Blessing Cursed พรวิเศษต้องสาป - ตอนที่ 9 เชลย
ฝาแฝดจัดการถอดชุดเกราะและเสื้อออกจากร่างสะบักสะบอมจากการต่อสู้ของไลฟ์ เผยให้เห็นแผลเป็นทั่วร่างกำยำสมวัย ก่อนจะพันธนาการร่างไร้สติของชายหนุ่มเอาไว้ด้วยโซ่เวทมนตร์ “ไอออน ธอร์น ไบนด์” แต่น่าแปลกการต่อสู้อันดุเดือดที่เพิ่งจะจบไปเมื่อครู่กลับไม่ทิ้งบาดแผลบนร่างกายของชายคนนี้เลยแม้แต่น้อย
“ท่านหญิง…ชายคนนี้เขาไม่มีแม้แต่บาดแผลเลยค่ะ”
เลดี้เมอร์เซเดสขยับเข้ามาตรวจสอบร่างกายของเชลยไร้สติ ก่อนจะเอื้อมมือไปแตะที่หลังของเขา
“แผลจากหอกที่หลังก็หายไป นี่มันยังไงกันนะ”
อือออ…..ไลฟ์ที่เริ่มได้สติครางออกมาเบาๆ เขารู้สึกปวดหัวราวกับถูกบีบรัดอย่างรุนแรงที่หัว แต่ก็ค่อยๆ ฝืนลืมตาขึ้นมาได้ ภาพแรกหลังจากที่ตื่นจากความคลุ้มคลั่งคือใบหน้าของหญิงสาวผิวสีน้ำผึ้งกับแววตาเย้ายวนน่าค้นหาในระยะประชิด ฝ่ายเมอร์เซเดสเองก็เผลอจ้องตาชายหนุ่มด้วยความพลั้งเผลอ ลอร่าที่พอจะเข้าใจความรู้สึกของท่านหญิงที่ไม่เคยได้ใกล้ชิดชายหนุ่มคนใดมาก่อนก็ส่งเสียงขัดจังหวะขึ้นอย่างเสียไม่ได้
“จะเอายังไงกับเขาดีคะท่านหญิง”
เมื่อรู้สึกตัวเมอร์เซเดสก็ลุกขึ้นถอยออกห่าง ใบหน้าที่แดงระเรื่อด้วยความเขินอายปรากฏให้เห็นอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่นางจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉยตามปกติ
“จัดการตามที่เห็นสมควรแล้วกัน รีดเอาข้อมูลออกมาให้ได้มากที่สุด”
“รับทราบค่ะ”
ลอเรนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ หยิบมีดเล็กๆ ออกมาแล้วเดินเข้าไปใกล้ๆ ไลฟ์ก่อนจ่อมีดไปที่ต้นขาของเขา ส่วนตัวนายกองสาวเองก็หยิบดาบสั้นที่ปลดออกมาจากบั้นเอวของเชลยหนุ่มขึ้นมาก่อนจะเดินออกไปจากห้อง
“กองกำลังของลีซเนปอยู่ที่ไหน”
ไลฟ์ที่ยังไม่ได้สติเต็มยิ้มออกมาบางๆ พร้อมส่ายหน้าตอบกลับ
“ไม่รู้หรอก…ฉัน…มาคนเดียว”
ลอเรนปักมีดลงไปบนต้นขาของชายหนุ่มอย่างช้าๆ
“อยู่ที่ไหน”
อ๊ากกกก…เด็กหนุ่มร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด “ไม่รู้ว๊อย ฉันไม่ใช่ทหารของลีซเนป”
“บอกฉันมา…กองกำลังของลีซเนปอยู่ที่ไหน”
ลอเรนดึงมีดออกมาก่อนจะปักมีดลงไปบนต้นขาของเด็กหนุ่มอีกครั้ง แต่เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดถูกแทนที่ด้วยเสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติ ทำให้ลอเรนที่เตรียมพร้อมจะปักมีดใส่ต้นขาเชลยอีกหนึ่งแผลต้องหยุดมือ ขณะเดียวกันเด็กหนุ่มก็ส่งคำเตือนให้ที่ฟังดูแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่น้ำเสียและแววตาของเขาทำให้สัญชาตญาณของลอร่าแจ้งเตือนว่าชายคนนี้สามารถทำตามคำพูดของเขาได้จริงๆ “มัดฉันเอาไว้ดีๆ ล่ะ เพราะถ้าฉันหลุดออกไปได้ละก็ ฉันจะจัดการกับเธอทั้งสองคนภายในห้าวินาที”
ไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่นางก็รู้สึกแบบนั้นจริงๆ นางจึงร่ายมนตร์พันธนาการซ้ำเข้าไปอีกครั้งหนึ่ง “ไอออน ธอร์น ไบด์!!!” โซ่หนามโลหะอีกเส้นปรากฏขึ้นมารัดเข้าที่แขนของเด็กหนุ่มอย่างแน่นหนาอีกหนึ่งชั้น ส่วนเด็กหนุ่มยังคงยิ้มออกมาอย่างสมใจ “อย่างงั้นแหละดี…เอาเป็นว่าถ้าฉันเป็นทหารของลีซเนปอย่างที่พวกเธอสงสัยละก็ ฉันคงไม่อาละวาดแบบนั้นหรอกน่า รอบุกเข้ามาพร้อมกับพวกนั้นไม่ดีกว่าเหรอ ให้ตายเถอะเกลียดสภาพแบบนี้ชะมัด…เป็นครั้งที่สองแล้วนะที่ฉัน…สติหลุดไปแบบนั้น แม่งเอ้ย…โคตรปวดหัวเลย…ว่าแต่มีน้ำให้ดื่มสักหน่อยมั้ย…อ่าาา…ช่างเถอะจะทรมานกันยังก็ทำไปเถอะฉันขอหลับต่ออีกสักหน่อยก็แล้วกัน”
ดูเหมือนไลฟ์จะเริ่มชินชากับความเจ็บปวดทางร่างกายที่เกิดจากการฟื้นฟูอาการบาดเจ็บแล้วมากขึ้น แต่ยังคงรู้สึกเจ็บจี๊ดเบาๆ ทุกครั้งที่แผลเริ่มสมานตัว ด้านฝาแฝดที่ได้ยินคำบอกเล่าของเด็กหนุ่มก็หันมองกันเลิ่กลั่ก แม้เหตุผลในการบุกเดี่ยวของเขาจะมีน้ำหนักพอสมเหตุสมผล เพียงแต่ที่น่าตกใจกว่าคือพวกนางเคยได้ยินเรื่องราวของเด็กหนุ่มคลุ้มคลั่งคนหนึ่งที่สังหารกองโจรยกกลุ่มอย่างโหดร้ายหลังจากทำการลักพาตัวเด็กจากหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อดำเนินธุรกิจค้ามนุษย์ก่อนจะหายตัวไปอย่างไรร่องรอย ซึ่งเหตุการณ์นั้นมีผู้โชคร้ายถูกลูกหลงต้องล้มตายไปพร้อมกับพวกคนร้ายอีกหลายราย ส่วนเหยื่อที่หนีรอดออกมาได้ก็ต้องตกอยู่ในภาวะหวาดกลัวอย่างสุดขีดอยู่นานนับปี
ลอร่าตัดสินใจออกไปรายงานนายกองสาวทันที ส่วนลอเรนที่เริ่มมั่นใจแล้วว่าจะไม่ได้ข้อมูลอะไรจากเด็กหนุ่มคนนี้แน่นอน จึงตัดสินใจหยิบมีดที่พกติดตัวแทงเข้าที่หน้าท้องของเชลยหนุ่มทันที ไลฟ์อาศัยจังหวะที่ลอเรนเข้ามาประชิดตัวหลังจากแทงเขาด้วยมีดใช้ไหล่ขวาดันตัวนางออกห่างตัวเล็กน้อย ก่อนจะขยับหัวโขกเข้าใส่ขมับคนสนิทของนายกองสาว ลอเรนที่ถูกโขกอย่างกะทันหันก็ล้มลงไปนอนหมดสติทันที
