Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 22 เดินทาง
ความเงียบเหงากลับมาเยือนคนพเนจรที่เพิ่งจะมีบ้านเป็นของตัวเองอีกครั้ง ชีวิตโดดเดี่ยวในบ้านใหญ่ท้ายเมืองของไลฟ์วนเวียนอยู่เพียงแค่การฝึก และกลับบ้านเพื่อพักผ่อนเท่านั้น ส่วนอาหารการกินก็อาศัยการต้มรวมแบบที่เคยทำมาตลอดตั้งแต่ครั้งยังคงไร้ที่อยู่อาศัยเป็นหลักแหล่ง แม้เมอร์เซเดสจะลงมือจดสูตร สร้างตำราอาหารขึ้นอย่างละเอียดเอาไว้ให้ด้วยความห่วงใย แต่สำหรับคนที่ไม่เคยได้รับการศึกษาอย่างเขา ตำราอาหารที่อัดแน่นไปด้วยความห่วงใยของหญิงสาวผู้เป็นที่รักเล่มนี้ ก็เป็นเพียงแค่เศษกระดาษที่ถูกจัดรวมเป็นรูปเล่มให้สวยงามเท่านั้น
เฮสต์ที่แวะเวียนมาดูแลความเป็นอยู่ของเขาบ้างในบางครั้ง เข้ามาเจอกับกลิ่นหอมที่โชยมาจากห้องครัวในบ่ายวันหนึ่ง ภาพของชายหนุ่มกำลังหย่อนวัตถุดิบทุกอย่างที่มีลงไปต้มรวมกันในหม้อเหล็กหล่อใบใหญ่ โดยที่มีหนังสือเล่มหนาที่วางอยู่ใกล้ตัวแต่เขากลับไม่ใส่ใจจะหยิบมาดูเท่าไรนัก
“ทำอะไรอยู่เหรอคะ”
“ต้มซุปน่ะ”
“สูตรไหนล่ะคะนั่นน่ะ”
“ไม่มีหรอก”
“อ้าว ไม่ได้เปิดตำราอาหารหรอกเหรอคะ ท่านเมอร์เซเดสบอกเอาไว้ว่าเขียนรายละเอียดวัตถุดิบกับวิธีปรุงเอาไว้ให้หมดแล้วนี่คะ”
ไลฟ์เอียงคอเล็กน้อยทำท่าทางครุ่นคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะหันมายิ้มให้กับหัวหน้าฝ่ายพลาธิการ และสารภาพออกมาด้วยสีหน้าไม่แยแสเท่าไรนัก
“อ่านไม่ออกหรอก เร่ร่อนมาตั้งแต่เด็ก ไม่เคยได้เรียนหนังสือเลยน่ะ”
เฮสต์ที่ได้ฟังคำตอบพร้อมสีหน้าไม่ทุกข์ร้อนอะไร ก็ตัดสินใจที่จะจัดการสอนให้เขาอ่าน เขียน เพื่อที่อย่างน้อยจะได้ไม่ต้องต้มซุปมั่วซั่วอยู่แบบนี้
“เอางี้มั้ยล่ะ ระหว่างที่รอซุปได้ที่ ดิฉันจะหาครูสอนหนังสือให้ก็แล้วกันนะคะ”
“ไม่ต้องก็ได้ ดูแล้วน่าจะใช้เวลานาน”
“ท่านไลฟ์คงไม่อยากจะต้มซุปทานทุกวันจนกว่าท่านเมอร์เซเดสจะกลับมาหรอกมั้งคะ”
“ก็…คงจะใช่ล่ะนะ”
“งั้นเอาเป็นว่าช่วงหนึ่งสัปดาห์นี้ จะมีครูมาสอนหนังสือให้นะคะ อ้อ แล้วก็อีกอย่างนะคะ กรุณาเตรียมตัวให้พร้อมด้วยค่ะ กำหนดเดินทางถูกเร่งให้เร็วขึ้นนะคะ อีกสิบวันคณะแพทย์จะเดินทางสู่แอวินแล้วล่ะค่ะ”
“ฮะ?”
