Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 6 ผู้สังเกตการณ์
ภายใต้แสงจันทร์ไลฟ์ที่กำลังมุ่งหน้ามายังเมืองชายป่าอย่างเร่งร้อนต้องหยุดชะงักกลางทาง เมื่อพบกับคนแปลกหน้าสองคนพักผ่อนอยู่กลางป่าห่างจากหมู่บ้านปลายทางพอสมควร หนึ่งในนั้นเริ่มก่อกองไฟเล็กๆ เพื่อใช้อุ่นอาหาร ดูจากชุดเกราะของคนทั้งสองแล้วเห็นชัดว่าเป็นนักรบของลีซเนปเขาจึงตัดสินใจแสดงตัวเข้าไปทักทาย
ขณะเดียวกันนักรบทั้งสองที่นั่งอยู่ข้างกองไฟคว้าดาบและลุกขึ้นยืนแสดงออกชัดเจนว่ารับรู้ถึงการมาของชายแปลกหน้า
“ใจเย็นๆก่อน ฉันเพิ่งมาจากเขตแดนศักดิ์สิทธิ์”
เมื่อได้ยินการแสดงตัวของเด็กหนุ่มนักรบทั้งสองก็มีท่าทีอ่อนลงแต่ยังไม่เก็บดาบในมือ
“แล้วชาวบ้านที่หนีออกจากหมูบ้านปลอดภัยดีมั้ย”
หนึ่งในนักรบที่ดูจะมีอายุพอสมควรเอ่ยปากถามเพื่อจับพิรุธของผู้มาเยือน
“ปลอดภัยดีอยู่ที่วิหาร ว่าแต่พวกลุงมาทำอะไรแถวนี้ล่ะ ไม่ใช่ว่าจะมีกองกำลังมาที่หมู่บ้านหรอกเหรอ”
นักรบสูงอายุกว่าหันไปบอกผู้ติดตามให้เก็บดาบก่อนตอบคำถามเด็กหนุ่ม “เราแค่มาสังเกตการณ์น่ะ อยู่ๆจะให้บุกเข้าไปเลยก็คงไม่ไหวหรอก พากันไปตายเปล่าๆ แล้วเธอล่ะมาทำอะไร”
“มาดูหน่อยน่ะ เผื่อว่าจะทำอะไรได้บ้าง”
“อย่าเลยไอ้หนู นั่นมันฆ่าตัวตายชัดๆ” นักรบหนุ่มส่งเสียงขัดทันทีได้ยินคำตอบ
“ก็ไม่ได้อยากจะอวดเก่งหรอก แต่เห็นสภาพชาวบ้านอพยพไปที่วิหารแบบนั้นแล้วมันทนไม่ได้น่ะ”
“แล้วเธอคิดว่าพอจะทำอะไรได้บ้าง มีแผนยังไงลองบอกเราหน่อยสิ” นักรบเฒ่าถามถึงแผนการของผู้มาเยือน
“ก็ยังคิดไม่ออกหรอกว่าจะทำยังไง คงต้องสำรวจให้ทั่วหมู่บ้านก่อนล่ะนะ เผื่อจะคิดอะไรออกบ้าง”
“น่าสนใจนี่…ฉันขอดูหน่อยแล้วกันว่าแกมีฝีมือแค่ไหน”
เสียงยังไม่ทันเลือนหายไปจากโสตของทุกคนในที่นั้น นักรบหนุ่มคว้าโล่ขึ้นมาสวมที่มือซ้าย ชักดาบออกมาแล้วพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มทันที
“อะไรวะ!!!” ด้วยการที่ถูกจู่โจมกะทันหันไลฟ์อุทานออกมาด้วยความตกใจ แต่ปฏิกิริยาของเขายังว่องไวพอที่จะใช้เท้าขวายันเข้าที่กลางโล่ นักรบหนุ่มชะงักและเซถอยหลังเล็กน้อยแต่ก็ยังสามารถเหวี่ยงดาบสวนกลับไปได้ แต่ไลฟ์ก็ยังไวพอจึงย่อตัวหลบดาบได้ทัน ก่อนที่เด็กหนุ่มจะดึงมีดคู่ที่บั้นเอวออกมา