ด้านเมอร์เซเดสที่อยู่อีกห้องหนึ่งกำลังจ้องมองดาบสั้นสีเทาเข้มในมือ นางรู้ได้ทันทีว่าดาบสั้นคู่นี้ตีขึ้นจากไมโครแลตทิซ โลหะคุณภาพสูงจากดินแดนบ้านเกิดของนาง แต่ชายคนนี้ไปได้อาวุธเกรดพรีเมียมแบบนี้มาจากไหนกัน ทันทีที่นึกถึงที่มาของดาบสั้นคู่นี้ร่องรอยแห่งความเขินอายก็ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของนางอีกครั้ง ภาพใบหน้าอันคมเข้มของชายหนุ่มที่ถูกพันธนาการเอาไว้ จ้องตานางด้วยแววตาที่เรียบนิ่งในระยะประชิดผุดขึ้นมาในความคิดของนาง น่าแปลกที่ชายหนุ่มหน้าตาดีมากมายที่เคยได้พบเจอกลับไม่สามารถทำให้นางใจเต้นแรงเท่ากับผู้ชายหน้าตาพอใช้ที่อยู่อีกห้องหนึ่งได้
ลอร่ายืนมองอาการหน้าแดงของท่านหญิงพร้อมแววตาเลื่อนลอยราวกับตกอยู่ในภวังค์อย่างเงียบๆ ครู่ใหญ่ ก่อนตัดสินใจส่งเสียงให้เมอร์เซเดสได้รับรู้ถึงการปรากฏตัวของนาง
“ท่านหญิง”
เมอร์เซเดสตื่นจากภวังค์แต่ก็ยังสามารถเก็บอาการเอาไว้ได้ หันมองคนสนอทด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“มีอะไรเหรอ”
“ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะไม่ใช่ทหารของลีซเนปค่ะ แล้วก็…”
“หืม”
“อาการคลุ้มคลั่งนั่น คล้ายกับเรื่องที่เกิดกับกลุ่มโจรอาณาจักรเมซเซิร์กเมื่อสามปีก่อนค่ะ”
“ขอบคุณมาก”
เมอร์เซเดสลุกขึ้นเดินไปยังห้องเชลยทันที แต่ก็ต้องตกใจสุดขีดเมื่อร่างของคนสนิทกองอยู่กับพื้นส่วนตัวเชลยหนุ่มก็มีมีดปักอยู่ที่หน้าท้อง ไลฟ์ที่ยังถูกโซ่หนามเหล็กพันธนาการให้คุกเข่าอยู่กับพื้นก็พูดออกมาอย่างสบายอารมณ์
“ไม่ต้องห่วงหรอกแค่หมดสติไปเท่านั้นแหละ”
เมอร์เซเดสที่กำลังโมโหระคนตกใจก็ปรี่เข้าไปชกเข้าใส่เชลยหนุ่มทันที
“นาย…ทำอะไรลงน่ะ!!!”
ไลฟ์เงยหน้ามองหญิงสาวก่อนจะยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน
“ก็บอกว่าไม่ต้องตกใจไง แค่สลบเท่านั้น”
ขณะเดียวกันลอร่าที่เขาไปดูอาการน้องสาวก็รายงานกับนายกองสาวทันที
“ท่านหญิงนางแค่หมดสติไปค่ะ”
เมอร์เซเดสรับเข้าไปดูอาการของคนสนิททันที ส่วนเชลยหนุ่มที่ยังคงถูกล่ามติดกับผนังห้องก็ยังคงแสดงความยียวนอย่างต่อเนื่อง
“เออนี่ถ้าโล่งใจแล้วก็ช่วยเอาไอ้นี่ออกไปจากตัวฉันทีได้มั้ย ปักคาอยู่แบบนี้มันอึดอัดน่ะ”
เมอร์เซเดสที่ใจเย็นขึ้นก็หันมาดึงมีดออกจากหน้าท้องของเชลยหนุ่มก่อนจะเดินไปนั่งตรงเก้าอี้ใกล้ๆ และสอบปากคำด้วยตัวเอง
“ลอร่าพานางไปพักผ่อนก่อนนะ ฉันมีเรื่องจะสอบถามเขา”
ลอร่าพยักหน้ารับคำสั่งก่อนจะแบกร่างน้องสาวออกไปจากห้อง
“นายไปเอาดาบสั้นไมโครแลตทิซคู่นี้มาจากไหน”
“ดาบสั้นเหรอ…อืม…”
