Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 27
เหตุวุ่นวายที่เกิดจากการจู่โจมของจอมเวทผู้ควบคุมสัตว์มายามาผ่านได้ร่วมหนึ่งสัปดาห์ ทว่าสภาพจิตใจของเหล่าทหารกล้าดูเหมือนจะย่ำแย่ลงกว่าที่เคย แม้ว่านักรบมือดีอย่างผู้พันฟราวซ์ที่โดนเล่นงานหนักที่สุดจะสามารถฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจจนกลับมาแข็งแกร่งดังเดิมแล้วก็ตาม ส่วนภาระในการขับไล่มอนสเตอร์ทั้งหมดตกไปอยู่กับไดแอน อัศวินสาวอดีตหัวหน้ากองรักษาการแห่งเฮฟเวนเนีย ที่เพิ่งเดินทางมาถึงหลังเกิดเหตุได้เพียงหนึ่งวัน โดยไดแอนจะมารับตำแหน่งผู้บัญชาการกองรบพิเศษ หน่วยล่าสังหารของแอวิน แม้แรกเริ่มอัศวินสาวผู้นี้จะไม่ได้รับความเคารพจากบรรดาทหารของที่นี่ ทว่าด้วยฝีมือและประสบการณ์ที่มี ก็ทำให้นางเรียกศรัทธาจากบรรดาผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างรวดเร็ว ส่วนผู้พันหนุ่มจากเมืองหลวงที่ใช้เวลาในการพักรักษาตัวไปกับการออกมาสังเกตการณ์ทุกครั้งที่สัตว์ร้ายข้ามเขตมา ก็ดูจะกลายเป็นคนว่างงานไปแล้ว ณ ตอนนี้
ส่วนไลฟ์ที่วุ่นวายอยู่กับการช่วยเหลือคณะแพทย์รักษาคนเจ็บก็เพิ่งจะได้โอกาสพักผ่อนอย่างเต็มที่ หลังจากตื่นนอน เด็กหนุ่มมุ่งหน้าไปยังห้องครัวของเรือนรับรองพิเศษเพื่อตามหาลีเลียแต่เช้าตรู่ “วันนี้ว่างรึเปล่า”
ลีเลียที่กำลังเตรียมตั้งหน้าตั้งตาอาหารสำหรับองค์หญิงก็สะดุ้งสุดตัว หันมามองที่ต้นเสียงด้วยสีหน้าแตกตื่น “ทะ ท่านไลฟ์”
“โทษที ทำให้ตกใจเหรอ”
“ก็…นิดหน่อยค่ะ”
“แล้ววันนี้ว่างรึเปล่า”
“ช่วงสายๆ ว่างค่ะ”
“เหรอ งั้นเดี๋ยวมาใหม่แล้วกันนะ”
“มีธุระอะไรเปล่าคะ”
“ก็วันโน้นเคยสัญญากับเธอไว้แล้วว่าจะพาไปในตัวเมืองนี่ พอดีเพิ่งจะว่าง”
ลีเลียก้มหน้าบีบมือด้วยความเขินอาย ทว่ายังไม่ทันได้ตอบรับคำชวนก็มีเสียงของใครบางคนตอบตกลงแทนซะแล้ว “ว่างสิ ว่างทั้งวันเลยล่ะ ลีเลียเธอออกไปพักผ่อนเถอะ วันนี้ฉันไม่ได้จะออกไปไหน”
“องค์หญิง!!!”
