Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 5 ตัดสินใจ
จากคำบอกเล่าของเทพผู้อบอุ่นก็ทำให้ไลฟ์เองรู้สึกว่าหากอาณาจักรแห่งนี้ขาดเทพผู้ปกปักไปก็คงไม่อาจฟื้นฟูขึ้นมาจากความหดหู่ที่เกิดขึ้น ณ เวลานี้ได้ แน่นอนว่าดินแดนอื่นๆรวมถึงสโจรกาดก็เช่นกัน แม้เทพเจ้าผู้เอาแต่ใจอย่างฟาโนราห์จะสร้างความวุ่นวายเอาไว้ แต่ส่วนหนึ่งที่ดินแดนสโจรกาดยังคงงดงาม ผู้คนมีที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจก็เป็นเพราะศรัทธาในตัวนาง
หากสงครามนี้มันจบลงด้วยมือของเขา ไม่แน่ว่าตัวเขาเองอาจจะได้พบกับสถานที่ซึ่งเขาเองจะเรียกว่า “บ้าน” ได้อย่างเต็มปาก เลิกพเนจรและใช้ชีวิตอยู่ที่หมู่บ้านสักแห่งในอาณาจักรนี้ก็คงดีเหมือนกัน อย่างน้อยๆ ดินแดนที่มีเฟอัสก์คอยคุ้มครองอยู่ก็คงไม่แย่เหมือนกับหลายๆ อาณาจักรที่เคยเดินทางผ่านมา แต่อยู่ๆ จะให้เขาไปสมัครเข้าร่วมสงครามก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาอยากจะทำสักเท่าไร คงต้องรอนายกองคนนั้นมาชักชวนด้วยตัวเองอีกครั้งเท่านั้นล่ะมั้ง
ไลฟ์ส่ายหัวเบาๆ ก่อนจะบอกความในใจของเขาให้กับเทพสองพี่น้องได้รับรู้
“คืองี้นะ ไอ้เรื่องพลังเทพของลุงกับป้าลดลงแล้วส่งผลอะไรบ้างก็ไม่ค่อยเข้าใจหรอก แต่มันคงไม่ใช่เรื่องดีกับทั้งที่นี่ แล้วก็สโจรกาดสินะ เอาจริงๆ ฉันเองก็ถูกใจอาณาจักรนี้เหมือนกัน แม้ที่ผ่านมาจะเจอเมืองที่เสียหายจากสงครามซะเยอะก็เถอะ แต่ถ้าหลังจากนี้สงครามจบลงแล้ว ไปหาที่ดินว่างๆ สร้างบ้านอยู่ก็คงไม่แย่เท่าไรหรอกมั้ง เลิกเดินทางอย่างไร้จุดหมายก็คงจะดี”
รอยยิ้มที่ไม่คุ้นเคยผุดขึ้นที่มุมปากของผู้ดูแลวิหารหนุ่ม พร้อมความหวังเล็กๆ ที่ค่อยๆ เอ่อล้นจากก้นบึ้งในหัวใจของเทพเจ้าทั้งสอง
“เอาเป็นว่า…ฉันมีเรื่องอย่างจะขอให้ท่านเทพเจ้าทั้งสองสัญญากับฉันสักข้อหนึ่ง ถ้าลุงกับป้ารับปาก ฉันเองก็จะไม่อิดออดที่จะเข้าสู่สนามรบ”
เทพเจ้าสองพี่น้องไม่มีท่าทีลังเลกับสิ่งที่เด็กหนุ่มร้องขอ พวกเขาตอบรับข้อเสนอทันที
“ว่ามาเถอะ หนุ่มน้อยเธอต้องการอะไรจากเรา”
“นับจากนี้ไป ขออย่าประทานพรหรือของวิเศษให้คนที่จะเอาไปใช้ก่อสงครามอีกได้มั้ย แต่กับคนที่จะเอาไปใช้เพื่อปกป้องอาณาจักรก็ทำหน้าที่ให้ไปตามปกติเถอะ”
สองเทพตอบรับข้อเสนออย่างไม่บิดพลิ้ว แต่ถึงอย่างนั้นเฟอัสก์เองก็ยังแอบหวั่นใจ แม้เด็กหนุ่มจะรับพรวิเศษจากพี่สาวของเขาไปแล้ว แต่เรื่องฝีมือการต่อสู้ของเขายังไม่อาจเทียบกับแม่ทัพฮาร์ดิลคนนั้นได้เลย แล้วเด็กหนุ่มคนนี้จะไหวรึเปล่านะ