เมอร์เซเดสยังคงนิ่งเงียบรอคำตอบ แม้รู้ว่าไลฟ์จะพยายามกวนโมโหนางจนถึงที่สุด ความเงียบสร้างความอึดอัดให้กับนายกองสาวอยู่พอสมควร กระทั่งนางตัดสินใจลุกขึ้นยืนทำท่าจะเดินออกจากห้องไป ทำให้ไลฟ์เปิดปากในที่สุด
“ก็ไม่รู้หรอกนะว่าดาบนั่นสำคัญยังไง ฉันแค่รับมาจากลุงแก่ๆ คนนึงน่ะ”
หญิงสาวหันมามองหน้าชายหนุ่มก่อนจะเริ่มต้นสอบถามข้อมูลต่างๆ อีกครั้ง
“แล้วนายเป็นใคร ทำไมถึงโจมตีพวกเรา”
เชลยหนุ่มถอนใจเบาๆ ก่อนจะเงยหน้ามองหญิงสาวอีกครู่ใหญ่ก่อนจะตอบคำถาม
“ฉันเป็นแค่คนพเนจรที่ผ่านมาอาศัยหมู่บ้านนี้น่ะ ที่ทำไปก็เพราะพวกเธอเข้ามาทำลายความสงบของฉันมันก็แค่นั้นแหละ”
แววตาเรียบนิ่งของชายหนุ่มที่จ้องมองมาทำให้เมอร์เซเดสเกิดความรู้สึกหวั่นไหวได้อย่างน่าประหลาด ความรู้สึกบางอย่างทำให้นางนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะถามสิ่งที่ไลฟ์กำลังรออยู่
“ถ้าฉันปล่อยนายไป นายก็ต้องมาไล่ฆ่าพวกเราอยู่ดีสินะ”
รอยยิ้มสดใสผุดขึ้นที่มุมปากของเชลยหนุ่มอีกครั้ง
“ก็ไม่แน่หรอกนะ จะปล่อยให้รอดกลับไปเตือนพรรคพวกว่าอย่ามาวุ่นวายกับหมู่บ้านรอบๆ นี่สักสองสามคนคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง แต่ทางที่ดีเธอฆ่าฉันซะตอนนี้น่าจะดีกว่า หรือไม่ก็รีบออกไปจากหมู่บ้านนี้ให้เร็วที่สุด”
“งั้นฉันคงต้องฆ่านาย”
เมอร์เซเดสเตรียมตัวร่ายเวทมนตร์สังหาร แต่เชลยหนุ่มกลับพูดขัดจังหวะขึ้นมาทำให้นางหยุดมือ
“เอาล่ะ…ดูเหมือนโอกาสที่จะฆ่าฉันทิ้งหมดไปแล้วล่ะนะ”
“ว่าไงนะ”
“ฉันบอกว่า…โอกาสจะฆ่าฉันหมดไปแล้ว…ฉันหายเหนื่อยแล้ว”
เชลยหนุ่มไม่รอช้าลุกขึ้นยืนแล้วถอยหลังชิดผนังห้อง ก่อนจะใช้เท้าขวายันผนังดีดตัวไปข้างหน้าพร้อมออกแรงทั้งหมดที่มีกระชากโซ่หนามเหล็กจนหลุดออกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อหลุดจากพันธนาการแล้วไลฟ์ยกมือซ้ายขึ้นชี้ที่แก้มของตัวเองเป็นสัญญาณเหมือนจะบอกกับหญิงสาวว่ามีบางอย่างติดอยู่บนใบหน้าของนาง วินาทีที่หญิงสาวละสายตาไปสนใจใบหน้าของตัวเอง ชายหนุ่มก็ใช้ความเร็วก้าวออกไปจากจุดที่ยืนอยู่ทันที
เมื่อเมอร์เซเดสรู้ตัวว่าใบหน้าของตนไม่มีอะไรติดอยู่ก็หันไปกลับมองจุดที่ชายหนุ่มเคยยืนอยู่ แต่เขาก็ไม่อยู่ที่ตรงนั้นอีกแล้ว หญิงสาวหันไปมองที่ประตูทันที แต่ประตูยังคงปิดอยู่และไม่มีแม้แต่เสียงเปิดออก ทันทีที่เมอร์เซเดสหันไปมองที่ประตูไลฟ์ก็ขยับตัวเข้ามายืนประชิดตัวนางจากด้านข้างและวางแขนลงบนหัวไหล่ของนาง เมอร์เซเดสหันกลับมาด้วยความตกใจแต่ก็ต้องชะงักเมื่อชายหนุ่มใช้นิ้วจิ้มเข้ามาที่แก้มนวลเนียนของนางอย่างเบามือ