“เกิดเรื่องบางอย่างที่ต้องเร่งการเดินทางให้เร็วขึ้นน่ะค่ะ ดูเหมือนมอนสเตอร์ที่ไม่ได้พบเห็นมานานมากๆแล้วจะข้ามเขตมาค่ะ”
ไลฟ์ที่ว่างเสียจนอยากจะออกไปหาอะไรทำแก้เบื่อก็ได้แต่พยักหน้ารับคำ
“เอาเป็นว่าตั้งแต่วันพรุ่งนี้คุณครูจะมาสอนหนังสือนะคะ ส่วนวันนี้ฉันคงต้องขอชิมซุปของท่านไลฟ์สักหน่อยก็แล้วกันค่ะ”
ในเมื่อไม่มีทางเลือกเด็กหนุ่มก็มีแต่ต้องตกปากรับคำเรียนหนังสือแก้เบื่อ แทนที่จะออกไปเตร็ดเตร่อย่างไรจุดหมายหลังจากการฝึกซ้อมเหมือนทุกวัน
ตลอดสองสัปดาห์ของการเดินทางราบรื่นคลื่นลมค่อนข้างสงบ เมอร์เซเดสที่ในหัวมีแต่ความกังวลถึงความเป็นอยู่ของคนรักเสียจนแทบจะไม่มีสมาธิวางแผนจัดการกับตำราเวทย์ที่รออยู่ในหอตำราของสถาบันเวทมนตร์คาลามัคจนทำให้ลอร่ากังวลอย่างมาก
“ท่านหญิงคะ ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ต่อให้ใช้เวลาห้าปีก็คงจะไม่ได้กลับไปที่เฮฟเวนเนียหรอกนะคะ”
“ก็ฉัน”
ยังไม่ทันที่หญิงสาวจะพูดอะไรไปมากกว่านี้ ลอร่าก็แทรกขึ้นราวกับอ่านใจของนางได้อย่างหมดจด “ก็เพราะว่าเป็นห่วง ผู้ชายที่ไม่ได้ใส่ใจตัวเองแบบนั้นคงจะใช้ชีวิตไปวันๆ บ้านช่องไม่ดูแลแน่ๆ ใช่มั้ยล่ะคะ”
แววตาที่มองออกไปนอกเรืออย่างเลื่อนลอยของเมอร์เซเดสเปลี่ยนทิศมาจ้องที่คนสนิทก่อนจะคว้าเอวของลอร่ามากอดเอาไว้แน่น
“ท่านหญิงคะ ถึงตอนนี้กังวลไปก็ไม่ได้ช่วยอะไรหรอกนะคะ สู้ตั้งใจกับงานตรงหน้าไม่ดีกว่าเหรอคะ”
“งั้นคงต้องเร่งความเร็วแล้วล่ะ”
“ไม่ดีมั้งคะ”
“เอางี้นะ เดี๋ยวช่วยบอกให้ลอเรนร่ายเวทย์เพิ่มความทนทานใส่ตัวเรือ ส่วนลอร่าก็ช่วยจัดการกับใบเรือด้วยก็แล้วกัน ส่วนเรื่องคลื่นลมฉันจะจัดการเองนะ”
เมื่อตัดสินใจได้แล้วสีหน้าของเมอร์เซเดสก็สดใสขึ้นผิดหูผิดตา แต่อาการรีบร้อนนี้กลับสร้างความกังวลเล็กๆ ให้กับลอร่าอยู่พอสมควร เมอร์เซเดสรีบวิ่งออกจากห้องพักแล้วหยุดยืนที่กลางลำเรือ เริ่มร่ายมนตร์สร้างกระแสลมและควบคุมเกลียวคลื่น ขณะที่ฝาแฝดก็ช่วยกันเพิ่มความแข็งแรงให้กับตัวเรือและใบเรือ เพื่อป้องกันความเสียหายจากกระแสลมแรงและเกลียวคลื่นผิดธรรมชาติ และด้วยเวทมนตร์ของทั้งสามสาวก็ช่วยลดเวลาในการเดินทางลงได้อย่างมาก
