื่องที่จะต้องเก็บเอามาคิดในตอนนี้
“ไม่มีอะไรค่ะ แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องน่ะ”
“ยังกังวลเรื่องของเขาอยู่อีกเหรอคะ”
เมอร์เซเดสไม่พูดอะไรทำให้เฮสต์ต้องย้ำให้นางมั่นใจว่าไม่ต้องกังวลอะไร
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกนะค่ะ เรื่องเขาคนนั้นน่ะ ดูเหมือนองค์ราชากิลเลียนจะทรงเตรียมแผนบางอย่างเอาไว้สำหรับเขาแล้วค่ะ ไม่แน่ว่าบางที่…อาจจะเป็นที่คาลามัคก็ได้ค่ะ”
“ก็ไม่ได้หวังอะไรแบบนั้นอยู่หรอกค่ะ”
ความสงสัยในตัวของเฮสต์ที่เมอร์เซเดสมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่ายังจะต้องพบเจอหรืออาจต้องร่วมงานกันอีกหลายต่อหลายครั้งทำให้นางตัดสินใจสอบถามถึงตัวตนของหญิงสาวที่เดินนำหน้าอยู่ทันที
“ขอโทษนะคะคุณเฮสต์ คุณพอจะบอกฉันได้มั้นว่าคุณคือใคร เพราะเท่าที่สังเกตดู คุณไม่เหมือนคนที่จากฝ่ายพลาธิการของกองทัพเลย”
“ดิฉันเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลาธิการค่ะ ก่อนหน้าจะมารับหน้าที่นี้ฉันเคยเป็นเจ้าหน้าที่ภาคสนามน่ะค่ะ แต่ว่าตั้งแต่สงครามรุนแรงขึ้นก็ถูกเรียกตัวมาทำหน้าที่องครักษ์ของท่านโลริกซ์ และก็ย้ายมาพลาธิการเมื่อปีก่อนนี่เองค่ะ”
“นิสัยเก็บรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นเพราะเคยเป็นสายลับสินะคะ”
“ดิฉันขออภัยที่เสียมารยาทนะคะ ก็ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้รู้สึกอึดอัดหรอกนะคะแต่ว่ามันติดจนเป็นนิสัยแล้วล่ะค่ะ เอาเป็นว่าจะพยายามไม่ทำให้รู้สึกอึดอัดก็แล้วกันนะคะ”
เฮสต์หยุดเดินและยิ้มให้กับเมอร์เซเดสเมื่อถึงทางเข้าสวนสมุนไพร
“รบกวนรออยู่ตรงนี้สักครู่นะคะ”
เฮสต์เดินเข้าไปในสวนสมุนไพรพักใหญ่ก่อนจะออกมาเชิญตัวเมอร์เซเดสให้เดินตามไปอีกครั้ง ภายในสวนสมุนไพรแห่งนี้เต็มไปด้วยพืชยาหลากหลายชิดและบรรดาหมอหลวงและหมอจากกองทัพที่กำลังตั้งหน้าตั้งตาดูและเก็บเกี่ยวพืชยาเพื่อนำไปใช้ในการรักษาคนเจ็บ ที่ท้ายสวนสมุนไพรเป็นสวนดอกไม้ที่มีสรรพคุณทางยาและดอกไม้กลิ่นหอมล้อมรอบศาลาหลังหนึ่งซึ่งราชินีฟรีเซียกำลังนั่งจิบชาอย่างสบายอารม