เด็กหนุ่มเริ่มตอบโต้บ้าง เขาพุ่งเข้าหาคู่ต่อสู้อย่างรวดเร็วพร้อมเหวี่ยงมีดข้างซ้ายใส่คู่ต่อสู้ แต่นักรบหนุ่มก็ยกโล่ขึ้นมาป้องกันได้ทัน ความเร็วของเด็กหนุ่มดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก แม้แต่ตัวเขาก็ยังรู้สึกถึงความไม่คุ้นเคย และแน่นอนว่าเขาเร็วกว่าคู่ต่อสู้อย่างเห็นได้ชัด ทำให้นักรบหนุ่มต้องดีดตัวถอยออกไปตั้งหลัก แต่นักรบหนุ่มก็พุ่งเข้าชาร์จอีกครั้งในอึดใจต่อมา
ความคล่องแคล่วและการโจมตีที่ไม่เป็นกระบวนของเด็กหนุ่มคาดเดาได้ยาก สร้างความอึดอัดและยากลำบากให้กับนักรบหนุ่มอย่างมาก แถมพละกำลังของเขาก็มหาศาลจนแทบไม่น่าเชื่อว่าเขาจะเป็นเรี่ยวแรงของมนุษย์ ทุกครั้งที่นักรบหนุ่มยกโล่ขึ้นตั้งป้องกันหรือเหวี่ยงกระแทกใส่ก็จะถูกไลฟ์ใช้เท้าถีบเข้าที่กลางโล่จนเซถอยหลังไปหลายก้าว กระทั่งนักรบหนุ่มเริ่มรู้สึกว่าแขนซ้ายชาและหนักจนจะยกโล่ขึ้นมาไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว
ทันทีที่ไลฟ์เห็นว่าคู่ต่อสู้ยกโล่ขึ้นมาไม่ไหวแล้วก็พุ่งเข้าหาทันที แต่สมาธิของนักรบหนุ่มยังไม่ลดลงจึงแทงดาบสวนออกไป ไลฟ์เอียงคอหลบดาบพร้อมขยับนิ้วมือขวาควงมีดเปลี่ยนจากการจับแบบรีเวิร์สเป็นแบบปกติก่อนจะแทงสวนกลับไปเช่นกัน เมื่อนักรบหนุ่มเห็นว่าดาบของตัวเองพลาดเป้าแล้ว แถมมีดของคู่ต่อสู้ก็พุ่งเข้ามาหาที่ลำคอด้วยความเร็ว เขาทำได้เพียงเอนหลังเพื่อหลบการจู่โจมนี้เท่านั้น ใบมีดเก่าๆ ของไลฟ์พุ่งผ่านใบหน้าของนักรบหนุ่มไปอย่างหวุดหวิด แต่แขนซ้ายที่ยกโล่ขึ้นมาใช้ป้องกันตัวไม่ได้แล้วกลับกลายเป็นข้อได้เปรียบนักรบหนุ่ม เขาขยับแขนปักโล่เหล็กลงกับพื้นค้ำยันตัวเอาไว้เพื่อไม่ให้ต้องล้มลงจนหลังแตะพื้น
แน่นอนว่าเมื่อคู่ต่อสู้อยู่ในสภาพเอนหลังหลบมีดของเอาจนทำอะไรไม่ได้แล้ว ไลฟ์จึงควงมีดที่มือขวาเปลี่ยนจากการจับมีดแบบรีเวิร์สอีกครั้ง พร้อมทั้งขยับมือซ้ายเปลี่ยนการจับมีดเป็นแบบปกติในเวลาเดียวกัน ก่อนจะออกแรงเหวี่ยงแขนทั้งสองข้างแทงมีดใส่นักรบหนุ่มพร้อมกันในทันที แม้จะตอบโต้อะไรไม่ได้แล้วแต่นักรบหนุ่มก็ยังมีสติมากพอที่จะดีดตัวถอยหลังเพื่อหลบการโจมตีถึงชีวิตครั้งนี้