“ไอ้หนู แม่ทัพฮาร์ดิลเป็นคนที่มีทั้งฝีมือและพละกำลังมหาศาลเลยนะ เท่าเห็นเมื่อคืนแกยังเทียบเขาไม่ได้เลย มีแผนจะทำยังไง”
เด็กหนุ่มหันมายิ้มกับเทพเจ้าของวิหาร
“นั่นล่ะลุงปัญหาใหญ่เลยล่ะ….แต่เอาเถอะ ยังไงฉันก็ไม่ตายอยู่แล้วนี่ ใช่มั้ยล่ะ ถึงจะเจ็บตัวแต่เดี๋ยวคงจะชินไปเองล่ะมั้ง แค่ไม่ตายก็พอแล้วล่ะมั้งนะ”
“แล้วคิดว่าต้องใช้อาวุธวิเศษอะไรรึเปล่า ข้าประทานให้เจ้าได้นะ เพียงแค่ร้องขอ”
“ไม่ล่ะลุง มีติดตัวไว้ก็เท่านั้น พอสงครามแล้วก็ไม่รู้จะเอาไปใช้ทำอะไรแล้ว”
ฟาโนราห์ที่สงบสติอารมณ์ได้แล้วปาดน้ำตาและยิ้มออกมาด้วยความหวังในตัวหนุ่มน้อยคนนี้
“เฟ…พี่ขอคุยกับหนุ่มน้อยคนนี้สักหน่อยได้มั้ย”
เทพผู้เป็นน้องชายมองไปที่ไลฟ์และส่งยิ้มอบอุ่นเป็นสัญญาณบอกว่าหลังจากนี้พี่สาวของเขาจะไม่ทำอันตรายเด็กหนุ่มอีกแล้ว ก่อนจะบีบมือพี่สาวเบาๆ
“ใจเย็นๆ นะพี่”
ฟาโนราห์ยิ้มให้กับเด็กหนุ่มทั้งน้ำตา
“หนุ่มน้อย เธอจะเข้าร่วมสงครามหรือไม่ก็ตามแต่ ฉันแค่เพียงอยากจะขอร้องเธอช่วยปกป้องชาวเมืองที่อยู่รอบๆ นี้ก่อนจะได้มั้ย อย่างน้อยๆ ก็ช่วยกำจัดพวกนักรบของสโจรกาดที่มาสร้างความเดือดร้อนรอบๆ เขตแดนของน้องชายฉันที”
“ถ้ามันจำเป็นก็นะ”
“จำเป็นสิ…ยิ่งเธอกำจัดพวกทหารของสโจรกาดได้มากเท่าไรชื่อเสียงของเธอก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น ไม่แน่ว่าหลังจบสงครามเธอเองอาจไม่ต้องอยู่อย่างยากลำบากก็ได้นะ”
ท่าทางครุ่นคิดของไลฟ์ทำให้เทพสองพี่น้องแปลกใจอยู่พอสมควร แต่คำตอบของเขากลับสร้างความประหลาดใจยิ่งกว่า
“ไม่ล่ะ เรื่องชื่อเสียง ยศถาบรรดาศักดิ์อะไรนั่น มันไม่จำเป็นเลยสักนิด ยิ่งใหญ่ได้ก็ตกต่ำได้ ฉันขอเพียงไม่เดือดร้อนก็พอแล้วล่ะ เอาเป็นว่า ถ้าพรุ่งนี้ร่างกายฟื้นฟูเต็มที่แล้วค่อยว่ากันอีกที”
“ถ้าอย่างงั้น ฉันมีข้อเสนอให้เธออีกสักข้อจะดีมั้ย”
“คงไม่ใช่อะไรแปลกๆ อีกนะป้า”
รอยยิ้มที่หม่นหมองปนน้ำตาของฟาโนราห์ บัดนี้สดใสขึ้นกว่าเดิมมาก
“ไม่หรอกหนุ่มน้อย ฉันก็แค่คิดว่า หากจบสงครามไปเธออยู่คนเดียวก็คงจะเหงา ถ้าเราสองพี่น้องไปสู่ขอเจ้าหญิงของลีซเนปให้เธอก็คงจะดี”
เฮ้อ………เสียงถอนหายใจยาวๆ ของไลฟ์สร้างความขบขันให้กับเฟอัสก์เป็นอย่างมาก
“นี่พี่…ไอ้หนูนี่คงอยากจะใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการล่ะนะ เรื่องคู่ครองก็ให้เจ้าตัวเป็นคนจัดการเองเถอะ จะเจ้าหญิงหรือสาวชาวบ้านเขาเองก็คงไม่ได้คิดเอาไว้ล่วงหน้าหรอกมั้ง ไปวุ่นวายมากกว่านี้เดี๋ยวก็โดนท่านพ่อสั่งลงโทษจนได้หรอก”