เฮนเรียตที่ออกมาเดินเล่นยามเช้า เดินเข้ามาในห้องครัวหลังจากแอบฟังมาครู่ใหญ่ “เดี๋ยวจัดอาหารเอาไว้บนโต๊ะเลยก็ได้ ฉันจะทานที่นี่แหละ”
“แต่ว่าองค์หญิง”
“ไม่ต้องแต่หรอก เอ้ารีบจัดการแล้วก็ไปแต่งตัวซะ”
“ค่ะ”
ไลฟ์ที่ยืนอยู่เงียบๆ ขัดขึ้นทันที “ไม่ต้องเปลี่ยนก็ได้ ไปทั้งชุดนี้นี่แหละ”
เฮนเรียตหันมามองชายหนุ่มด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย “นายนี่ไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้หญิงเอาซะเลยนะ”
“ฉันมีเหตุผลของฉันน่า นั่งลงแล้วก็กินไปเงียบๆ เถอะน่า” ไลฟ์คว้าข้อมือของลีเลีย แล้วจูงมือหญิงสาวออกจากครัวไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้เฮนเรียตนั่งหน้าบูดอยู่ที่โต๊ะอาหาร
บรรยากาศในตัวเมืองยามเช้าเริ่มคึกคัก ผู้คนต่างพากันออกมาเริ่มต้นใช้ชีวิตในเช้าวันใหม่ด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย ไลฟ์ที่เดินจูงมือหญิงสาวอยู่เงียบๆ ตลอดตั้งแต่ออกจากครัวมาก็เปิดปากสอบถามหญิงสาวในที่สุด
“ชุดที่ใส่อยู่นี่เป็นชุดทำงานใช่มั้ย”
“ค่ะ”
“งั้นเหรอ เข้าใจแล้วล่ะ” จูงมือกันเดินต่ออีกครู่ใหญ่ ทั้งคู่ก็หยุดที่หน้าร้านเครื่องประดับ
“จะเข้าไป…จริงๆ เหรอคะ”
ไลฟ์หันมายิ้มให้กับหญิงสาว “มาเถอะน่า”
ทั้งสองเข้าไปในร้าน ไลฟ์ปล่อยมือให้หญิงสาวเดินเลือกสินค้าในร้านได้อย่างเต็มที่ ส่วนตัวเขาเองก็หันไปมองหญิงสาวสลับกับเครื่องประดับที่เรียงรายอยู่ในตู้โชว์
เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ไลฟ์เลือกต่างหูขึ้นมาคู่หนึ่งก่อนจะจัดการหยิบเหรียญทองมาจ่ายค่าต่างหู ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาลีเลียที่กำลังเพลิดเพลินอยู่กับสิ่งสวยงามที่รายล้อมอยู่รอบตัว
“อยู่นิ่งๆ สักเดี๋ยวได้มั้ย”
ลีเลียก็หยุดยืนนิ่งอย่างว่าง่าย ไลฟ์บรรจงสวมต่างหูพลอยสีเทาคู่งามให้กับหญิงสาว
“อืมเข้ากับชุดนี้ดีเหมือนกันแฮะ”
“แต่…”
“ก็ใส่นี้ประจำไม่ใช่เหรอ ชุดสีเทาเข้มนี่น่ะ เจอกันกี่ครั้งเธอก็ใส่แต่ชุดแบบนี้ แล้วอีกอย่างต่างหูนี่มันก็ไม่ได้เกะกะอะไรเวลาทำงาน แล้วก็ไม่ได้เด่นซะจนผิดสังเกตด้วย”
“แต่ราคามัน”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันยกให้”
ลีเลียหน้าแดง ตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่ไลฟ์ก็ยังยืนยันว่าเขาซื้อให้ “รับไว้เถอะ ถือว่าเป็นของตอบแทนซุปเนื้อวันนั้นก็แล้วกัน”
หญิงสาวตอบรับด้วยความเขินอาย แม้จะรู้ว่าเป็นเพียงแค่ส่งตอบแทน แต่เขาก็มอบให้ต่างหูคู่นี้ด้วยความจริงใจ “ขอบคุณค่ะ”
ไลฟ์ส่งยิ้มสดใสให้กับหญิงสาว “ชอบชิ้นไหนก็บอกได้นะ เธอช่วยชีวิตฉันเอาไว้ฉันยินดีซื้อให้”
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่นี้ก็เกินพอแล้ว”