ตึง!! ร่างของนักรบหนุ่มลอยกระแทกกับพื้นเสียงดังสนั่น ไลฟ์ที่ทำท่าจะกระโดดเข้ามาจู่โจมซ้ำต้องหยุดชะงักเมื่อนักรบเฒ่าขยับตัวเข้ามาขวาง
“เอาล่ะหยุดแค่นี้ก่อน”
ไลฟ์เก็บมีดกลับเข้าที่บั้นเอวก่อนจะออกปากถามนักรบเฒ่า
“นี่ลุงสถานการณ์ที่หมู่บ้านเป็นไงบ้าง”
“พวกนักรบสโจรกาดกำลังพักผ่อน เวรยามไม่หนาแน่นมากเท่าไร ดูเหมือนพวกนั้นจะใช้บ้านเรือนเป็นที่พักซะด้วย”
“มีกันกี่คน”
“ประมาณยี่สิบสอง”
“น้อยจัง…ไม่ใช่ว่าควรจะมีมากกว่านี้หรอกเหรอ”
“คนน้อยแบบนี้คงจะเป็นกองรบของเลดี้เมอร์เซเดสละมั้ง”
“เลดี้…นางเป็นใครเหรอลุง”
“เลดี้เมอร์เซเดส นางเป็นหลานสาวของแม่ทัพฮาร์ดิล”
น้อยครั้งที่จะได้เห็นผู้หญิงในสนามรบแบบนี้ แถมยังเป็นทั้งหลานสาวของแม่ทัพใหญ่แห่งสโจรกาด และนายกองทำหน้าที่สั่งการเสียด้วย ไลฟ์รู้สึกเหมือนตัวเขาช่างโชคร้ายจริงๆ ที่เริ่มคิดจะช่วยคนอื่นก็ดันต้องเจอคนมีฝีมือเข้าซะแล้ว
“นางเก่งมากเลยเหรอ”
“ถ้าการต่อสู้ทั่วไปน่ะก็พอมีฝีมืออยู่”
คำตอบที่ได้ทำให้ไลฟ์รู้สึกมึนๆ อยู่พอดู คนที่เป็นหลานของแม่ทัพใหญ่แห่งสโจรกาดเป็นผู้นำกองรบ แต่กลับมีฝีมือการต่อสู้ที่ไม่เก่งกาจอะไรเสียอย่างนั้น “งั้นก็ลูกน้องนางเก่งมากเลยใช่มั้ย”
นักรบเฒ่าส่ายหน้าเบาๆ ก่อนตอบข้อสงสัยขอเด็กหนุ่ม “ก็ถือว่าเก่งล่ะนะ แต่ฝีมืออย่างเธอคงเอาชนะแต่ละคนได้ไม่ยากหรอก”
คำตอบแบบนี้ยิ่งทำให้ไลฟ์งงหนักยิ่งกว่าเดิม
“งั้นแสดงว่าตายไปหลายคนแล้วสินะ”
“ไม่เลย…กองรบนี้มีกันแค่สามสิบนาย…เพราะเลดี้เมอร์เซเดสกับผู้ติดตามอีกสองคนเป็นผู้ใช้เวทมนตร์น่ะ”
“เวทมนตร์…เอ่อ…มันคืออะไรเหรอลุง”
“มันคือศาสตร์ลึกลับจากดินแดนโพ้นทะเล อาณาจักรคาลามัคที่มีกลุ่มคนเพียงส่วนน้อยของอาณาจักรนั้นจะสามารถศึกษาศาสตร์ชนิดนี้ได้ และคนที่จะศึกษาศาสตร์นี้ได้จะต้องเป็นคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้ใช้เวทมนตร์เท่านั้น”
“งั้นก็หมายความว่าแม่ทัพฮาร์ดิลไม่ใช่ชาวสโจรกาดเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ”
“แล้วแม่ทัพฮาร์ดิลนั่นเป็นคนยังไง”