“เอาเถอะ จะยังไงก็แล้วแต่ เธอน่ะถูกใจฉันจริงๆ นะพ่อหนุ่มน้อย ถ้าเสร็จเรื่องแล้วไม่มีที่ไปจะมาดูแลวิหารของฉันที่สโจรกาดก็ได้นะ”
เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรเพียงแต่พยักหน้าตอบรับเท่านั้น ฟาโนราห์ลุกขึ้นกอดเฟอัสก์ พร้อมกล่าวลาน้องชายและผู้ดูแลวิหารก่อนจะกลับไปยังวิหารของตน ส่วนเฟอัสก์ที่เดินออกไปส่งพี่สาวที่นอกวิหารเรียบร้อยแล้วก็หันกลับมาเตือนเด็กหนุ่ม
“ไอ้หนู จากนี้ไปไม่ว่าแกจะทำอะไรก็ให้จำคำเตือนของข้าเอาไว้ให้ขึ้นใจ…พรอมตะที่ดีรับมีข้อดีแต่ก็มีข้อเสีย ความเจ็บปวดทรมานจากการฟื้นฟูบาดแผลมันจะสาหัสกว่าที่ตอนได้แผลหลายเท่าตัว เพราะฉะนั้น จงรักษาตัว ต่อสู้อย่างมีสติ อย่าวู่วามเด็ดขาด”
“เข้าใจแล้วล่ะลุง”
“เอาล่ะ ถ้างั้นก็ดูแลวิหารให้ดี ข้าขอไปเที่ยวสักหน่อย”
เมื่อเตือนผู้ดูแลวิหารเรียบร้อยแล้วเทพผู้อบอุ่นก็มุ่งหน้าออกจากเขตแดนของตน ปล่อยให้ผู้ดูแลวิหารจัดการงานต่างๆ อย่างเงียบๆ เพียงลำพัง
ท่ามกลางควันไฟ ซากปรักหักพังและกลิ่นคาวเลือด กองกำลังของสโจรกาดได้บุกยึดหมู่บ้านชายป่าแห่งหนึ่งได้สำเร็จ ซึ่งกองกำลังชุดนี้นำโดยนักรบหญิงคนหนึ่ง ผู้ซึ่งสวมเครื่องแบบไม่คล้ายนักรบทั่วไป นางไม่สวมชุดเกราะ หากแต่อาภรณ์ของนางทำขึ้นจากเครื่องหนังและขนสัตว์ ตัดเย็บเข้ารูปเพื่อความคล่อง ในมือไม่มีอาวุธใด มีเพียงกำไลที่ทำจากหินผลึกแปลกตาที่แม้แต่คนในกองทัพสโจรกาดเองก็ไม่รู้จักสวมไว้บนข้อมือขวา ที่โดดเด่นกว่าเสื้อผ้าคือรูปลักษณ์ หญิงสาวผู้นี้ไม่คล้ายชาวสโจรกาดดวงตากลมโตคล้ายแมวป่า ใบหน้าเรียวคมเข้ม เรือนผมดำขลับ รูปร่างค่อนข้างเล็กและบอบบาง ทว่าทรวดทรงของนางกลับเด่นชัด ผิวพรรณที่โผล่พ้นเสื้อผ้าเป็นสีน้ำผึ้งนวลเนียน ต่างจากหญิงสาวชาวสโจรกาดที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ผิวพรรณกระจ่างใส กับเรือนผมสีน้ำตาลทองหรือน้ำตาลเข้ม
ดูเหมือนนางจะตัดสินใจใช้หมู่บ้านชายป่าใกล้กับเขตแดนของเฟอัสก์ เทพผู้ปกปักลีซเนปแห่งนี้เป็นจุดพักและวางกำลังตั้งรับกองหนุนทัพลีซเนปที่กำลังเคลื่อนพลมาหมู่บ้านแห่งนี้คืน ขณะที่หนึ่งในนักรบสโจรกาดกำลังออกไล่ตามชาวเมืองที่หลบหนีไปยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ได้ถูกนางออกคำสั่งยับยั้งเอาไว้
“ปล่อยไป คาร์ลัจ!!!”