“องค์ราชินี ท่านเมอร์เซเดสค่ะ”
“ขอบคุณมากๆ นะเฮสต์”
เฮสต์เดินเข้ามารินน้ำชาใส่แก้วแล้วส่งให้กับเมอร์เซเดสก่อนจะค้อมตัวคำนับราชินีฟรีเซียแล้วถอยฉากออกไปจากบริเวณนั้นปล่อยให้เมอร์เซอเดสได้ใช้เวลาอยู่กับราชินีฟรีเซียเพียงลำพัง
“เราไม่คิดว่าจะได้คำตอบจากเธอเร็วขนาดนี้นะ”
“อันที่จริงฉันก็ยังกังวลอยู่ค่ะ เพียงแต่ฉันคิดว่าถ้าเวทมนตร์ถูกนำไปใช้ในทางสร้างสรรค์ได้ที่นี่คงจะพัฒนาได้อย่างมากเลยล่ะค่ะ”
“เราคงไม่ทำให้เธอลำบากใจใช่มั้ย”
“ไม่เลยค่ะ ฉันคิดว่ามันเป็นเรื่องท้าทายสำหรับฉันมากๆ ไม่มั่นใจด้วยซ้ำว่ามันจะออกมาดี”
ราชินีฟรีเซียลุกเดินเข้ามาจับมือทั้งสองข้างของเมอร์เซเดสเอาไว้
“เอาเป็นว่าเรารู้สึกขอบคุณเธอมากๆ นะ ส่วนเรื่องสิ่งจำเป็นสำหรับการเดินทางและใช้คัดลอกตำราเวทย์ก็คุยรายละเอียดกับเฮสต์ก็แล้วกันนะ ตอนนี้ช่วยดื่มชากับเราหน่อยได้มั้ย”
“ยินดีค่ะ”
ไลฟ์ที่เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ผ่านคอกม้า กระโจมที่พัก ก็ได้เห็นทั้งเหล่าทหารที่พากันออกเตรียมงานฉลอง บ้างก็มานอนพักผ่อนตามใต้ร่มไม้ หรือแม้แต่ตกปลาฆ่าเวลารอให้งานฉลองในวันพรุ่งนี้เริ่มต้นขึ้น ทำให้เขารู้สึกได้ว่าคิดถ้าหากเรื่องที่ถูกเรียกตัวมาวันนี้มันไม่วุ่นวายจนน่ารำคาญก็คงจะดี แล้วก็พลอยคิดเรื่องจุกจิกที่อาจจะต้องเจอหลังจากนี้จนต้องบ่นพึมพำกับตัวเอง กระทั่งเสียงของเฮสต์ที่ตามมาสมทบก็เรียกสติให้เขาหลุดออกจากห้วงความคิด
“บ้าเอ๊ย…คิดถูกคิดผิดวะเนี่ยเข้ามาวุ่นวายกับเรื่องพวกนี้เนี่ย ดูๆ แล้วคงไม่ได้อยู่สงบๆ แล้วล่ะมั้ง…”
“ท่านไลฟ์คะ ท่านไลฟ์”
ชายหนุ่มหยุดเดินหันมองรอบตัว ปรากฏว่าตอนนี้ตนกำลังยืนอยู่กลางลานกว้างหน้ากระโจมหลวงแล้ว รวมถึงเหล่าอัศวินชั้นบัญชาการและราชองครักษ์ที่ตั้งแถวรออยู่หน้ากระโจม
“เวรล่ะ”
องค์ชายโลริกซ์ที่ออกมารออยู่หน้ากระโจมแล้วก็บอกให้ไลฟ์เดินเข้ามาที่หน้ากระโจม
“มาเถอะพ่อหนุ่ม พักผ่อนสักหน่อยอีกสักเดี๋ยวท่านพ่อก็จะมาออกแล้ว”
ไลฟ์ค่อยๆ เดินเข้าไปที่หน้ากระโจม แต่ยังไม่ทันจะได้หยุดพักราชากิลเลียนเดินออกมาจากกระโจมแล้วหลวงแล้ว
“โลริกซ์ การประชุมเรียบร้อยแล้วหรือยัง”