ไลฟ์ที่พอจะอ่านหนังสือออกบ้างแล้วและกำลังเริ่มหัดเขียนก็จำต้องออกเดินทางสู่เมืองแอวินตามกำหนดการใหม่ โดยมีเซอร์มาร์คัสรับหน้าที่ราชองครักษ์ประจำรถม้าขององค์หญิงเฮนเรียตที่อยู่กลางกองคาราวาน และมีผู้พันฟราวซ์คอยควบคุมกองคาราวาน ส่วนตัวของไลฟ์ก็ทำได้เพียงนั่งทบทวนบทเรียนอยู่บนรถม้าท้ายขบวน
การเดินทางราบรื่นตลอดแปดวัน ไม่ได้สร้างความกังวลให้กับกองคาราวานและผู้ดูแลอย่างผู้พันฟราวซ์เลยแม้แต่น้อย แถมบรรดาทหารที่เดินทางมาด้วยก็ว่างมากเสียจนเริ่มจับกลุ่มนินทาถึงพฤติกรรมไม่แยแสสิ่งใดของชายที่คนในกองคาราวานเรียกเขาว่าลูกศิษย์ของเงามรณะกับหนังสือเล่มใหญ่บนรถม้าท้ายขบวน อีกทั้งวีรกรรมในสนามรบที่เพิ่งผ่านไปเพียงหนึ่งเดือนกว่าๆ กับสิทธิพิเศษอย่างการฝึกที่กองอัศวินที่สอง ทำให้แทบทุกคนอยากที่จะเห็นการดวลกันระหว่างวีรบุรุษสงครามอย่างเซอร์มาร์คัสกับเขาคนนี้อย่างมาก ทว่าสภาพแวดล้อมสงบจนผิดสังเกตทำให้ไลฟ์ตัดสินใจออกจากรถม้าของตน และกระโดดขึ้นเหยียบหลังคารถม้าก่อนจะใช้หลังคารถม้าคันอื่นๆเป็นทางเดินพิเศษพาตัวเองไปอยู่ที่หน้ากองคาราวาน
“น้าๆ”
เสียงเรียกของไลฟ์ดังชัดเจน แม้ตัวของฟราวซ์จะรู้ว่าเด็กหนุ่มกำลังเรียกตนแต่เขาก็ไม่ขานรับเพราะนอกจากลูกน้องใต้บังคับบัญชาจะอยู่กันหลายคนแล้ว เขาเองก็ไม่ปลื้มกับคำเรียกที่แก่เกินวัยของเขาไปมากด้วยเช่นกัน ทำให้ไลฟ์ต้องเปลี่ยนไปใช้คำที่เป็นทางการยิ่งขึ้น และตะโกนออกไปสุดเสียง
“หัวหน้าฟราวซ์!!! หยุดสักเดี๋ยวได้มั้ย”
ผู้พันฟราวซ์สั่งหยุดกองคาราวาน ลงจากหลังม้ามาคุยกับเด็กหนุ่มทันที
“มีอะไร”
“มันเงียบเกินไป”
“อะไรนะ”
“ก็รอบๆนี้น่ะ มันเงียบเกินไปไงเล่า”
“แล้วมันยังไง”
ไลฟ์ชี้ที่พื้นให้หัวหน้ากองคาราวานได้เห็นพร้อมแจงรายละเอียดต่างๆ
“ดูนี่สิ รอยเท้าสัตว์พวกนี้ยังใหม่อยู่เลย ไม่น่าจะเกินสองชั่วโมงด้วยซ้ำ ต่อให้คาราวานเสียงดังเอะอะสักแค่ไหน พวกสัตว์ก็ไม่น่าจะหนีเตลิดไปจนรอบๆนี้มันสงบได้ขนาดนี้มั้ง ฉันน่ะเดินทางเร่ร่อนมาเป็นสิบปี ไอ้ความสงบเงียบแบบนี้มันไม่ปกติแน่ๆล่ะ”
“ซุ่มโจมตีเหรอ”
ไลฟ์ยิ้มพร้อมส่งสัญญาณให้หัวหน้าคาราวานอย่าแตกตื่น “เอางี้นะหัวหน้า สั่งลูกน้องว่าอย่าแตกตื่นแล้วเตรียมรับมือ บอกให้พวกเขากระซิบส่งคำสั่งไปจนถึงท้ายขบวน แล้วให้คนที่รับคำสั่งคนสุดท้ายตะโกนดังๆ ส่งสัญญาณเตรียมล่าสัตว์ ระหว่างนี้ก็เคลื่อนขบวนไปเงียบๆรอรับการจู่โจม”