“งั้นเหรอ” ชายหนุ่มส่งยิ้มให้ลีเลียอีกครั้ง ก่อนจะหันไปเลือกเครื่องประดับชิ้นอื่นต่อ แต่ระหว่างที่ไลฟ์กำลังลังเลว่าจะซื้อสร้อยคอหรือต่างหูอีกคู่ ประตูของร้านเครื่องประดับก็เปิดออก พร้อมการปรากฏตัวของไดแอนกับลูกน้องอีกจำนวนหนึ่ง
“นายน่ะ ชื่อไลฟ์ใช่มั้ย” ชายหนุ่มหันไปทางต้นเสียงด้วยสายตาว่างเปล่าพร้อมด้วยสีหน้าเรียบเฉย หันรีหันขวางอย่างอึดอัด
“ท่านไลฟ์กลับออกไปเมื่อครู่นี้เองครับ มีธุระอะไรกับเขารึเปล่าครับ”
ชายหนุ่มเหลือบไปจ้องมองลีเลียเป็นสัญญาณให้หญิงสาวสงบปากสงบคำเอาไว้ ก่อนจะส่งยิ้มให้กับอัศวินสาว “ผมเห็นเขาออกจากร้านแล้วเดินไปทางลานกว้างกลางเมืองน่ะครับ”
“งั้นเหรอ ช่างเถอะ” ไดแอนหันไปสั่งการลูกน้องที่ตามมาจากเมืองหลวงทันที
“ออกไปตามหาเขา เดี๋ยวนี้เลย” ก่อนจะหันหลังออกจากร้าน ไลฟ์กับลีเลียก็รออยู่ครู่ใหญ่ก่อนออกจากร้านไปเช่นกัน ทว่าที่หน้าร้าน ไดแอนยังคงยืนอยู่ที่หน้าร้านกำลังพูดคุยอยู่กับฟราวซ์ด้วยท่าทางเขินอาย ไลฟ์พยายามหลบหน้าเพื่อหลีกเลี่ยงความวุ่นวายแต่ฟราวซ์เองก็ตาไวสังเกตเห็นเด็กหนุ่มที่พยายามเดินหนี
“ไงไอ้หนุ่ม”
ไลฟ์หยุดเดินหันมาทักทาย “หัวหน้า”
“อยู่นี่ไงไดแอน ไอ้หนุ่มที่ฉันพูดถึง”
ไลฟ์เกาศีรษะรับรู้ถึงความยุ่งยากที่กำลังจะต้องเจอ แต่ไดแอนกลับไม่ตำหนิหรือต่อว่าอะไรที่เขาโกหก แต่กลับขอความเห็นจากชายหนุ่มแทน
“ฉันไปเจอร่องรอยของคนที่น่าจะเป็นผู้บุกรุก รอยมุ่งลงใต้ จะให้ฉันตามไปต่อรึเปล่า”
ไลฟ์พอได้ฟังก็นิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ก่อน “ไม่ต้องหรอก อย่าเสี่ยงเลย”
“ทำไมกัน”
“ท่านหญิงมีฝีมือฉันเข้าใจ แต่ว่าสู้หัวหน้าได้รึเปล่า”
ฟราวซ์ที่ได้ฟังคำถามก็ส่ายหัวเบาๆ “ฉันคิดว่าไดแอน เก่งกว่าฉันนะเรื่องแกะรอย”
ไลฟ์ยกมือลูบใบหน้าตัวเองช้าๆ “แกะรอยได้แล้วยังไง จะรับมือกับคาถามายายังไง”
ไดแอนได้ฟังก็เริ่มรู้สึกลังเล “คาถามายาเหรอ”
“ใช่ โดนเล่นซะเละเทะกันไปหมด ขนาดหัวหน้ายังพลาดท่าเลย”
“แล้วนายเก่งนักรึยังไง”
“ฉันเองก็แย่อยู่ แต่โชคดีที่ยังเอาตัวรอดมาได้”
“จะบอกว่านายเก่งกว่าคุณฟราวซ์เหรอ”
“ไม่เลย แค่บอกว่าฉันโชคดีกว่าก็แค่นั้นเอง”
ฟราวซ์ยกมือขึ้นมาว่างบนบ่าของไดแอนปรามเอาไว้ก่อนที่การโต้เถียงของทั้งสองจะรุนแรงยิ่งขึ้น
“พอเถอะไดแอน เธออาจมีฝีมือนะ แต่ฉันมั่นใจว่าเธอทะเลาะกับไอ้หนุ่มนี่ไปก็เสียเวลาเปล่าๆ ”
ไดแอนสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว เลิกต่อปากต่อคำกับไลฟ์ทันที “ค่ะ”
“ว่าง่ายจังแฮะ” ไลฟ์ยืนนิ่ง ครุ่นคิดจนคิ้วขมวด “หัวหน้าฉันเริ่มจะสงสัยแล้วล่ะว่าที่พวกมอนสเตอร์มันข้ามเขตมาได้น่ะ ไม่ใช่อย่างที่เราเข้าใจกัน”
“หมายความว่ายังไง”
“เวสต์แลนด์น่ะ ไม่ใช่ที่ๆ สิ่งมีชีวิตเดินเท้าจะข้ามมาได้ง่ายๆ หรอก”
“บินมาเหรอ”
“ไม่ๆๆ มันต้องมีทางลัดอยู่ตรงไหนสักแห่งใกล้ๆ นี้นี่แหละ พวกสโจรกาดเองก็คงเดินเท้าข้ามแล้วกลับออกมาง่ายๆ ไม่ได้เหมือนกันนั่นล่ะ”