“เรียบร้อยแล้วครับ”
“ดี เอาล่ะอัศวินทุกท่าน เราขอขอบคุณในความเสียสละของท่าน ตอนนี้เชิญทุกท่านไปพักผ่อนได้ พรุ่งนี้เรามีงานใหญ่รออยู่”
เหล่าอัศวินชั้นบัญชาการพากันแยกย้ายไปพักผ่อน เหลือแต่เหล่าราชองครักษ์ที่ยังไม่ขยับไปไหน ส่วนราชากิลเลียนก็ชวนเข้าเรื่องโดยที่ยอมไม่เสียเวลาของผู้มาเยือนไปมากกว่านี้
“เอาล่ะพ่อหนุ่มเราเชิญตัวเธอมาวันนี้ก็เพราะมีเรื่องสำคัญอยากให้เธอได้ทำ อีก 3 เดือนคณะแพทย์ของเฮฟเวนเนียจะเดินทางไปยัง Aevin (แอวิน) เพื่อศึกษาพืชสมุนไพรที่จะขึ้นเฉพาะที่นั่นเท่านั้น และที่สำคัญคือลูกสาวของเราก็จะเดินทางไปที่นั่นด้วย เราจะมอบหน้าที่ให้เฮสต์เป็นคนตัดสินใจว่าเธอมีความสามารถพอที่จะร่วมเดินทางเพื่อคุ้มครองคณะแพทย์ได้หรือไม่ เธอพร้อมรึเปล่า”
ไลฟ์แสดงอาการเลิ่กลั่กออกมาชัดเจน อยู่ๆ ก็ต้องมาทดสอบกับผู้หญิงที่เขามั่นใจว่ามีฝีมือสูสีกับฮาร์ดิล เพียงแต่อาจจะไม่ทรงพลังเท่ากับจิ้งจอกเฒ่าที่เขาจัดการสังหารลงได้ เฮสต์เดินมาที่กลางลานกว้าง
“ท่านไลฟ์คะ เชิญเลือกอาวุธที่ถนัดได้เลยค่ะ”
อาวุธที่ทำจากไม้หลากหลายชนิดวางเรียงรายอยู่ที่มุมหนึ่งของลานกว้าง รอให้ไลฟ์เลือกไปใช้งาน ทว่าไลฟ์กลับเดินไปหยุดยืนจ้องอยู่ครู่ใหญ่จนเฮสต์ต้องร้องทัก
“เกิดอะไรขึ้นเหรอคะท่านไลฟ์”
ไลฟ์หันไปมองหญิงสาวพร้อมยิ้มเจื่อนๆ
“คือ แบบว่าไม่รู้จริงๆ ว่าฉันถนัดอาวุธอะไรน่ะ”
คำตอบของเด็กหนุ่มสร้างความประหลาดใจให้กับราชากิลเลียนอย่างมาก
“ก่อนหน้านี้เธอพกมีดสองเล่มไม่ใช่เหรอ”
“ก็พอดีว่าฉวยติดมือได้เมื่อสามเดือนก่อนน่ะ แล้วก็ใช้มาเรื่อยๆ ไม่เคยฝึกมาหรอก”
เมื่อชายหนุ่มเลือกอาวุธไม่ได้เฮสต์จึงตัดสินใจบอกให้เขาเลือกใช้อาวุธที่เขาคุ้นเคยที่สุด
“ถ้างั้นก็เลือกอาวุธที่คุ้นเคยที่สุดก็แล้วกันค่ะ”
ไลฟ์หยิบมีดสั้นสองเล่มขึ้นมาควงคุ้นเคยกับน้ำหนักของมีดไม้ทั้งสองเล่ม เมื่อเริ่มคุ้นเคยแล้วก็เดินมาที่กลางลาน ส่วนเฮสต์ที่ยืนถือแท่งไม้ขนาดเหมาะมือ ไม่สั้นและไม่ยาวจนเกินไปรออยู่ก็ตั้งท่าพร้อมจู่โจม
ไลฟ์ยังคงยืนนิ่งอยู่ไม่แม่แต่จะเตรียมตัวจู่โจมหรือมีท่าทีพร้อมจะตั้งรับทำให้เฮสต์ต้องเอ่ยปากถามอีกครั้ง