เมื่อนัดแนะกันเรียบร้อยแล้ว ผู้พันฟราวซ์ก็สั่งการกองคาราวานให้เตรียมตัวรับมือ พร้อมแจ้งข่าวให้กับเซอร์มาร์คัสได้รับรู้และทำทุกอย่างไม่ให้เจ้าหญิงเฮนเรียตออกจากรถม้า
“เตรียมตัวล่าสัตว์!!!” สัญญาณจากท้ายขบวนดังขึ้น “หาเสบียงเพิ่ม!!” เหล่าทหารขานรับคำสั่งลวงจนทั่วกองคาราวาน และเริ่มออกเดินทางอย่างช้าๆ เพื่อให้เกิดความแตกตื่นน้อยที่สุดราวกับไม่ต้องการให้สัตว์ป่าบริเวณนั้นเตลิดหนีไป
เวลาผ่านไปไม่นานการจู่โจมก็เริ่มต้นขึ้นตามที่ไลฟ์คาดการณ์เอาไว้ กองกำลังไม่ทราบฝ่ายบุกโจมตีจากสองข้างทาง แม้กองคาราวานจะเตรียมรับมือเอาไว้แล้วแต่ก็เกิดการสูญเสียอยู่พอควร แต่ที่น่าทึ่งกว่าคือเด็กหนุ่มกระโจนออกจากรถม้าท้ายกองคาราวานฉวยเอาดาบสองเล่มไล่สังหารกลุ่มคนที่มุ่งหน้าออกจากป่าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหายเข้าไปในป่า
การรับมือกับชายฉกรรจ์สี่คนพร้อมกันในป่ารกไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับไลฟ์ ณ เวลานี้ ทั้งที่เมื่อไม่นานมานี้การต่อสู้ในที่โล่งกับจำนวนคนที่เยอะกว่าถือเป็นเรื่องสาหัสสำหรับเขา สัมผัสที่เฉียบคมทำให้เขาปัดป้องการโจมตีได้อย่างง่ายดาย ก่อนจะสวนกลับด้วยการตวัดดาบในมือทั้งสองเพียงไม่กี่ครั้ง ร่างไร้วิญญาณของชายทั้งสี่ก็ล้มลงกับพื้นในชั่วพริบตา ตามด้วยขว้างดาบทั้งสองออกไปสังหารมือธนูที่ซุ่มรอจังหวะอยู่หลังพุ่มไม้ใกล้ตัว เพียงอึดใจไลฟ์เบี่ยงตัวหลบมีดสั้นที่พุ่งเขาหา และล้วงเข้าไปในพุ่มไม้ฉวยเอาข้อมือของคู่ต่อสู้เอาไว้ แล้วออกแรงกระชากเหยื่อจนพุ่งทะลุพุ่มไม้ออกมา ตามด้วยใช้มือซ้ายกระแทกเบาๆ ที่ข้อศอกข้างที่เขาคว้าเอาไว้ได้ ผลการฝึกแสดงออกมาอย่างชัดเจนอีกครั้ง เมื่อแขนของคู่ต่อสู้หักคามือของเด็กหนุ่มทันที
ไลฟ์กลับออกจากป่าพร้อมร่างไร้สติของมือธนูโชคร้ายนายหนึ่ง เขาโยนร่างนั้นกองเอาไว้ที่กองคาราวาน สั่งให้ทหารคุมตัวเอาไว้ แล้วหันไปจัดการกับคนที่เหลือ ความวุ่นวายและเหตุร้ายคลี่คลายลง บรรดาทหารในกองคาราวานต่างรับรู้ถึงความน่ากลัวที่ถูกเคลือบด้วยรู้สึกเรียบง่ายไร้พิษภัยที่เป็นเหมือนเสื้อผ้าตัวลูกศิษย์ของเงามรณะเอาไว้ ทว่าวีรกรรมครั้งนี้ยิ่งทำให้เหล่าทหารอยากเห็นการวัดฝีมือกันระหว่างเซอร์มาร์คัสกับไลฟ์ยิ่งกว่าเดิมหลายเท่านัก