“แต่ท่านหญิง คนพวกนั้น”
“ปล่อยไปเถอะ เรายึดที่นี่ได้แล้ว นักรบฝ่ายข้าศึกก็ถูกสังหารจนหมด เราควรพักผ่อนเสียหน่อย”
แม้จะรู้สึกไม่พอใจแต่ในเมื่อนี่เป็นคำสั่งก็ย่อมต้องยอมรับอย่างเสียไม่ได้
“รับทราบแล้วท่านหญิง”
เมื่อเห็นว่านักรบผู้นั้นกลับเข้ามารวมกลุ่มเตรียมตัวพักผ่อนแล้ว นางจึงลงจากม้าแล้วเดินสำรวจหมู่บ้านกับคนสนิทที่สวมกำไลลักษณะคล้ายกันอีกสองคน
“คาร์ลัจเอ้ย…เอ็งนี่ขยันขัดใจท่านหญิงวันละครั้งสองครั้ง หาเรื่องตายรึไงวะ”
“คัลลัมน์ ข้าถามเอ็งจริงๆ เหอะวะ ถ้าไม่ใช่เพราะฐานะของนาง เด็กสาวอายุแค่สิบเจ็ดแบบนั้นจะได้มาเป็นนายกองคอยออกคำสั่งพวกเรามั้ยเล่า”
“ไม่ใช่แค่เพราะฐานะของนางหรอก แต่เพราะไอ้ศาสตร์ลึกลับนั่นก็ด้วย….พอๆ เลิกนินทานางได้แล้ว เอ็งจะพาข้าซวยไปด้วย ข้ายังไม่อยากถูกผ่าเป็นสองส่วน”
ขณะเดียวกันชาวบ้านที่หนีออกจากหมู่บ้านชายป่าสำเร็จก็ได้เดินทางมาถึงวิหาร ไลฟ์ที่กำลังดูแลสวนฝั่งตะวันตกอยู่ก็รีบเข้ามาต้อนรับ พอเข้ามาถึงภายในวิหาร ชาวบ้านแต่ละคนต่างกระหืดกระหอบสวดภาวนา ส่วนคนที่บาดเจ็บก็ถูกพาไปรักษาที่สวนฝั่งตะวันตก
เมื่อสอบถามได้ความว่ากองกำลังของสโจรกาดได้บุกยึดหมู่บ้านไปแล้วเรียบร้อย แม้ไลฟ์คิดจะลงไปจัดการกับกองรบนี้แต่ร่างกายของเขาเองก็ยังฟื้นฟูไม่เต็มที่ แถมเฟอัสก์ก็ยังไม่กลับมาเสียด้วยคงต้องใจเย็นๆ อดทนรอไปก่อน
เมื่อจัดแจงที่ทางให้ชาวบ้านที่อพยพมาได้ตั้งที่พักชั่วคราวแล้ว ผู้ดูแลวิหารก็กลับไปที่กระท่อมเตรียมแผนจัดการกับกองรบที่นำโดยนักรบหญิงผู้ใช้ศาสตร์ลึกลับคนนั้น
รุ่งเช้าไลฟ์ตื่นขึ้นพร้อมร่างกายที่ฟื้นฟูเพียงแปดส่วนรีบมุ่งหน้ามายังวิหาร แต่ยังไร้วี่แววของเจ้าเทพผู้อบอุ่น เขาจึงหันไปช่วยดูแลผู้อพยพ เสียงเด็กเล็กวิ่งเล่นเจี๊ยวจ๊าวสร้างความสดใสให้กับเขาได้อย่างน่าประหลาด เมื่อเสร็จจากการดูแลผู้อพยพเท่าที่จะทำได้แล้วเขาก็ใช้เวลาครุ่นคิดถึงวิธีจัดการกับกองกำลังที่เข้ามายึดหมู่บ้านพลางทำหน้าที่ดูแลวิหารของเขาไปด้วย ขณะที่ไลฟ์กำลังอยู่ในห้วงแห่งความคิดเสียงเข้มทุ้มต่ำและนุ่มนวลก็ดังขึ้นในหัว