“ไม่คิดจะสู้กับผู้หญิงเหรอคะ”
ไลฟ์ยิ้มและส่ายหน้าเบาๆ
“ไม่หรอก แค่กำลังคิดอยู่ว่าจะทำยังไงดี เพราะว่าไม่น่าจะสู้ไหว”
“น่าแปลกนะคะที่สามารถรับมือกับแม่ทัพฮาร์ดิลได้แต่กลับบอกว่าสู้ดิฉันไม่ได้”
“ก็นะ ตอนนั้นมันตื่นเต้นน่ะ แบบว่าหน้ามืดก็เลยกระโดดเข้าใส่โดยไม่คิดหน้าคิดหลัง พอมาถึงตอนนี้แล้วมันรู้สึกแปลกๆ ”
“ถ้าอย่างนั้นดิฉันขออนุญาตนะคะ”
ไม่รอช้าเฮสต์พุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มทันที แท่งไม้ในมือเหวี่ยงเข้าใส่ขาซ้ายของไลฟ์อย่างรวดเร็ว แม้จะยังไม่ทันตั้งตัวแต่ร่างกายของเด็กหนุ่มตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาก้าวเท้าซ้ายถอยหลังหนึ่งก้าวก่อนจะเหวี่ยงไม้ในมือขวาตอบโต้กลับไปบ้าง
ดูเหมือนเฮสต์จะมีความสามารถในการต่อสู้สูงมาก ทั้งความเร็วความคล่องตัวของนางดูจะสูสีกับไลฟ์ก่อนที่จะได้รับพรวิเศษจากผลไม้สีเหลืองทองของเทพเฟอัสก์เลยทีเดียว การต่อสู้ดำเนินไปได้ครู่ใหญ่ และไลฟ์ก็เข้าใจดีแล้วว่าความคล่องตัวของเขาสูสีกับหญิงสาวอย่างไม่ต้องสงสัยเพียงแต่เขาเองยังสามารถเร่งความเร็วของตัวเองขึ้นได้อีก จังหวะการจู่โจมของเขาเร็วขึ้นและเร็วขึ้นเรื่อยๆ มีดไม้ในมือทั้งสองของเหวี่ยงสลับกันไปมาบ้างก็เหวี่ยงมีดข้างใดข้างหนึ่งใส่หญิงสาวซ้ำกันสองถึงสามครั้ง ทว่าทุกครั้งโจมตีไปหญิงสาวก็เบี่ยงเส้นทางการโจมตีของเขาไปได้ทุกครั้ง
พลั่ก!! ชายหนุ่มหน้าหงายเซถอยหลังอย่างไม่เป็นท่า ในชั่วพริบตาที่เขาเหวี่ยงมีดทั้งสองออกไปพร้อมกันเฮสต์โยนแท่งไม้ในมือขึ้นฟ้าแล้วคว้าจับข้อมือทั้งสองของชายหนุ่มเอาไว้ เขาจึงตัดสินใจเหวี่ยงขาขวาหมายจะเตะเสียไปที่ปลายคางของเฮสต์ ทว่าพลาดเป้าแถมยังโดนอีกฝ่ายแทงเข่าสวนเข้าที่ข้อพับจนหัวเขาของเขากระแทกปลายคางตัวเองอย่างจัง
จังหวะที่เด็กหนุ่มยังผวาถอยหลังอยู่ เฮสต์ที่กระโดดคว้าแท่งไม้ได้ก็โถมตัวเข้าใส่อย่างรวดเร็ว สายตาของเขามองเห็นการโจมตีของอีกฝ่ายชัดเจนแต่การที่เข่ากระแทกหน้าตัวเองอย่างแรงทำให้สมองของเขาสั่งการช้ากว่าปรกติ แม้ร่างกายจะตอบสนองไปตามสัญชาตญาณแต่ก็ทำได้เพียงเอี้ยวตัวหลบและกลิ้งไปกับพื้นเท่านั้น