ความเคลื่อนไหวนอกชายป่าระหว่างความวุ่นวายของไลฟ์อยู่สายตาขององค์หญิงเฮนเรียตทุกย่างก้าว ความดุดันแต่กลับพลิ้วไหวในการต่อสู้นั้นหากเป็นคนทั่วไปที่ได้เห็น มันคือความน่าสะพรึงที่ไม่สามารถบรรยายได้ แต่สำหรับเด็กสาวผู้สูงศักดิ์วัยเพียงสิบสี่ปี การต่อสู้ของชายหนุ่มที่ได้เห็นเมื่อครู่นี้กลับงดงามอย่างน่าประหลาด ความประทับใจที่มีทำให้นางอยากรู้จักกับชายหนุ่มผู้นี้อย่างมาก
หญิงสาวเดินเข้าไปหาไลฟ์อย่างเป็นมิตร “ท่านไลฟ์คะ องค์หญิงต้องการพบท่านค่ะ”
ไลฟ์ยืนจ้องหน้าหญิงสาวด้วยสีหน้าที่ว่างเปล่า “ขอโทษนะตอนนี้ไม่สะดวก เลือดเต็มตัวแบบนี้คงไม่เหมาะเท่าไร” ก่อนจะเดินกลับไปขึ้นรถม้าที่ท้ายขบวน ปล่อยให้หญิงสาวยืนนิ่งอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะกลับไปรายงานองค์หญิงที่รถม้า
“องค์หญิงคะ เขาบอกว่าเลือดเต็มตัวไปหมด ไม่สะดวกจะเข้าพบท่านค่ะ”
“อะไรนะ”
“เขาบอกว่าเลือดเต็มตัวเขาไปหมด ตอนนี้ไม่สะดวกจะเข้าพบท่านค่ะ”
มาร์คัสโพร่งออกมาขัดจังหวะ “ไอ้บ้านั่น…บังอาจมาก” ก่อนจะลงจากรถม้ามุ่งหน้าไปยังท้ายขบวนอย่างรวดเร็ว
องค์หญิงเฮนเรียตถอนใจเบาๆ “ก็เคยได้ยินอยู่หรอกว่าเขาไม่ชอบสุงสิงกับใคร แต่ฉันไม่คิดว่าเรียกตัวแล้วเขาจะกล้าปฏิเสธแบบนี้”
“องค์หญิง”
“ช่างเถอะผู้ชายหน้าตาธรรมดาแบบนั้น ฉันเองก็เริ่มรู้สึกว่าไม่อยากจะรู้จักสักเท่าไรแล้วล่ะ”
“อันที่จริงเขาก็หล่ออยู่นะคะ เพียงแต่”
“เพียงแต่อะไรเหรอ”
“ไม่มีอะไรค่ะ”
“ลีเลีย…บอกฉันมาเถอะน่า”
“คือเขาก็หน้าตา…ถือว่าดีค่ะ เพียงแต่…ถ้าเทียบกับท่านมาร์คัสแล้ว เขาคงเป็นแค่ผู้ชายหน้าตาธรรมดาที่ดูดีกว่าคนทั่วไปน่ะค่ะ”
“หืม…เอางี้มั้ยล่ะ ฉันอาจจะ…ช่วยเธอได้น้า”
“องค์หญิง…มันเป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ”
“ทำไมกันเล่า ชอบเขานี่ หรือว่าเขาน่ากลัว”
“คือ…อันที่จริงผู้ชายคนนั้นเขา…”
“เขาทำไมอีกเล่า”
“เขาเป็นคนรักของท่านหญิงเมอร์เซเดสน่ะค่ะ”
“จอมเวทตัวเล็กๆ คนนั้นน่ะเหรอ”
“ค่ะ”