ฟราวซ์กอดอกแล้วหันมองหน้าของไดแอน นิ่งเงียบอยู่ครู่ใหญ่ “งี้นี่เอง เอางี้แล้วกันนะไดแอน เธอนำกำลังไปสำรวจย้อนรอยเท้าของพวกมอนสเตอร์นั่นดูหน่อย ได้ความยังไงก็รายงานฉันด้วย หรือไม่ก็จัดการตัดสินใจเองได้เลยในกรณีที่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”
ไดแอนรับคำสั่งจากฟราวซ์แล้วก็มุ่งหน้าตรงเข้าไปยังกลางเมืองเพื่อสมทบกับลูกน้องแล้วเตรียมตัวออกสำรวจทันที ส่วนไลฟ์ก็ขอแยกไปส่งลีเลียที่เรือนรับรองขององค์หญิงทันที
บรรยากาศอันเงียบสงบ ห้องโถงอันกว้างขวางประดับไปด้วยแสงหลากสี อันเป็นผลจากเวทมนตร์ของเหล่าจอมเวทที่ตั้งหน้าตั้งตาคัดลอกตำราเวทย์อย่างแข็งขัน เมอร์เซเดสเองที่สามารถสลัดความกังวลเกี่ยวกับความเป็นอยู่ของคนไกลได้แล้วก็ตั้งใจทำงานตรงหน้าอย่างเต็มที่ และด้วยความสามารถในการใช้เวทมนตร์ในระดับสูงของเหล่าจอมเวททำให้การคัดลอกตำราคืบหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากเดิมที่กำหนดเวลาเอาไว้ร่วมๆ สองปี ก็อาจจะร่นเวลาลงมาเหลือเพียงหนึ่งปีเศษๆ เท่านั้น ริเอลที่ควรจะควบคุมการทำงานทุกขั้นตอนผละออกจากห้องโถงของหอสมุดเพื่อพูดคุยกับใครบางคน
หญิงสาวผิวสีน้ำตาลเข้ม ผมสีดำยาวประบ่า ใบหน้าคมเข้ม ดวงตาสีเทาเข้มกลมโตส่งยิ้มให้กับผู้อำนวยการสถาบันเวทมนตร์อย่างเป็นมิตร
“นี่ๆ ริเอล ฉันมีข่าวมาแจ้งล่ะ”
“ข่าวอะไรเหรออาร์มิน”
“ใช่ๆ ก็ข่าวคราวของเจ้าหนุ่มแดนไกล คนรักของหลานสาวเธอไงเล่า”
“หืมมม อะไรทำให้เธอสนใจเรื่องนี้ล่ะ”
“ก็เจ้าน้องชายตัวแสบของฉันน่ะสิ มันบุกไปที่ลีซเนปล่ะ”
“น้องชายเหรอ คนไหนล่ะ”
“ก็เจ้ากิลด์น่ะสิ จะใครซะอีกล่ะ”
“หืม…แล้วเป็นไงบ้างล่ะ หนุ่มน้อยคนนั้น”
“ก็โดนเล่นงานซะเละเทะเลยน่ะสิ”
“หืม คาถาลวงสัมผัสทำอะไรไม่ได้เลยเหรอ”
“อื้ม ดูเหมือนจะเป็นอย่างงั้นแหละ”
“แข็งแกร่งขนาดนั้นเลยสินะ”
“จะว่าไงดีล่ะ ไอ้เจ้าเด็กงี่เง่านั่นน่ะ ฝีมือไม่ถึงขั้นเองด้วยล่ะมั้ง”
“ฝีมือเหรอ…อืม…ฉันว่าไม่น่าจะใช่หรอกมั้ง นอกจากเธอแล้วก็มีแค่เด็กนั่นคนเดียวนะที่ฉันเห็นว่าสามารถใช้คาถามายาระดับสูงได้แบบนั้นน่ะ”
“จะบอกว่าเจ้าหนุ่มนั่นแข็งแกร่งขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แหมๆ หลานสาวฉันก็ไม่ใช้ผู้หญิงรสนิยมเลวร้ายนะ ดูขนาดเด็กนั่นตามจีบตั้งนาน ยังไม่สนใจเลยนี่”
“โอ๊ย เรื่องงี่เง่าของเด็กน้อยน่ะเหรอ”
“เอาน่า เอาไว้เจอตัวจริงก่อนเถอะค่อยว่ากัน ว่าแต่บอกน้องชายของเธอให้กลับมาดีกว่ามั้ง เพราะยังไงคนที่เอาชนะท่านพี่ฮาร์ดิลน่ะก็คือเจ้าหนุ่มนั่น ซี้ซั้วไปท้าสู้จะเจ็บตัวเอาซะเปล่าๆ”
“ก็บอกมันไปแล้ว อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าคงกลับมาถึงแหละ”
“งั้นก็ฝากเรื่องที่โรงเรียนด้วยก็แล้วกันนะ ช่วงนี้ฉันคงต้องอยู่ที่นี่ซะส่วนใหญ่”
“ค่าๆ ท่านผู้อำนวยการ”