“ฉันจะถามเธออีกครั้งนะ จะออกไปจากที่นี่ดีๆ รึเปล่า”
การเข้าประชิดตัวได้อย่างง่ายดายแบบนี้ทำให้หญิงสาวรับรู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้จะปลิดชีพนางเมื่อไรก็ย่อมได้ แต่เหตุการณ์เมื่อชั่วอึดใจนี้ยิ่งทำให้นางสนใจในตัวชายหนุ่มคนนี้มากขึ้นไปอีก นางสอบถามด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกว่าตอนที่พูดคุยกันเมื่อครู่
“นี่ถามอะไรหน่อยสิ แผลเป็นพวกนั้น”
ไลฟ์เอียงคอจ้องตาจอมเวทสาว แต่ด้วยระยะใกล้ขนาดนี้ทำให้เมอร์เซเดสเผลอแสดงอาการเขินอายออกมาเล็กน้อยก่อนจะปรับสีหน้าให้เรียบเฉยตามปกติ
“แผลเป็นเหรอ ก็นะฉันเป็นคนพเนจร เร่ร่อนไปเรื่อยๆ ก็เลยต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาชีวิตรอด แต่แผลส่วนใหญ่ก็ได้มาเมื่อสามปีก่อน”
“สามปีก่อน”
“ช่างเหอะ ขอดาบสั้นนั่นคืนได้มั้ยพอดียืมมาน่ะ เดี๋ยวต้องเอาไปคืน”
“เดี๋ยวก่อนสิเมื่อกี้นายสู้กับคนของฉันทำไมถึงไม่ได้รับบาดเจ็บอะไรเลยล่ะ แผลที่หลังนั่นก็หายไป”
“แผลเหรอ…ที่หลังของฉัน”
ไลฟ์ไม่สามารถบอกความจริงกับนางได้ว่าเขาถูกยัดเยียดพรวิเศษจากเทพเจ้าจอมเอาแต่ใจมาเมื่อไม่กี่วันก่อน เขาจึงต้องหาข้อแก้ตัวให้ฟังดูมีเหตุมีผลมาอธิบายกับหญิงสาว
“พอดีเคยไปเรียนวิชาแปลกๆ ตอนอยู่เมซเซิร์กมาน่ะ น่าจะห้าปีได้แล้วมั้ง เอาเป็นว่ามันทำให้แผลหายได้ก็แล้วกัน แต่มันจะ…เจ็บกว่าตอนได้แผลหลายเท่าน่ะ แถมอาการบาดเจ็บยังสะสมอยู่ภายในอีก เลยต้องใช้เวลาพักนานหน่อย”
“งั้นตอนนี้นายหายดีแล้ว”
“เปล่าเลยตอนนี้ก็ยังเจ็บอยู่ล่ะนะ ก็แค่…ไม่มีแผลให้เห็น”
“แล้วนายจะทำยังไงต่อ”
“หลังจากปล่อยพวกเธอไปก็คงต้องไล่เคลียร์หมู่บ้านรอบๆ นี้ให้หมดล่ะ เออใช่ ถ้ากลับไปแล้วก็บอกคนใหญ่คนโตของฝ่ายเธอด้วยนะ ว่าอย่าส่งใครเข้ามาแถวนี้อีก ฉันเริ่มจะฟื้นตัวเต็มที่แล้ว ถ้ามาวุ่นวายกับแถบนี้อีกฉันก็จะฆ่าทิ้งให้หมด ไม่สนหรอกว่าจะเป็นใครหน้าไหน”
แม้จะอยากสอบถามทำความรู้จักกับชายหนุ่มคนนี้อีกสักนิดแต่หญิงสาวก็ไม่รู้ว่าจะสอบถามอะไรกับเขาต่อไปจนเผลอหลุดความในใจออกมาด้วยเสียงงึมงำ
“แล้วเราจะ….”
ไลฟ์ไม่ทันได้ฟังว่านางพูดอะไร ไม่แม้แต่จะได้ยินเสียงที่นางงึมงำออกมา แต่เขาเองก็หวังที่จะได้พบกับนางอีกครั้งในสถานการณ์ที่ต่างออกไป
“ถ้าเป็นไปได้นะ…ฉันก็หวังว่าจะไม่ได้เจอกับเธอในสนามรบล่ะ”
คำตอบที่เขาชิงพูดออกมาทำให้หัวใจของหลานสาวท่าแม่ทัพแห่งสโจรกาดหัวใจพอโต แต่ก็ยังต้องเก็บอาการดีใจเอาไว้เพราะ ณ เวลานี้ชายคนนี้คือศัตรู