ในเมื่อการจู่โจมใส่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ผลก็ต้องตั้งรับ เด็กหนุ่มรอจังหวะและใช้มีดไม้ในมือปัดป้อง และเบี่ยงทิศทางการโจมตีของอีกฝ่ายไปเรื่อยๆ ซึ่งจากสายตาของราชากิลเลียนนั้นการตั้งรับของไลฟ์ ณ เวลานี้ราวกับเป็นการตั้งรับการโจมตีที่เฮสต์แสดงให้เห็นเมื่อชั่วครู่ใหญ่ที่ผ่านมา เพียงแต่ยังค่อนข้างจะทุลักทุเลและเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง การตั้งรับเหมือนจะได้ผล เฮสต์เปิดช่องที่ชายโครงขวาให้เด็กหนุ่มได้ตอบโต้ ไลฟ์จ้วงมีดไม้ในมือซ้ายอย่างรวดเร็ว
การโจมตีครั้งนี้ถือว่าแม่นยำอย่างมากแม้การเปิดช่องครั้งนี้จะเป็นการลวงให้โจมตีเข้าที่ตำแหน่งนี้ก็ตาม แกร๊ก!! มีดไม้ที่เด็กหนุ่มจ้วงเข้าใส่ชายโครงขวาของเฮสต์ซัดเข้าที่ท่อนไม้เต็มแรงจนท่อนไม้หลุดจากมือของหญิงสาว ด้วยกำลังอันมหาศาลของเขาก็ทำให้มีดไม้ปลายทู่ และไร้คมกระแทกกับชายโครงของอีกฝ่ายได้สำเร็จ แต่ด้วยประสบการณ์ของเฮสต์ นางดีดตัวตามแรงเหวี่ยงได้ทันจึงลดอาการบาดเจ็บที่ควรจะได้รับลงไปมากทีเดียว
เสียงปรบมือดังขึ้นจากหน้ากระโจม ราชากิลเลียนและองค์ชายโลริกซ์ต่างแสดงความชื่นชมต่อการต่อสู้ของทั้งสอง องค์ชายส่งสัญญาณให้หัวหน้าฝ่ายพลาธิการหยุดมือเพียงเท่านี้และเสนอความเห็นว่าเด็กหนุ่มคนนี้ผ่านการทดสอบของนางหรือไม่ ฝ่ายเฮสต์ก็โค้งคำนับก่อนจะรายงานผลการประเมินให้ทุกคนได้รับทราบ
“สมรรถนะทางร่างกายถือว่ายอดเยี่ยมค่ะ ไหวพริบในการต่อสู้อยู่ในระดับแนวหน้า เพียงแต่ยังมีการใช้กำลังมากเกินความจำเป็นและพึ่งพาสัญชาตญาณมากเกินไปค่ะ โดยรวมแล้วถือว่าผ่าน แต่ยังเข้าร่วมคณะคุ้มกันไม่ได้ค่ะ”
องค์ชายโลริกซ์หันไปมองราชากิลเลียนก่อนจะนิ่งไปชั่วครู่
“แล้วพอจะฝึกฝนเข้าได้รึเปล่า”
“ไหวพริบยอดเยี่ยม หากตั้งใจฝึกฝนก็คงใช้เวลาไม่เกิน 2 เดือนค่ะ”
ราชากิลเลียนลุกขึ้นจากบัลลังก์วางมือบนบ่าของลูกชายเป็นสัญญาณมอบหมายหน้าที่การตัดสินใจให้กับองค์ชายเต็มที่ก่อน
“ถ้างั้นฉันขอมอบหมายให้เธอฝึกฝนเขาด้วยนะเฮสต์ ส่วนนายไลฟ์ เดี๋ยวมากับฉันหน่อยท่านแม่ต้องการพบ”