“หืม…แต่ตอนนี้ เจ้านั่นอยู่ที่นี่ ส่วนจอมเวทคนนั้นก็กลับไปคาลามัคตั้งสามปีเลยนะ”
“ไม่เอาสิคะองค์หญิง”
เสียงหัวเราะคิกคักดังขึ้นในตู้โดยสารของรถม้ากลางกองคาราวาน กลับกันที่ท้ายขบวนมาร์คัสที่อยู่ก็ออกมาอาละวาดเรียกความสนใจของคนในกองคาราวานได้อย่างมาก ไลฟ์ถูกลากลงมาจากรถมาด้วยอาการงุนงง
“อะไรของแกวะเนี่ย ท่านเซอร์”
“บังอาจปฏิเสธการเรียกตัวแบบนี้ กล้ามากนะแก”
“เลือดเต็มตัวขนาดนี้จะให้ไปเจอองค์หญิงงั้นเรอะ”
“แล้วไหนล่ะเลือดที่แกพูดถึง”
มาร์คัสรู้ดีว่าการต่อสู้ที่เพิ่งผ่านไปแม้จะดำเนินไปอย่างดุดัน แต่เลือดของคู่ต่อสู้ก็ไม่ได้กระเด็นมาโดนตัวของเด็กหนุ่มมากมายจนใช้เป็นข้ออ้างในการปฏิเสธการเรียกตัวได้ อย่างไรเสีย ความไม่ชอบเรื่องมากพิธีของไลฟ์ก็ทำให้อัศวินหนุ่มรู้ได้ทันทีเขาหาเรื่องปฏิเสธ บวกกับความหมั่นไส้ส่วนตัวจึงเริ่มลงมือ ส่วนไลฟ์เองก็พอจะรู้ว่ามาร์คัสเป็นที่นับหน้าถือตาของบรรดาทหาร แถมยังไม่ต้องการจะทำให้มีเรื่องวุ่นวายตามมาจนกลายเป็นการใช้ชีวิตลำบาก แต่ถึงอย่างนั้นเขาเองก็ไม่อยากจะยอมแพ้ให้กับคนแบบนี้ จึงแกล้งทำเป็นว่าการต่อสู้นี้ฝีมือของเขาสูสีกับอัศวินรูปงามตรงหน้าซึ่งหาข้อสรุปไม่ได้ว่าฝีมือใครเหนือกว่ากัน
มาร์คัสเหวี่ยงหมัดขวาใส่แต่ไลฟ์ก็เอียงคอหลบก่อนจะปล่อยหมัดสวนกลับไปแบบจงใจให้พลาดเป้า ทุกการโจมตีของมาร์คัสก็จะถูกไลฟ์ปัดป้องหรือหลบได้อย่างฉิวเฉียด และทุกการสวนกลับก็จงใจออกอาวุธให้ถูกปัดป้องหรือว่าหลบได้โดยที่ตัวของมาร์คัสเองก็ไม่ทันได้สังเกตว่าไลฟ์ตั้งใจให้เป็นแบบนี้ เสียงเอะอะเรียกให้ผู้พันควบม้ามุ่งหน้ามาที่เกิดเหตุอย่างรวดเร็ว การต่อสู้ที่ราวกับสูสีนี้ในสายตาของนักรบมากประสบการณ์อย่างฟราวซ์รับรู้ได้ทันทีว่าเด็กหนุ่มคนนี้จงใจให้คนอื่นเห็นว่าฝีมือของตนทัดเทียมกับราชองครักษ์หนุ่มจนหัวหน้ากองคาราวานต้องลงมือห้ามการวิวาทครั้งนี้ ด้วยการเข้าไปแทรกกลางระหว่างสองหนุ่มและใช้มือข้างขวาคว้าหมัดของเซอร์มาร์คัสเอาไว้ ส่วนมือซ้ายก็ยกโล่ขึ้นมาป้องกันลูกเตะของไลฟ์ที่พุ่งเข้ามาใส่จนเสียงดังสนั่น
“เอาล่ะ หยุดเลย”
ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้าย ฟราวซ์หันไปบอกกับไลฟ์ให้กลับขึ้นไปนอนพักผ่อนบนรถม้า และบอกมาร์คัสให้กลับไปประจำตำแหน่งของตนเสีย