“ไอ้หนู มาที่สระน้ำหน่อยฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”
ผู้ดูแลวิหารมุ่งหน้าไปยังสระน้ำทันที ภาพที่เห็นคือลุงเทพตัวล่ำอยู่ในสภาพที่อ่อนล้ากำลังยืนรอเขาอยู่
“เฮ้ยลุง…นี่…พลังของลุงลดลงจริงๆ ใช่มั้ย”
สภาพของเฟอัสก์ทำให้ผู้ดูแลวิหารตื่นตระหนกอย่างมาก แต่เทพเจ้าของวิหารก็โบกมือเป็นสัญญาณบอกว่าเขายังปกติดี พลังเทพที่มีไม่ได้ลดลงแม้แต่น้อย
“แล้วไปไหนมาน่ะลุง ทำไมสภาพเป็นแบบนั้น”
“ข้าแค่ตระเวนไปตามหมู่บ้านกับเมืองที่เสียหายจากสงครามแล้วทิ้งเมล็ดพลังฟื้นฟูเอาไว้น่ะ”
ไลฟ์เอียงคอทำหน้าฉงนกับคำตอบของเทพเฟอัสก์
“มันก็เหมือนปลูกต้นไม้นั่นแหละ…แค่หย่อนเมล็ดทิ้งเอาไว้แล้วผืนดินที่นั่นจะค่อยๆ ฟื้นฟู รอแค่ชาวบ้านชาวเมืองกลับมาซ่อมแซมทางกายภาพน่ะ”
“แล้วที่เรียกมาเนี่ย มีอะไรจะคุยเหรอ”
“ไอ้หนู…แกคิดจะไปลุยกับพวกนักรบสโจรกาดคนเดียวใช่มั้ย”
‘ให้ตายเถอะลุง ใช้พลังอ่านใจกันรึไง’ สีหน้าของไลฟ์บ่งบอกถึงความอึดอัดใจที่ไม่รู้ว่าถูกเทพเจ้าที่ยืนอ่อนล้าอยู่เบื้องหน้าเขาใช้พลังอ่านใจหรือเปล่า
“ก็นะ…แค่จะลองไปดูสักหน่อย…เผื่อมีอะไรพอทำอะไรได้บ้าง…ก็…ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ไม่ใช่เหรอ”
“ไอ้หนู…ฟังข้าให้ดีนะ…ทำอะไรก็อย่าให้เกินตัวก็แล้วกัน…ไม่ว่าแกคิดจะทำอะไร…อย่าตกเป็นเครื่องมือของพี่สาวข้าก็พอ”
“เครื่องมือ…”
“เอาเป็นว่าอย่าไปทำอะไรให้นางพอใจมากไปกว่าจบสงครามครั้งนี้ก็พอ ถึงแกจะฆ่าไม่ตาย แต่แกก็ยังต้องเจอความเจ็บปวด ไอ้ตรงนี้แหละที่จะทำให้นางพึงพอใจ”
“นี่ฉันกลายเป็นของเล่นของนางไปแล้วเหรอ”
“ก็เกือบๆ ล่ะนะ อันที่จริงนางจะมอบพรให้โดยที่แกจะไม่ต้องรู้สึกเจ็บปวดเลยก็ทำได้ แต่ก็นั่นล่ะข้าไม่อาจเดาใจนางได้จริงๆ ที่เป็นแบบนี้อาจเพราะพลังของนางลดลงไปมากแล้วก็ได้ หรืออาจจะไม่ใช่ก็เป็นได้เหมือนกัน นับจากนี้นางต้องคอยเฝ้าดูแกในสงครามแน่นอน ดังนั้นก็ระวังตัวให้ดีก็แล้วกัน”
“เข้าใจแล้วลุง ฉันจะระวังตัวแล้วกัน”
รอยยิ้มอบอุ่นผุดขึ้นที่ใบหน้าของเทพเจ้า
“ดี…แล้วก็รับนี่ไป ข้าเก็บมาจากต้นไม้ใหญ่ใกล้กับสระน้ำนี่ ต้นนั้นน่ะ”