“ไอ้เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่น…แม้จะเป็นชาวโพ้นทะเลแต่ก็มีรูปร่างสูงใหญ่ไม่ต่างอะไรกับชาวสโจรกาดเพียงแต่สีผิวจะค่อนข้างคล้ำกว่า”
“แล้วจะแยกออกได้ยังไงว่าใครคือตาเฒ่าฮาร์ดิลนั่นล่ะลุง”
“ง่ายๆ ไอ้เจ้าจิ้งจอกเฒ่านั่นมันจะแบกค้อนยักษ์”
“จิ้งจอก….ค้อนยักษ์เหรอ”
“ใช่ มันไม่ใช่แค่นักรบที่เก่งกาจมีกำลังมหาศาล แต่มันฉลาดเป็นกรดเลยล่ะ”
“นี่ลุง…แล้วไอ้เวทมนตร์ที่เลดี้อะไรนั่นใช้มันเป็นยังไง”
“ตอนไปเรียนที่โพ้นทะเลข้าก็เคยเห็นอยู่บ้างเหมือนกัน…มันคือการดึงเอาธาตุต่างๆ ในธรรมชาติรอบตัวมาใช้โดยมีหินผลึกเป็นสื่อกลาง”
ไลฟ์ใช้เวลาครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะตัดสินใจทำบางอย่างต่อไป “ขอบคุณมากนะลุงสำหรับข้อมูล เดี๋ยวฉันว่าจะเข้าไปเดินเล่นในหมู่บ้านซะหน่อย”
“ก็ไม่ได้อยากห้ามหรอกนะ แต่เธอจะเอาชีวิตไปทิ้งเปล่าๆ ถึงพวกลูกน้องของเลดี้เมอร์เซเดสจะไม่ใช่คู่มือของเธอก็เถอะ”
“ก็แค่อยากเห็นกับตาตัวเองน่ะ ว่าไอ้เวทมนตร์อะไรนั่นมันเป็นยังไง”
เมื่อเห็นแววตาที่เรียบนิ่งแต่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจของเด็กหนุ่มทำให้นักรบเฒ่ากลืนคำพูดมากมายกลับลงคอไป แถมเขาเองยังมีบางอย่างที่ติดอยู่ในใจแต่ก็ไม่รู้ว่าสิ่งที่เขารู้สึกอยู่มันคืออะไร ลองปล่อยเด็กหนุ่มคนนี้ทำตามใจดูสักหน่อยเผื่อว่าจะเข้าใจอะไรมากขึ้น
“ในเมื่อห้ามไม่ฟังก็คงต้องปล่อยให้เธอไปจริงๆ สินะ…เอาเป็นว่าพวกเราจะรีบแจ้งไปยังกองหนุนที่รออยู่ให้เดินทางมาสมทบให้เร็วที่สุดก็แล้วกัน”
แม้ไลฟ์พยักหน้าตอบรับ แต่ตัวเขาเองก็ยังมีบางอยากที่จะถามกับนักรบเฒ่าผู้นี้อยู่เหมือนกัน แต่ถามไปคงไม่ได้อะไรมากกว่านี้ ส่วนตัวนักรบสูงวัยผู้นี้ที่ผ่านชีวิตมาหลายสิบปีแล้วก็ดูออกว่าเด็กหนุ่มกำลังมีความกังวลใจบางอย่างที่อยากจะสอบถามแต่ก็ไม่รู้จะถามกับเขาดีหรือไม่ จึงเปิดโอกาสให้เด็กหนุ่มได้ไต่ถาม
“หืม…เหมือนเธอมีบางอย่างที่ทำให้กังวลใจอยู่ มีอะไรรึ”
“ก็นะ…ลุงดูเหมือนคนใหญ่คนโตในกองทัพน่ะ น่าจะใหญ่โตพอจะได้พูดคุยกับพระราชาบ่อยเลยด้วย ฉันก็แค่มีเรื่องสงสัยอยากจะถามลุงหน่อยน่ะแต่ไม่รู้ว่าถามไปแล้วจะได้คำตอบรึเปล่า”
“ถามมาเถอะ หรือมีอะไรจะเสนอแนะก็บอกมาได้เลย”