“ไลฟ์กลับขึ้นรถไปซะ ส่วนท่านเซอร์รบกวนกลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกทีว่าเกิดอะไรขึ้นยังไง เอาล่ะหนุ่มๆ โชว์จบแล้ว แยกย้ายไปพักผ่อนกันได้แล้ว อีกเดี๋ยวจะออกเดินทางต่อกันแล้ว”
หัวหน้ากองคาราวานฉวยบังเหียนม้าตั้งใจจะขึ้นควบกลับตำแหน่งของตน แต่ต้องหยุดชะงักเมื่อหันไปเจอกับเซอร์มาร์คัสยืนรออยู่ไม่ไกลตัวนัก เลยใช้โอกาสนี้สอบถามถึงต้นสายปลายเหตุของการวิวาทเมื่อครู่
“มาร์คัส ไม่หาเรื่องคนอื่นสักวันมันนอนไม่หลับรึไงวะ”
“ไอ้บ้าเอ๊ย นายเห็นฉันเป็นคนยังไงวะเนี่ย”
“ถ้างั้นมันเกิดอะไรขึ้นล่ะ”
“ไอ้เด็กบ้านั่นมันปฏิเสธองค์หญิง”
ผู้พันฟราวซ์ชะงักเท้าหยุดยืนนิ่ง “ยังไงนะ”
“องค์หญิงเรียกตัว แต่มันกลับบอกว่าเลือดเต็มตัว ไม่เหมาะจะเข้าเฝ้า”
ฟราวซ์ส่ายหน้าช้าๆ “แล้วมันใช่เรื่องที่นายต้องมาอาละวาดรึไงวะ นายเองก็เห็นอยู่ว่าไอ้เด็กนั่นมันเพิ่งจะไปต่อสู้มา แล้วก็อีกอย่าง…เด็กสาวช่างสงสัยแบบองค์หญิงน่ะ ก็แค่อยากเจอกับคนเก่งๆ สักครั้งแค่นั้นล่ะน่า ไม่ได้จะอยากรู้จักจริงจังเลยสักนิด”
เมื่อไม่มีการตอบรับจากเพื่อนสมัยเด็ก ฟราวซ์จึงตบหลังของอัศวินหนุ่มเบาๆ “กลับไปสงบสติซะหน่อยก็ดีมั้ง”
ขณะที่ฟราวซ์เตรียมตัวจะขึ้นม้าก็ต้องหยุดชะงักอีกครั้ง เมื่อมาร์คัสพูดถึงการต่อสู้เมื่อครู่
“ไอ้เด็กนั่น…มันเก่งขึ้นรึเปล่านะ”
“หืม”
“ที่สู้กันเมื่อครู่นี้น่ะ ฉันรู้สึกราวกับว่าจะแพ้ก็ไม่ใช่ จะเอาชนะมันได้ก็ไม่เชิง แต่ที่แน่ๆ มันเปลี่ยนไปจากไอ้เด็กอวดดีในสนามรบนั่นอย่างกับคนละคนเลย”
“ก็แน่ล่ะ”
“หมายความว่าไง”
“เฮ้ยๆ นี่แกไปอยู่ไหนมาถึงไม่รู้เรื่องกับเขาน่ะ ว่าไอ้เด็กนั่น มันเป็นลูกศิษย์ของเงามรณะ”
“เงา…..มอ…บาซีมานุค เฮสต์คนนั้นน่ะเหรอ”
“จะเป็นใครไปได้เล่า”
“แล้วทำไมมันถึงได้ไปฝึกกับมือสังหารระดับท็อปเทียร์ปล่ะ”
“เท่าที่ได้ยินมาก็นะ คุณเฮสต์เป็นคนเสนอตัวฝึกฝนด้วยตัวเอง คงเพราะไปสืบข่าวเรื่องปิศาจอาละวาดแถวหมู่บ้านใกล้วิหารศักดิ์สิทธิ์นั่นล่ะ เด็กมันมีแววล่ะมั้ง”
“เฮ้ยๆ แล้วทำไมท่านโลริกซ์ถึงได้ทรงอนุมัติให้มีการสร้างปิศาจขึ้นมาแบบนี้ล่ะ”
“มาร์คัส นายเคยได้ยินเรื่องของเงามรณะใช่มั้ย”