เทพเจ้าชี้ไปที่ต้นไม้ใหญ่สีขาวที่เต็มไปด้วยใบไม้หนาแน่นจนแสงอาทิตย์ไม่สามารถส่องผ่านได้
“มันจะออกผลเพียงหนึ่งผลทุกๆ ห้าปี กินซะผลไม้นี้มีพลังฟื้นฟูร่างกาย”
ผู้ดูแลวิหารยื่นมือรับผลไม้สีเหลืองทองแล้วจ้องมองอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะใส่เข้าปาก กลิ่นหอมสดชื่นฟุ้งขึ้นจมูกพร้อมๆกับรสหวานอมเปรี้ยวแผ่ซ่านไปทั่วปาก ความอ่อนล้าที่ยังคงรู้สึกได้ชัดเจนนับตั้งแต่ตื่นนอนหายไปหมดสิ้น
“ขอบคุณนะลุง”
“เอาล่ะวันนี้แกจะทำอะไรก็ไปทำเถอะ ข้าขออาบน้ำแล้วไปดูชาวบ้านสักหน่อย แล้วค่อยไปหาที่นอนพักผ่อนล่ะนะ”
ผู้ดูแลวิหารเดินกลับไปทำหน้าที่ของตัวเองต่อ ดูเหมือนผลไม้ที่เพิ่งกินไปจะส่งไม่ใช่แค่ฟื้นฟูร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ร่างกายของเขาคล้ายจะเบาขึ้นเคลื่อนไหวได้ดีขึ้นว่าเดิมหลายเท่า
ตะวันลับขอบฟ้าไลฟ์ที่ใช่เวลาตลอดช่วงบ่ายไปกับการงีบหลับเพื่อผ่อนคลายจากความคิดและแผนการมากมายที่ผุดขึ้นมาในหัวก็ลืมตื่น แต่ยังคงนอนนิ่งๆ มองเพดานก่อนจะขยับตัวคว้าซองมีดสั้นคู่ที่เป็นเครื่องมือเอาชีวิตรอดมานานหลายปีมาคาดเอว และมุ่งหน้าสู่วิหารเพื่อสักการะเทพเจ้า
ชาวบ้านที่รายล้อมอยู่ทั้งด้านนอกและภายในวิหารต่างสงสัยกับท่าทีของผู้ดูแลวิหารที่ราวกับว่าจะเตรียมตัวออกไปจากเขตแดนศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้
“พ่อหนุ่ม เธอออกไปที่หมูบ้านเหรอ”
ผู้เฒ่าผู้ใหญ่บ้านเอ่ยปากถามผู้ดูแลวิหาร
“ว่าจะไปดูสักหน่อยเผื่อว่ามีอะไรที่ผมจะช่วยได้บ้างน่ะ”
“แต่กองทัพของลีซเนปกำลังจะมาถึงแล้วนะ ไม่นานคงต้องปะทะกันอีกแน่ มันอันตราบมากเลยนะ”
“ยังไงก็อยากจะไปดูสักหน่อยน่ะลุง”
“ถ้างั้นก็ช่วยเอาเจ้านี่ไปใช้จะได้มั้ย”
ผู้เฒ่าหันไปมองดาบที่วางอยู่ข้างเสาหินใกล้ตัว
“ขอบคุณนะลุง แต่คงเอาไปด้วยไม่ได้หรอก พอดีผมไม่ถนัดใช้ดาบน่ะ”
“ถ้างั้นก็ขอให้ท่านเฟอัสก์คุ้มครองเธอนะพ่อหนุ่ม”
ผู้ดูแลวิหารยิ้มบางพร้อมค้อมศีรษะให้ผู่เฒ่าก่อนจะเดินไปหยิบขนมปังกับผลไม้ที่แท่นบูชาขึ้นมากินแล้วเดินออกจากวิหารมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านชายป่าทันที