“ถ้าสงครามครั้งนี้จบด้วยชัยชนะของลีซเนปลุงคิดว่าราชาจะยกทัพตามไปรุกรานสโจรกาดรึเปล่า”
คำถามของเด็กหนุ่มสะกิดใจของผู้อาวุโสได้มากมายจริงๆ ตัวเขาเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็นยังไงต่อไป เพราะตอนนี้สงครามยังไม่มีวี่แววว่าจะจบลงง่ายๆ เลยแต่คงต้องถามเจตนาของเจ้าหนุ่มนี่อีกสักหน่อยเผื่อจะได้อะไรมากขึ้น
“ทำไมถึงคิดไปไกลขนาดนั้นล่ะ”
“ก็ดูรอบๆ สิลุง ความโศกเศร้า ความหดหู่ ความเสียหาย ผู้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรด้วยต้องล้มตายไปมากขนาดไหนแล้วล่ะ ถ้าสโจรกาดถอนทัพไปได้แต่พระราชายังยกทัพตามไปอีก ฉันก็หมดศรัทธาในตัวของราชาทั่วโลกแล้วล่ะ แต่ถ้าสโจรกาดพ่ายแพ้ถอนทัพกลับไปแล้วทุกอย่างจบ ฉันเองก็จะอาสาเข้าร่วมสงครามนี้โดยไม่เสียดายชีวิตเลยล่ะ”
คำตอบของเด็กหนุ่มสร้างร้อยยิ้มและเสียงหัวเราะให้นักรบเฒ่าได้อย่างน่าประหลาด จะว่าไปก็ตัวเขาเองแม้ไม่เคยคิดไปไกลถึงขั้นนั้นก็จริง แต่ถ้ามันจบลงโดยที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายไปก็น่าจะเป็นเรื่องดีที่สุดสำหรับประชาชน
“เอาเป็นว่าข้าจะไปทูลถามกับพระราชาก็แล้วกันนะ พระองค์เองก็คงไม่ทรงโปรดให้นักรบของราชอาณาจักรเอาชีวิตไปทิ้งต่างแดนหรอก”
รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่มุมปากของไลฟ์ “ก็หวังว่าอย่างงั้นนะลุง…เอาล่ะผมฉันขอไปเดินเล่นในเมืองก่อนละกันนะลุง”
“เดี๋ยวก่อนไอ้หนุ่ม อย่าเพิ่งไป”
ไลฟ์หันมามองเผื่อนักรบเฒ่ามีอะไรสอบถามเพิ่มเติม แต่เปล่าเลย นักรบเฒ่ายื่นอาวุธแปลกตามาให้เขาคู่หนึ่ง
“เอานี่ไปใช้สิ มันเป็นดาบสั้นที่ข้านำกลับมาจากโพ้นทะเล”
“ดาบสั้น…เหรอ”
“มันคือดาบธรรมดานี่ล่ะ เพียงแต่ถูกทำให้สั้นลง แต่ก็ยังยาวกว่ามีดทั่วไปล่ะนะ ดาบสั้นคู่นี้น่ะตีขึ้นจากเหล็กไมโครแลตทิซ โลหะน้ำหนักเบาแต่แข็งแกร่งกว่าเหล็กกล้าทั่วไป”
นักรบเฒ่าดึงดาบเล่มหนึ่งออกจากฝักให้เด็กหนุ่มได้เห็น ใบดาบเป็นเหล็กสีเทาเข้มไร้ความมันเงาแต่กลับมีลวดลายบนดาบเป็นลักษณะคล้ายเกลียวคลื่นเล็กๆ ทับซ้อนกันหลายชั้น แถมมีส่วนคมเพียงด้านเดียว งดงามแต่ก็แปลกประหลาดในเวลาเดียวกัน
“จะดีหรอลุงเอามาให้ฉันใช้แบบนี้”