“เออ ก็เคยได้ยินอยู่ ไม่มีเป้าหมายใดสามารถรอดพ้นไปจากภัยของเงามรณะ”
“นั่นแหละ การต่อสู้ของไอ้เด็กนั่นน่ะ ปิศาจตัวจริงเลยล่ะ”
“ก็ยังดีที่ไม่ได้เก่งกาจเกินกว่าที่ฉันรับมือได้”
ฟราวซ์หลับตาลงช้าๆ เงยหน้าขึ้นฟ้า “เมื่อครู่นั่นน่ะ” ความรู้สึกบางอย่างสั่งให้เขาไม่บอกความจริงกับเพื่อนสนิท “เท่าที่เห็นไอ้เด็กนั่นน่ะรอจังหวะอยู่”
“รอจังหวะเหรอ”
“ก็ถ้าฉันไม่เข้าไปห้ามล่ะก็นะ ไอ้ความไม่รอบคอบใช้อารมณ์นำหน้าของนายนั่นล่ะจะทำให้พลาด”
“ฉันเอาอยู่น่า”
“ยังไงก็กลับไปพักซะก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะลองไปสั่งสอนเด็กนั่นดูสักหน่อย”
หลังจากแยกย้ายกันแล้ว ฟราวซ์ก็กลับไปที่ท้ายขบวน พบกับเด็กหนุ่มที่หนอนเหยียดกางหนังสือปิดหน้าอย่างสบายอารมณ์
“ไงไอ้หนุ่ม”
ไลฟ์ยกหนังสือออกจากใบหน้าลืมตามองผู้มาเยือนด้วยความเหนื่อยล้า
“หัวหน้า?”
“เมื่อกี้มันอะไรกัน”
“ก็โดนหาเรื่องน่ะสิ จะอะไรซะอีกเล่า”
“แล้วทำไมไม่สู้ให้มันเต็มที่ซะล่ะ นายคว่ำหมอนั่นมันได้ง่ายๆ เลยนี่”
เด็กหนุ่มกะพริบตาถี่ “มองออกด้วยเหรอนั่นน่ะ”
“เออสิวะ”
“ไม่เนียนเหรอ”
“ไม่หรอก ดูเหมือนคนอื่นๆ จะยังไม่รู้ตัว”
เด็กหนุ่มถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก “เฮ้อ…ก็ไม่อยากให้เรื่องวุ่นวายตามมาน่ะ แต่จะให้ยอมแพ้มันก็รู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไร”
“ก็เลยทำแบบนั้นน่ะเหรอ”
“ก็ตามนั้นแหละ”
“แล้วเรื่ององค์หญิงล่ะ”
“ไม่สะดวก”
“แต่ยังไงก็ต้องไปถ้าถูกเรียกตัว”
“ยังมีเวลาอีกตั้งหลายวันน่า คงได้บังเอิญเจอกันบ้างนั่นแหละ ถึงตอนนั้นจะคุยด้วยอย่างนอบน้อมก็แล้ว”
รอยยิ้มพร้อมเสียงหัวเราะของฟราวซ์ปรากฏขึ้น พร้อมความรู้สึกชื่นชมที่เด็กหนุ่มคนนี้ยังคงเป็นคนเดิมที่เขาเคยรู้จัก แม้จะพัฒนาฝีมือขึ้นจนเหนือกว่าทุกคนที่เขารู้จัก ไม่แน่ว่าตอนนี้อาจจะก้าวข้ามเฮสต์ผู้เป็นอาจารย์ของเขาไปแล้วก็ได้
“เอาเถอะๆ พักผ่อนซะ แต่อย่าหลับเพลินล่ะ คอยเป็นหูเป็นตาให้พวกเราด้วย ประสบการณ์ของนายช่วยพวกเรามาแล้ว”
เด็กหนุ่มพยักหน้าตอบรับก่อนจะหลับตาลงพร้อมดึงหนังสือขึ้นมาปิดหน้าเอาไว้ตามเดิม ส่วนหัวหน้ากองคาราวานก็ขึ้นม้าควบกลับไปที่หัวขบวน สั่งการให้ออกเดินทางต่อภายในสองชั่วโมง