“ถ้ามันช่วยให้สงครามนี้จบง่ายขึ้น ข้าไม่เสียดายหรอก”
ไลฟ์ยิ้มออกมาเล็กน้อย “งั้น…ฉันขอยืมไปใช้ก่อนล่ะนะลุง แล้วก็อย่ารีบตายล่ะ ถ้าสงครามจบด้วยชัยชนะของลีซเนปแล้วฉันจะเอามาคืนให้”
เมื่อรับอาวุธจากโพ้นทะเลมาแล้วไลฟ์ก็สับเปลี่ยนมาใช้อาวุธใหม่ ส่วนมีดคู่เก่าของเขาก็เหน็บเอาไว้ที่ข้อเท้าทั้งสองข้างและมุ่งหน้าสู่หมู่บ้านปลายทางทันที ส่วนนักรบเฒ่าเองก็หันไปสอบถามอาการของผู้ติดตามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล
“ยังไหวมั้ย”
“แขนซ้ายยังชาอยู่ครับ”
“แล้วเป็นไงบ้างไอ้หนุ่มนั่น”
“เขาว่องไวและทรงพลังมากครับ โดยเฉพาะพละกำลังน่าจะสูสีกับจิ้งจอกเฒ่านั่นเลยล่ะ”
“อืมน่าจะสูสีกับเจ้าจิ้งจอกเฒ่าอย่างงั้นเหรอ ไม่หรอกมั้งดูเหมือนว่าเขายังมีความเร็วและความแข็งแกร่งมากกว่าเมื่อครู่ได้อีกหลายเท่า เพียงแต่ตอนนี้น่าจะยังไม่รู้ตัว”
“หลายเท่า…ไม่รู้ตัว…มันหมายความว่ายังไงกัน”
“อืม…การเคลื่อนที่ของเขาดูเหมือนว่าเขาเองจะยังไม่คุ้นเคยกับร่างกายตัวเองน่ะ ถ้าก่อนหน้านี้ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส ก็ต้องมีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขายังไม่รู้ตัวว่าทั้งพลังและความคล่องตัวที่เขามีตอนนี้…มันเกินขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดาไปแล้ว”
“แล้ว…เราจะเอายังไงต่อครับ”
“โลริกซ์ แกรีบแจ้งแม่ทัพแคสเซียลให้นำกำลัง 50 นายมาที่นี่ด่วนที่สุด แล้วตัวแกก็กลับไปรักษาตัวซะ แขนเป็นแบบนี้อย่าเสี่ยงเลย”
“แต่ท่านพ่อ ข้ายัง…”
นักรบเฒ่ายกมือขึ้นปรามลูกชาย แม้จะเป็นการออกคำสั่งแต่น้ำเสียงของเขากลับนุ่มนวล
“ไปพักรักษาตัวซะ ยังมีศึกที่ใหญ่กว่านี้มากรออยู่ อย่าฝืนเลย พ่อมีลูกชายแค่คนเดียวนะ แถมน้องสาวของแกก็ทำตัวน่าเป็นปวดหัวซะจนพ่อกับแม่เริ่มเป็นกังวลแล้วล่ะ แกน่ะรีบๆกลับไปซะเถอะ ส่วนพ่ออยากจะเห็นฝีมือของเจ้าหนุ่มนั่นอีกสักหน่อย ถ้าหากเขาจัดการกับเลดี้เมอร์เซเดสได้จริงๆ พวกเราก็มีความหวังแล้วล่ะ”
เมื่อคนเป็นพ่อสั่งการพร้อมเปิดใจมาแบบนี้คนเป็นลูกมีแต่ต้องรับคำสั่งแล้วมุ่งหน้ากลับไปแจ้งกองหนุนทันที ทิ้งให้นักรบเท่าพักผ่อนรออยู่ในที่กองไฟต่อเพียงลำพัง